ปี 2530 เมื่ออายุถึงเกณฑ์บวชก็บวชไปตามประเพณีบวชให้พ่อแม่ ลาราชการมาไม่กี่วัน ห่มจีวรยังไม่คล่องเลยก็สึกส่ะแล้ว เช้าบิณฑบาตร สวดมนต์ตาม ๆ เขาไปผิดบ้างถูกบ้าง ฉันท์เพล หลังจากนั้นก็อ่านหนังสือนวโกวาท กวาดลานวัดบ้างถ้าอยากจะทำ เรียกได้ว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้ว่าบทสวดบาลีแปลเป็นไทยว่ายังไง แล้วสวดทำไม ไม่ได้เดินจงกลม นั่งสมาธิเลย วัน ๆ ดูหลวงพ่อทะเลาะกัน บางองค์ให้หวยอย่างเดียวแถมแม่นส่ะอีกองค์นี้ลูกศิษย์เยอะมีบ้านอยู่ในวัดเพราะเป็นเจ้าของที่ให้สร้างวัด บางองค์ตำรวจมาจับถึงในโบสถ์เพราะหนีคดีมา บางองค์ติดนักเลงไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งเป็นพระหนุ่มสักย์เต็มตัว วันไหนมีงานวัดก็จะติดตั้งเครื่องเสียงแต่เช้ามืดเปิดเพลงลั่นวัด ยิ้มรอยนี้ให้คุณ ของยอดรักฟัง ๆ ก็เพราะดี ดีหน่อยช่วงบวชไม่มีมโหรสพกลางคืนงั้นคงไม่ได้จำวัด
ตอนนั้นบอกเลยไม่ได้อะไร ไม่ได้แก่นแท้คำสอนของพระพุทธองค์ ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ คิดว่าการได้โกนหัวห่มเหลือง สวดมนต์ก็ได้บุญแล้ว สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีสวดมนต์สาวกมาแต่งทีหลัง อย่างบทอิติปิโสนี่แต่งสมัยพระอาจารย์โตนี่เอง แต่คนพุทธนิยมมาก สวดมนต์แล้วไม่เข้าใจคำแปลไม่ได้ปฎิบัติตามแล้วจะได้อะไร สวดแต่ปากใจคิดออกไปนู่นนี่
สมัยก่อนถ้าเป็นวันพระใหญ่จะมีคนมาทำบุญเยอะมาก เยอะจนเกินความจำเป็น จนกลายเป็นขยะหลังกุฎิเป็นภาระของพระและเด็กวัดที่ต้องนำไปกำจัดมิฉะนั้นจะเน่าเสีย แต่สมัยนี้ยิ่งน่าเกลียดหลาย ๆ ที่จะเห็นพระยืนรับบิณฑบาตรข้างร้านแกงถุงเลยเขาเรียกเวียนเทียนใส่เสร็จก็นำไปให้ร้านขายต่อ คนใส่ก็รู้แต่อยากได้บุญ ได้บุญสำหรับคนขายกับพระองค์นั้นน่ะสิ แปลกใจทำไมทำได้ไม่มีใครว่า
สรุปว่าเป็นสมณะหรือเป็นฆราวาสไม่เกี่ยวเลยมันอยู่ที่การปฎิบัติตามพระวจนของพระพุทธองค์ต่างหาก ซึ่งทำง่ายมากคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถือศีล 5 นั่งสมาธิทำอาณาปานะสติ จะได้ปัญญาว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มีเกิดมีดับ ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย.....
ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นพระ
ตอนนั้นบอกเลยไม่ได้อะไร ไม่ได้แก่นแท้คำสอนของพระพุทธองค์ ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ คิดว่าการได้โกนหัวห่มเหลือง สวดมนต์ก็ได้บุญแล้ว สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีสวดมนต์สาวกมาแต่งทีหลัง อย่างบทอิติปิโสนี่แต่งสมัยพระอาจารย์โตนี่เอง แต่คนพุทธนิยมมาก สวดมนต์แล้วไม่เข้าใจคำแปลไม่ได้ปฎิบัติตามแล้วจะได้อะไร สวดแต่ปากใจคิดออกไปนู่นนี่
สมัยก่อนถ้าเป็นวันพระใหญ่จะมีคนมาทำบุญเยอะมาก เยอะจนเกินความจำเป็น จนกลายเป็นขยะหลังกุฎิเป็นภาระของพระและเด็กวัดที่ต้องนำไปกำจัดมิฉะนั้นจะเน่าเสีย แต่สมัยนี้ยิ่งน่าเกลียดหลาย ๆ ที่จะเห็นพระยืนรับบิณฑบาตรข้างร้านแกงถุงเลยเขาเรียกเวียนเทียนใส่เสร็จก็นำไปให้ร้านขายต่อ คนใส่ก็รู้แต่อยากได้บุญ ได้บุญสำหรับคนขายกับพระองค์นั้นน่ะสิ แปลกใจทำไมทำได้ไม่มีใครว่า
สรุปว่าเป็นสมณะหรือเป็นฆราวาสไม่เกี่ยวเลยมันอยู่ที่การปฎิบัติตามพระวจนของพระพุทธองค์ต่างหาก ซึ่งทำง่ายมากคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถือศีล 5 นั่งสมาธิทำอาณาปานะสติ จะได้ปัญญาว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มีเกิดมีดับ ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย.....