ตาเฒ่าของฉัน
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ฉันรู้สึกมีความสุข....
ฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆ ขณะกำลังยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้หน้าบ้านตอนเช้าๆ อย่างนี้ ริมรั้วเหล็กดัดลวดลายเรขาคณิตฉันปลูกผกากรองเอาไว้ เจ้าหล่อนออกดอกเป็นพุ่มเป็นพวงสลับสีสวยงาม อีกมุมของพื้นที่หน้าบ้านฉันปลูกต้นตีนเป็ด หรือมีอีกชื่ออันแสนไพเราะที่เขาเรียกกันว่าต้นพญาสัตบรรณ ต้นไม้รูปทรงตั้งตรงงดงามต้นนี้ผลิดอกสีขาวส่งกลิ่นเอียนๆ ออกมา แต่ฉันคุ้นกลิ่นมันเสียแล้วจึงไม่ได้รู้สึกอะไร ฉันชอบร่มเงาและรูปทรงกิ่งใบของมันมากกว่า
ซุ้มประตูหน้าบ้านทรงปั้นหยาเล็กๆ ฉันปลูกต้นกระเทียมเผาแล้วปล่อยให้มันเลื้อยจนคลุมเต็มหลังคาซุ้ม จากประตูซุ้มเรียงรายมาตามทางเดินที่ทอดยาวเพียงไม่กี่เมตร ไปจนถึงตัวบ้านตึกชั้นเดียวหลังกะทัดรัดนั่น ฉันปลูกกุหลาบหลากสีสัน พวกเธอกำลังแข่งกันอวดดอกยกใหญ่ อย่างน่าชื่นใจคนเฝ้ารดน้ำพรวนดินมานาน มีทั้งที่กำลังแรกแย้มเป็นสาวรุ่นดอกตูมๆ บางดอกก็บานเต็มที่เหมือนผู้หญิงที่ล่วงเข้าสู่วัยสาวใหญ่ บางดอกก็กลีบร่วงเกือบหมดหลุดห้อยรุ่งริ่ง คล้ายๆ กับผู้หญิงที่หมดวัยสาวไปแล้ว เหลือเพียงความเหี่ยวเฉาโรยรา...มองดูดอกไม้แล้วนึกเปรียบเทียบไปถึงสัจธรรมในชีวิตของคนเรา นึกๆ แล้วฉันก็คลี่ยิ้มออก ขณะคิดไปถึงตาเฒ่าที่กำลังนอนเกาพุงดูโทรทัศน์อยู่ข้างในตัวบ้าน
ตาเฒ่าของฉัน...เขาไม่สนใจหรอกว่ารูปร่างหน้าตา ตลอดจนผิวพรรณของฉันมันจะเหี่ยวแห้งหย่อนยานปานใด ในวัยเจ็ดสิบสองปีของเมียรัก ถ้านับจากปีที่แต่งงานกันก็กว่าสี่สิบปีเข้ามานี่แล้ว เขาบอกว่ารู้ดีถึงสังขารของมนุษย์ที่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เราสองคนแต่งงานกันมานาน มีลูกเต้าด้วยกันหลายคนซึ่งก็ล้วนเติบใหญ่ และต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของตัวเองหมดแล้ว ลูกๆ แต่ละคนยังพากันอยู่ห่างไกล ซึ่งก็ไม่เป็นไร ชีวิตก็เป็นแบบนี้ พ้นจากวัยเด็กพวกเขาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ เริ่มมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมื่อยังเป็นเด็กก็แค่รับผิดชอบตัวเอง โตมาหน่อยก็รับผิดชอบต่อตัวเองกับพ่อแม่ ครั้นมีครอบครัวก็ต้องเพิ่มมารับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นเขาด้วย ทั้งกับลูกและทั้งกับคนที่มาเป็นผัวเป็นเมีย แต่พอแก่ตัวลงเหมือนฉันกับตาเฒ่า พวกเราก็ได้เวลาปลดปลงภาระรับผิดชอบลงหลายอย่าง เราเพียงประคับประคองตัวเองไม่ให้ตกเป็นภาระของลูกหลานและสังคมก็พอแล้ว
คิดแล้วฉันก็ยิ้มกับตัวเองอีก สามีฉันแก่กว่าไปเจ็ดปี สมัยหนุ่มๆ เขารูปหล่อปากหวาน แถมสำนวนเขียนจดหมายจีบสาวก็ใช่ย่อย เขาเขียนมาจีบจนเวลาอ่านฉันต้องบิดตัวไปมา ยิ้มเขินอยู่กับหน้ากระดาษจดหมายของเขา แต่ถ้าเป็นสมัยนี้หนุ่มสาวอาจกระแนะกระแหนเอาได้ว่า สำนวนมันลิเก ช้าไม่ทันกิน ก็เพราะสมัยนี้เด็กๆ เขารวดเร็วปรู้ดปร้าดทันใจ ในยุคห้าจี. หกจี. แบบนี้ พอมองตาปุ๊ปก็สามารถเข้าถึงเตียงนอนได้เลยทีเดียว ไม่เหมือนในยุคฉันที่ต้องมีขั้นตอนดูใจกันตั้งสี่ห้าขั้นตอน
เริ่มแรกก็คือลุ้นให้ใจตรงกันก่อน ซึ่งตาเฒ่าของฉันเขาต้องใช้ความพยายามอยู่เป็นปี กว่าจะกล้าสารภาพว่าชอบและทำให้ฉันยอมชอบเขาได้ ขั้นต่อมาเมื่อรู้ว่าใจตรงกันแน่แล้ว ต่างคนก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นคนสำคัญของกันและกัน ต่อเมื่อสนิทสนมจนรู้ใจกันดี รู้กระทั่งว่าแต่ละคนมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างแล้วนั่นแหละพวกเราถึงค่อยแต่งงาน และเราสองคนก็อยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้
ฉันรดน้ำต้นไม้เสร็จพอดี ยามที่รถซูเปอร์มาเกตเคลื่อนที่ขับขี่เข้ามาจอดเทียบตรงหน้าประตูรั้วบ้าน ที่ฉันเรียกรถจักรยานยนต์ดัดแปลงพ่วงข้างแบบนี้ก็เพราะว่า เจ้าของรถเขาเป็นแม่ค้าที่ไปซื้อของกินมาจากในตลาดสด เขาเอาพวกของสดของคาวหรือขนมหวานมากมายหลายอย่างใส่ถุงพลาสติก แล้วห้อยระโยงรยางมาในกระบะพ่วงข้างซึ่งติดหลังคาคลุมตัวรถ ที่ไหนห้อยได้เขาก็ห้อยจนแทบมองไม่เห็นตัวรถ มีแม่ค้าแบบนี้ก็นับว่าอำนวยความสะดวกให้กับคนแก่อย่างฉันได้มากทีเดียว เพราะได้อาศัยซื้อของกินจากเธอมาตลอด ไม่ต้องลำบากยักแย่ยักยันไปจ่ายตลาดที่ไหนไกลๆ
"วันนี้จะเอาอะไรมั่งล่ะคุณยาย" แม่ค้าถามเมื่อเห็นฉันปิดน้ำ วางสายยางแล้วเดินมาหา
"เออ...อยากได้ลูกชิ้นหมูสักถุง ยายจะเอาไปต้มเหยาะน้ำปลาใส่ให้ตาเฒ่าของยายกินเป็นมื้อเที่ยง"
ฉันนึกไปถึงมื้อเที่ยง หลังจากที่เช้านี้นั่งดื่มกาแฟไปคนละถ้วย กับจิ้มปาท่องโก๋ในนมข้นหวานกินกันสองคนกับตาเฒ่า แม่ค้าลงจากอานรถมาเลือกดูของ เมื่อเจอก็ปลดมันออกยื่นส่งให้
"ตาไปไหนแล้วล่ะยาย"
เธอรับเงินที่ฉันล้วงจากในกระเป๋าเสื้อคลุมอาบน้ำจ่ายให้ เสื้อคลุมตัวนี้ฉันชอบมาก ตาเฒ่าของฉันซื้อมาฝากตั้งแต่ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ๆ ผ่านไปหลายสิบปีมันก็ยังสวมใส่สบาย และฉันมักใส่มันลงมารดน้ำต้นไม้ทุกวัน เธอทอนตังค์พลางถามถึงตาเฒ่าของฉัน
"นอนดูข่าวเช้าในทีวี เขาไม่ค่อยอยากเดิน เห็นบ่นว่าปวดเข่า เป็นมานานแล้วล่ะแต่แกดื้อมาก...ไม่ยอมไปหามดหาหมอที่ไหน บอกว่ากินยาเดี๋ยวก็หาย นี่ก็หลายวันแล้ว ไม่เห็นหายสักที"
"อืม...ไม่หายก็พากันไปหาหมอซะเถอะนะยายนะ อยู่กันแค่สองตายาย เป็นอะไรมากไปเดี๋ยวจะลำบาก"
เธอบอกฉันสั้นๆ แต่แววตาที่มองมามีคำพูดมากกว่านั้น ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันยิ้มให้ นึกชื่นชมในสายตาห่วงใยของแม่ค้าซูเปอร์มาเกตคนยาก
"ดอกต้นนี่เหม็นจังนะยาย"
เด็กสาวข้างบ้านเดินมากับแม่ เด็กปากเปราะบ่นเรื่องกลิ่นดอกตีนเป็ดของฉันอีกแล้ว บ่นพลางเอามืออุดจมูก ทำท่าผะอืดผะอม
"มันกลิ่นแรงตอนกลางคืนเท่านั้นหรอก ถึงตอนนั้นก็หลับกันหมดแล้วน่า ยายเอาไว้ให้เป็นร่มเงา จะตัดก็เสียดาย" ฉันก็ยังตอบเหมือนเดิมทุกครั้งที่โดนบ่น ฉันไม่มีทางตัดต้นไม้ที่ตัวเองปลูกแน่ๆ
"ยายกินข้าวเช้ารึยังน่ะ เอาข้าวต้มไหม เช้านี้ฉันทำข้าวต้มหมูหม้อใหญ่ ยังมีอีกตั้งค่อนหม้อ" แต่คนเป็นแม่เขาเข้าใจคนแก่ เห็นจุ๊ปากเตือนลูกสาวแล้วหันมาถามอย่างมีน้ำใจ
"ขอบใจจ้ะ แต่เช้าๆ แบบนี้ ตากับยายไม่ค่อยหิวข้าวหรอก พากันกินกาแฟกับปาท่องโก๋จิ้มนมเรียบร้อยแล้วล่ะ" บอกเธอยิ้มๆ ซึ่งเธอก็พยักหน้า
"ตาไปไหนแล้วล่ะยาย ไม่เห็นออกมาหน้าบ้านหลายวันแล้ว"
"เขาปวดเข่า เดินไม่ค่อยไหวเลยไม่อยากลุกไปไหน กินกาแฟกินยาแล้วก็นอนดูทีวีอยู่ในบ้านนั่นแหละ"
เขารู้สึกหดหู่...
นายตำรวจรู้สึกแบบนี้จริงๆ เมื่อมาถึงบ้านที่เกิดเหตุในตอนสายมากแล้ว หลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากศพคลุ้งออกมาจากบ้านของคุณตาคุณยายคู่หนึ่ง
เมื่อมาถึงก็พบว่ารถของมูลนิธิได้มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมรถพยาบาลของแพทย์ที่จะมาชันสูตรพลิกศพ มีชาวบ้านหลายคนกำลังมุงดูอยู่ที่หน้าบ้าน และเมื่อเข้าไปถึงข้างในบ้าน เขาก็พบกับร่างผ่ายผอมบอบบางของหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่กับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ แววตาฝ้าฟางเหม่อมองมาทางเขา
"อ้อ คุณตำรวจมาพอดี ดูสิคะ คนพวกนี้เขาจะเอาตาเฒ่าของยายไปไหน เขานอนของเขาอยู่ดีๆ ก็จะเข้ามาเอาตัวไป ตาเฒ่าบอกว่าไม่ไปก็จะเข้ามาอุ้ม"
เธอชี้ไปที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิสามคนกับแพทย์และพยาบาลที่กำลังนั่งลงพิจารณาร่างที่เริ่มบวมอืดของศพชายสูงอายุคนหนึ่ง แกนอนตายอยู่บนที่นอนบางๆ ปูอยู่กับพื้นหน้าโทรทัศน์ซึ่งยังเปิดอยู่
"น่าจะตายมาได้สองถึงสามวันแล้วครับ ศพเหมือนคนนอนหลับตาย ไม่มีเลือดออก ไม่มีบาดแผลอะไรเลย" ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ชันสูตรศพร่วมกับแพทย์รายงานให้เขาฟัง
"พวกคุณพูดอะไรกัน ตาเฒ่าของฉันเขานอนหลับไปเพราะกินยาแก้หวัด กับยาแก้ปวดไขข้อต่างหาก มาว่าผัวฉันตายได้ยังไง" เสียงหญิงสูงวัยผู้เป็นภรรยาคนตายดังขัดขึ้น ใบหน้าชราแสดงออกถึงความเกรี้ยวโกรธ ผสมกับความงุนงงสงสัย
"อย่าเอาเขาไปไหนนะ ตาเฒ่า...ตาเฒ่า คุณลุกขึ้นสิ เขาจะมาพาคุณไปไหนก็ไม่รู้แล้วนะ"
ใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นเหยเก น้ำใสๆ ไหลย้อยเปื้อนแก้มขณะร่ำร้องเสียงสั่นเครือ เมื่อไม่อาจห้ามคนหลายต่อหลายคนที่กำลังกลุ้มรุมร่างของสามีได้ เธอพยายามก้าวฝ่ากลุ่มคนเข้าไปหาร่างไร้วิญญาณของสามี ทว่าถูกคนอื่นสกัดเอาไว้ มือผอมบางไขว่คว้า นายตำรวจเดินเข้าไปหา เขาเอื้อมไปกุมมือเธอแล้วโอบประคองไหล่เล็กๆ นั้น
"พวกผมจะพาคุณตาไปโรงพยาบาลนะครับ คุณตาไปสบายแล้ว ปล่อยท่านไปอย่างสงบเถอะนะครับคุณยาย" หญิงสูงวัยในโอบประคองของนายตำรวจหันมามองหน้าเขา ริมฝีปากสั่นระริกของเธอเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
"ตาเฒ่าของยายสบายแล้วอย่างนั้นเหรอคะ คุณตำรวจ เขาหายปวดเข่าแล้วใช่ไหม..." ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผงกศีรษะ บีบกระชับไหล่บอบบางเบาๆ
"คุณตาเป็นคนมีบุญ ท่านจากเราไปอย่างสงบ คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงท่านอีกแล้วครับ เดี๋ยวผมจะติดต่อหาลูกๆ ให้นะครับ...ใครช่วยติดต่อประชาสงเคราะห์ให้ที"
หลังเอ่ยปลอบโยนเธอแล้วนายตำรวจหนุ่มจึงสั่งการ เพื่อให้ความช่วยเหลือหญิงชราผู้ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงลำพังตัวคนเดียวต่อไป ชายหนุ่มหันมาก้มบอกร่างเล็กในโอบกอดของตัวเองอีกครั้ง
"ทำใจดีๆ ไว้นะครับ เดี๋ยวลูกๆ ก็มาแล้ว"
"พวกเขาจะมากันแล้วเหรอคะ" ดวงตาฝ้ามัวเกิดประกายแจ่มใสขึ้นแวบหนึ่ง เธอหันไปมองทางร่างที่กำลังถูกห่อด้วยผืนผ้าสีขาว เสียงแหบพร่าร้องบอกดังๆ ว่า
"ได้ยินไหมตาเฒ่า...คุณตำรวจเขาบอกว่าเดี๋ยวลูกๆ ก็มากันแล้ว คุณบอกเขาสิว่าให้ลูกตามไปหาเราที่โรงพยาบาล"
จบ.
ตาแก่ของฉัน...
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ฉันรู้สึกมีความสุข....
ฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆ ขณะกำลังยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้หน้าบ้านตอนเช้าๆ อย่างนี้ ริมรั้วเหล็กดัดลวดลายเรขาคณิตฉันปลูกผกากรองเอาไว้ เจ้าหล่อนออกดอกเป็นพุ่มเป็นพวงสลับสีสวยงาม อีกมุมของพื้นที่หน้าบ้านฉันปลูกต้นตีนเป็ด หรือมีอีกชื่ออันแสนไพเราะที่เขาเรียกกันว่าต้นพญาสัตบรรณ ต้นไม้รูปทรงตั้งตรงงดงามต้นนี้ผลิดอกสีขาวส่งกลิ่นเอียนๆ ออกมา แต่ฉันคุ้นกลิ่นมันเสียแล้วจึงไม่ได้รู้สึกอะไร ฉันชอบร่มเงาและรูปทรงกิ่งใบของมันมากกว่า
ซุ้มประตูหน้าบ้านทรงปั้นหยาเล็กๆ ฉันปลูกต้นกระเทียมเผาแล้วปล่อยให้มันเลื้อยจนคลุมเต็มหลังคาซุ้ม จากประตูซุ้มเรียงรายมาตามทางเดินที่ทอดยาวเพียงไม่กี่เมตร ไปจนถึงตัวบ้านตึกชั้นเดียวหลังกะทัดรัดนั่น ฉันปลูกกุหลาบหลากสีสัน พวกเธอกำลังแข่งกันอวดดอกยกใหญ่ อย่างน่าชื่นใจคนเฝ้ารดน้ำพรวนดินมานาน มีทั้งที่กำลังแรกแย้มเป็นสาวรุ่นดอกตูมๆ บางดอกก็บานเต็มที่เหมือนผู้หญิงที่ล่วงเข้าสู่วัยสาวใหญ่ บางดอกก็กลีบร่วงเกือบหมดหลุดห้อยรุ่งริ่ง คล้ายๆ กับผู้หญิงที่หมดวัยสาวไปแล้ว เหลือเพียงความเหี่ยวเฉาโรยรา...มองดูดอกไม้แล้วนึกเปรียบเทียบไปถึงสัจธรรมในชีวิตของคนเรา นึกๆ แล้วฉันก็คลี่ยิ้มออก ขณะคิดไปถึงตาเฒ่าที่กำลังนอนเกาพุงดูโทรทัศน์อยู่ข้างในตัวบ้าน
ตาเฒ่าของฉัน...เขาไม่สนใจหรอกว่ารูปร่างหน้าตา ตลอดจนผิวพรรณของฉันมันจะเหี่ยวแห้งหย่อนยานปานใด ในวัยเจ็ดสิบสองปีของเมียรัก ถ้านับจากปีที่แต่งงานกันก็กว่าสี่สิบปีเข้ามานี่แล้ว เขาบอกว่ารู้ดีถึงสังขารของมนุษย์ที่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เราสองคนแต่งงานกันมานาน มีลูกเต้าด้วยกันหลายคนซึ่งก็ล้วนเติบใหญ่ และต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของตัวเองหมดแล้ว ลูกๆ แต่ละคนยังพากันอยู่ห่างไกล ซึ่งก็ไม่เป็นไร ชีวิตก็เป็นแบบนี้ พ้นจากวัยเด็กพวกเขาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ เริ่มมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมื่อยังเป็นเด็กก็แค่รับผิดชอบตัวเอง โตมาหน่อยก็รับผิดชอบต่อตัวเองกับพ่อแม่ ครั้นมีครอบครัวก็ต้องเพิ่มมารับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นเขาด้วย ทั้งกับลูกและทั้งกับคนที่มาเป็นผัวเป็นเมีย แต่พอแก่ตัวลงเหมือนฉันกับตาเฒ่า พวกเราก็ได้เวลาปลดปลงภาระรับผิดชอบลงหลายอย่าง เราเพียงประคับประคองตัวเองไม่ให้ตกเป็นภาระของลูกหลานและสังคมก็พอแล้ว
คิดแล้วฉันก็ยิ้มกับตัวเองอีก สามีฉันแก่กว่าไปเจ็ดปี สมัยหนุ่มๆ เขารูปหล่อปากหวาน แถมสำนวนเขียนจดหมายจีบสาวก็ใช่ย่อย เขาเขียนมาจีบจนเวลาอ่านฉันต้องบิดตัวไปมา ยิ้มเขินอยู่กับหน้ากระดาษจดหมายของเขา แต่ถ้าเป็นสมัยนี้หนุ่มสาวอาจกระแนะกระแหนเอาได้ว่า สำนวนมันลิเก ช้าไม่ทันกิน ก็เพราะสมัยนี้เด็กๆ เขารวดเร็วปรู้ดปร้าดทันใจ ในยุคห้าจี. หกจี. แบบนี้ พอมองตาปุ๊ปก็สามารถเข้าถึงเตียงนอนได้เลยทีเดียว ไม่เหมือนในยุคฉันที่ต้องมีขั้นตอนดูใจกันตั้งสี่ห้าขั้นตอน
เริ่มแรกก็คือลุ้นให้ใจตรงกันก่อน ซึ่งตาเฒ่าของฉันเขาต้องใช้ความพยายามอยู่เป็นปี กว่าจะกล้าสารภาพว่าชอบและทำให้ฉันยอมชอบเขาได้ ขั้นต่อมาเมื่อรู้ว่าใจตรงกันแน่แล้ว ต่างคนก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นคนสำคัญของกันและกัน ต่อเมื่อสนิทสนมจนรู้ใจกันดี รู้กระทั่งว่าแต่ละคนมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างแล้วนั่นแหละพวกเราถึงค่อยแต่งงาน และเราสองคนก็อยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้
ฉันรดน้ำต้นไม้เสร็จพอดี ยามที่รถซูเปอร์มาเกตเคลื่อนที่ขับขี่เข้ามาจอดเทียบตรงหน้าประตูรั้วบ้าน ที่ฉันเรียกรถจักรยานยนต์ดัดแปลงพ่วงข้างแบบนี้ก็เพราะว่า เจ้าของรถเขาเป็นแม่ค้าที่ไปซื้อของกินมาจากในตลาดสด เขาเอาพวกของสดของคาวหรือขนมหวานมากมายหลายอย่างใส่ถุงพลาสติก แล้วห้อยระโยงรยางมาในกระบะพ่วงข้างซึ่งติดหลังคาคลุมตัวรถ ที่ไหนห้อยได้เขาก็ห้อยจนแทบมองไม่เห็นตัวรถ มีแม่ค้าแบบนี้ก็นับว่าอำนวยความสะดวกให้กับคนแก่อย่างฉันได้มากทีเดียว เพราะได้อาศัยซื้อของกินจากเธอมาตลอด ไม่ต้องลำบากยักแย่ยักยันไปจ่ายตลาดที่ไหนไกลๆ
"วันนี้จะเอาอะไรมั่งล่ะคุณยาย" แม่ค้าถามเมื่อเห็นฉันปิดน้ำ วางสายยางแล้วเดินมาหา
"เออ...อยากได้ลูกชิ้นหมูสักถุง ยายจะเอาไปต้มเหยาะน้ำปลาใส่ให้ตาเฒ่าของยายกินเป็นมื้อเที่ยง"
ฉันนึกไปถึงมื้อเที่ยง หลังจากที่เช้านี้นั่งดื่มกาแฟไปคนละถ้วย กับจิ้มปาท่องโก๋ในนมข้นหวานกินกันสองคนกับตาเฒ่า แม่ค้าลงจากอานรถมาเลือกดูของ เมื่อเจอก็ปลดมันออกยื่นส่งให้
"ตาไปไหนแล้วล่ะยาย"
เธอรับเงินที่ฉันล้วงจากในกระเป๋าเสื้อคลุมอาบน้ำจ่ายให้ เสื้อคลุมตัวนี้ฉันชอบมาก ตาเฒ่าของฉันซื้อมาฝากตั้งแต่ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ๆ ผ่านไปหลายสิบปีมันก็ยังสวมใส่สบาย และฉันมักใส่มันลงมารดน้ำต้นไม้ทุกวัน เธอทอนตังค์พลางถามถึงตาเฒ่าของฉัน
"นอนดูข่าวเช้าในทีวี เขาไม่ค่อยอยากเดิน เห็นบ่นว่าปวดเข่า เป็นมานานแล้วล่ะแต่แกดื้อมาก...ไม่ยอมไปหามดหาหมอที่ไหน บอกว่ากินยาเดี๋ยวก็หาย นี่ก็หลายวันแล้ว ไม่เห็นหายสักที"
"อืม...ไม่หายก็พากันไปหาหมอซะเถอะนะยายนะ อยู่กันแค่สองตายาย เป็นอะไรมากไปเดี๋ยวจะลำบาก"
เธอบอกฉันสั้นๆ แต่แววตาที่มองมามีคำพูดมากกว่านั้น ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันยิ้มให้ นึกชื่นชมในสายตาห่วงใยของแม่ค้าซูเปอร์มาเกตคนยาก
"ดอกต้นนี่เหม็นจังนะยาย"
เด็กสาวข้างบ้านเดินมากับแม่ เด็กปากเปราะบ่นเรื่องกลิ่นดอกตีนเป็ดของฉันอีกแล้ว บ่นพลางเอามืออุดจมูก ทำท่าผะอืดผะอม
"มันกลิ่นแรงตอนกลางคืนเท่านั้นหรอก ถึงตอนนั้นก็หลับกันหมดแล้วน่า ยายเอาไว้ให้เป็นร่มเงา จะตัดก็เสียดาย" ฉันก็ยังตอบเหมือนเดิมทุกครั้งที่โดนบ่น ฉันไม่มีทางตัดต้นไม้ที่ตัวเองปลูกแน่ๆ
"ยายกินข้าวเช้ารึยังน่ะ เอาข้าวต้มไหม เช้านี้ฉันทำข้าวต้มหมูหม้อใหญ่ ยังมีอีกตั้งค่อนหม้อ" แต่คนเป็นแม่เขาเข้าใจคนแก่ เห็นจุ๊ปากเตือนลูกสาวแล้วหันมาถามอย่างมีน้ำใจ
"ขอบใจจ้ะ แต่เช้าๆ แบบนี้ ตากับยายไม่ค่อยหิวข้าวหรอก พากันกินกาแฟกับปาท่องโก๋จิ้มนมเรียบร้อยแล้วล่ะ" บอกเธอยิ้มๆ ซึ่งเธอก็พยักหน้า
"ตาไปไหนแล้วล่ะยาย ไม่เห็นออกมาหน้าบ้านหลายวันแล้ว"
"เขาปวดเข่า เดินไม่ค่อยไหวเลยไม่อยากลุกไปไหน กินกาแฟกินยาแล้วก็นอนดูทีวีอยู่ในบ้านนั่นแหละ"
เขารู้สึกหดหู่...
นายตำรวจรู้สึกแบบนี้จริงๆ เมื่อมาถึงบ้านที่เกิดเหตุในตอนสายมากแล้ว หลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากศพคลุ้งออกมาจากบ้านของคุณตาคุณยายคู่หนึ่ง
เมื่อมาถึงก็พบว่ารถของมูลนิธิได้มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมรถพยาบาลของแพทย์ที่จะมาชันสูตรพลิกศพ มีชาวบ้านหลายคนกำลังมุงดูอยู่ที่หน้าบ้าน และเมื่อเข้าไปถึงข้างในบ้าน เขาก็พบกับร่างผ่ายผอมบอบบางของหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่กับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ แววตาฝ้าฟางเหม่อมองมาทางเขา
"อ้อ คุณตำรวจมาพอดี ดูสิคะ คนพวกนี้เขาจะเอาตาเฒ่าของยายไปไหน เขานอนของเขาอยู่ดีๆ ก็จะเข้ามาเอาตัวไป ตาเฒ่าบอกว่าไม่ไปก็จะเข้ามาอุ้ม"
เธอชี้ไปที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิสามคนกับแพทย์และพยาบาลที่กำลังนั่งลงพิจารณาร่างที่เริ่มบวมอืดของศพชายสูงอายุคนหนึ่ง แกนอนตายอยู่บนที่นอนบางๆ ปูอยู่กับพื้นหน้าโทรทัศน์ซึ่งยังเปิดอยู่
"น่าจะตายมาได้สองถึงสามวันแล้วครับ ศพเหมือนคนนอนหลับตาย ไม่มีเลือดออก ไม่มีบาดแผลอะไรเลย" ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ชันสูตรศพร่วมกับแพทย์รายงานให้เขาฟัง
"พวกคุณพูดอะไรกัน ตาเฒ่าของฉันเขานอนหลับไปเพราะกินยาแก้หวัด กับยาแก้ปวดไขข้อต่างหาก มาว่าผัวฉันตายได้ยังไง" เสียงหญิงสูงวัยผู้เป็นภรรยาคนตายดังขัดขึ้น ใบหน้าชราแสดงออกถึงความเกรี้ยวโกรธ ผสมกับความงุนงงสงสัย
"อย่าเอาเขาไปไหนนะ ตาเฒ่า...ตาเฒ่า คุณลุกขึ้นสิ เขาจะมาพาคุณไปไหนก็ไม่รู้แล้วนะ"
ใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นเหยเก น้ำใสๆ ไหลย้อยเปื้อนแก้มขณะร่ำร้องเสียงสั่นเครือ เมื่อไม่อาจห้ามคนหลายต่อหลายคนที่กำลังกลุ้มรุมร่างของสามีได้ เธอพยายามก้าวฝ่ากลุ่มคนเข้าไปหาร่างไร้วิญญาณของสามี ทว่าถูกคนอื่นสกัดเอาไว้ มือผอมบางไขว่คว้า นายตำรวจเดินเข้าไปหา เขาเอื้อมไปกุมมือเธอแล้วโอบประคองไหล่เล็กๆ นั้น
"พวกผมจะพาคุณตาไปโรงพยาบาลนะครับ คุณตาไปสบายแล้ว ปล่อยท่านไปอย่างสงบเถอะนะครับคุณยาย" หญิงสูงวัยในโอบประคองของนายตำรวจหันมามองหน้าเขา ริมฝีปากสั่นระริกของเธอเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
"ตาเฒ่าของยายสบายแล้วอย่างนั้นเหรอคะ คุณตำรวจ เขาหายปวดเข่าแล้วใช่ไหม..." ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผงกศีรษะ บีบกระชับไหล่บอบบางเบาๆ
"คุณตาเป็นคนมีบุญ ท่านจากเราไปอย่างสงบ คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงท่านอีกแล้วครับ เดี๋ยวผมจะติดต่อหาลูกๆ ให้นะครับ...ใครช่วยติดต่อประชาสงเคราะห์ให้ที"
หลังเอ่ยปลอบโยนเธอแล้วนายตำรวจหนุ่มจึงสั่งการ เพื่อให้ความช่วยเหลือหญิงชราผู้ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงลำพังตัวคนเดียวต่อไป ชายหนุ่มหันมาก้มบอกร่างเล็กในโอบกอดของตัวเองอีกครั้ง
"ทำใจดีๆ ไว้นะครับ เดี๋ยวลูกๆ ก็มาแล้ว"
"พวกเขาจะมากันแล้วเหรอคะ" ดวงตาฝ้ามัวเกิดประกายแจ่มใสขึ้นแวบหนึ่ง เธอหันไปมองทางร่างที่กำลังถูกห่อด้วยผืนผ้าสีขาว เสียงแหบพร่าร้องบอกดังๆ ว่า
"ได้ยินไหมตาเฒ่า...คุณตำรวจเขาบอกว่าเดี๋ยวลูกๆ ก็มากันแล้ว คุณบอกเขาสิว่าให้ลูกตามไปหาเราที่โรงพยาบาล"