จบไปแล้วแบบหน่วงๆเมื่อวานนี้ แต่ถึงจะหน่วงยังไงก็ต้องบอกว่ามันอิ่มในความรู้สึกจริงๆ แล้วก็สำหรับเรามันมีความแปลกใหม่บางอย่างด้วยที่อยากจะพูดถึงเป็นการส่งท้าย
มือเหนือเมฆ ออกตัวมาว่าเป็นละครแนวอันธพาลยุค 2499 มีเจ้าพ่อด้วย ตอนแรกเราก็กลัวใจเหลือเกินว่าแนวเจ้าพ่อ ชิงดีชิงเด่นกันระหว่างก๊ก ยังงี้รึเปล่า ซึ่งนั่งดูช่องเจ็ดก็ตั้งนานนะ ไม่ค่อยคิดว่าช่องทำแนวนี้จะรุ่งซักเท่าไหร่ แต่มือเหนือเมฆก็ไม่ได้ทำออกมาแบบนั้น ออกมาเป็นเรื่องของเพื่อนสามคนกับเส้นทางสายนักเลงและมิตรภาพที่ค่อยๆเปลี่ยนไป อยากจะบอกว่ามันเรียลมาก! จากเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนไม่รู้ที่มาที่ไปธรรมดาๆ ใช้ความเป็นตัวตนของตัวเองที่มีอยู่ ค่อยๆก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆของการที่จะเป็นใหญ่ สามคนไม่มีใครรู้เลยว่าอีกฝั่งนึงของความเป็นใหญ่ ที่ตัวเองมองลงมาจากด้านล่างเพียงเท่านั้น ด้านบนของมันจะเป็นอะไร
อะไรคือความหมายที่แท้จริงของ"ความเป็นใหญ่" สัวกิม เสี่ยเฮง เถ้าแก่บ๊วน มองหน้าแต่ละคนพวกเค้าก็คือคนธรรมดานี่แหละ แต่มีอิทธิพลเนื่องมาจากทำธุรกิจที่มีเงินหมุนเวียนเยอะ ทำให้มีกำลังคน คอยช่วยเหลือคุ้มครอง ประดับบารมี แต่ธุรกิจที่ว่านั้นก็มีแต่ธุรกิจผิดกฎหมาย ยาเสพติด อาวุธ ของเถื่อนทั้งหลาย คนทำชั่วอย่างสามเจ้าพ่อ มันก็ถูกแล้วที่มองไปในตัวคนพวกนั้นแล้วจะไม่เห็นไม่รู้สึกถึงราศีแห่งความสงบสุขอย่างที่ใครๆคิดว่า"คนเป็นใหญ่"น่าจะมี กลับมีแต่ความปั่นป่วน อยู่ไม่สุขตลอดเวลา เพราะต้องคอยระวังว่าธุรกิจที่ผิดกฎหมายของตัวเองมันจะถูกทำลายลง และความเป็นใหญ่แบบปลอมๆที่ใครๆก็คงชอบ มันก็จะหายไปด้วย
ถึงจุดนี้อยากขอบคุณนักแสดงผู้ใหญ่ที่เล่นบทเจ้าพ่อทั้งสามนะ ภาพมันน่าจะต้องออกมาแบบนั้นแหละ คือมันก็ไม่ได้ดูว่าใหญ่แบบคนเขียนเขียนมาให้ใหญ่แบบไม่มีเหตุผล แล้วก็ไม่ได้นั่งๆนอนๆรอรับเงินอย่างเดียว ต้องไปติดต่อใครต่อใคร ล็อบบี้ ออกตรวจงาน พูดคุยกับลูกน้อง สั่งการอะไรต่างๆ เชื่อมต่อกับการเปลี่ยนผ่านอำนาจมาสู่สามหนุ่มได้อย่างมีเหตุผล เรียกว่านี่เป็นความ"เรียล"อย่างสำคัญของละครเรื่องนี้ที่เราอยากพูดถึง เป็นอีกด้านนึงของความเป็นใหญ่จากการทำผิดกฎหมาย ที่สามหนุ่มมองไม่เห็น
ส่วนสามหนุ่มสามสาวนั้นก็งานดีไม่แพ้กัน ตรงนี้ต้องถือว่าผู้กำกับชัดเจนดีนะ ที่เลือกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้จะโชว์บู๊สมจริงกับดราม่าเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ทั้งเนื้อเรื่องทั้งการแสดง มันไปพร้อมกันหมดเลย เอาจริงๆนะผู้ชายดราม่านี่มันเป็นอะไรที่น่าสนใจนะ ว่าผู้ชายเนี่ย เค้าจะหวั่นไหวด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง แล้วจะแสดงออกแบบไหน ก็ตามนิสัยของแต่ละคนอ่ะ มันก็ไม่ได้เหมือนกันหมดหรอก เฉียดก็บ้าไปอย่างนึง บวรก็บ้าไปอีกอย่าง ส่วนจอม ฉลาดแค่ไหนก็ยังหลงผิดได้อยู่ดี ถ้าไม่บอกว่าเรื่องนี้มีพระเอก บางทีเราก็คงคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนสามคน ที่ดูๆแล้วมันไม่มีใครเป็นพระเอกเลยแม้แต่คนเดียว เพราะว่าสามคนนี่ก็ด่างพร้อยหมดทุกคน และเล่นกันได้แบบชวนให้ติดตามไปจนจบว่าแต่ละคนจะพาตัวเองไปสู่จุดจบแบบไหนกันบ้าง และความเป็นเพื่อนที่เคยมีมา สุดท้ายมันจะกลายเป็นอะไร ส่วนสามสาวนั้นไม่มีไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะออกไม่เยอะมากแต่ก็สำคัญนะ เป็นสามสาวที่เป็นตัวผลักดันให้หนุ่มๆออกไปทำอะไรหลายอย่างจนมันเป็นเรื่องมาให้เราได้ชมกันนี่แหละ อาจจะร้องไห้ไม่มีน้ำตากันบ้างแต่มันกลับทำให้เราต้องมานั่งนึกใหม่ว่า คนเราร้องไห้นี่มันจะต้องน้ำตาไหลพรากๆแบบที่เคยเห็นกันบ่อยๆจริงรึเปล่า สามคนนี่ก็ไม่เหมือนกันอีก ซึ่งมันก็ทำให้ละครดูมีความหลากหลายขึ้น ความหลากหลายทางการแสดงของแต่ละคนก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ละครเรื่องนี้น่าดู
ความแปลกใหม่ที่ทำให้เราทึ่งมากๆ ที่อยากจะถามทางทีมงานตั้งแต่ตอนแรกที่เห็นแล้วว่าทำได้ยังไง ก็คือการบู๊สามคน คือปกติเวลาเตะต่อยกันสู้กันนี่ถ้าไม่ใช่ทีละสองคน ก็ทีละสองฝั่ง แต่บู๊สามคนนี่เค้าคิดออกแบบเหตุการณ์กันยังไงนะมันถึงได้ออกมาเป็นสู้สามคนสามฝ่ายพอดี ไม่ได้เป็นแบบสองรุมหนึ่ง อารมณ์มันออกมาแบบ คนนั้นของเรา นายห้ามฆ่า เราฆ่าได้คนเดียว อีกคนก็แบบ ไม่ได้ นี่มันไม่ใช่เรื่องของนาย มันเป็นเรื่องของเรา(กับอีกคนนึง) สองคนที่ว่านี่คือเฉียดกับบวรนั่นเอง ส่วนจอมก็อยู่ตรงกลาง และถึงแม้ว่าจอมจะได้ทำสิ่งที่ทำให้อีกสองคนอยากฆ่าจอม แต่พออยู่พร้อมหน้ากันมันก็ไม่มีใครฆ่าใครได้ซะทีจนกระทั่งตอนสุดท้าย ส่วนคนดูก็รอเสพฉากบู๊กันจุใจไปสิ
แล้วก็ที่อยากจะแสดงความนับถือคือ คนแต่งเรื่อง เราไม่รู้ว่าคุณอรชรนี่ เค้าเป็นใคร เป็นคนของค่ายหรือเป็นคนของช่อง แต่แต่งเรื่องออกมาได้เยี่ยมทีเดียว ที่สามารถผูกคนตั้งเยอะตั้งแยะเข้ามาไว้ในเรื่องเดียวกันหมดได้แบบที่ไม่มีใครถูกทิ้ง สามหนุ่ม สามสาว สามเจ้าพ่อ ลูกน้องอีกหลายๆคน รวมไปถึงครอบครัวของทั้งสามหนุ่มด้วย และนับถือคนเขียนบท ผู้กำกับด้วย แต่ละคนอาจจะออกมาคนละนิดคนละหน่อยแต่ทุกคนมีตัวตนหมดในสายตาคนดูอย่างเรา มันทำให้เนื้อเรื่องแต่ละตอนค่อนข้างแน่น (เราอุตส่าห์เชียร์พี่ตอง แต่ตอนพี่ตองตายก็แทบไม่มีเวลาให้เสียใจ เพราะปมอื่นยังรออยู่อีกเยอะ) และเราเดาไม่ถูกแม้แต่แค่ตอนต่อไป สุดท้ายเราเลิกเดาตอนจบไปเลย เพราะถึงยังไงก็อยากรู้อยู่ดีว่ามันจะไปสู่จุดจบแบบไหนเพราะอะไร เนื้อเรื่องมันแน่น อารมณ์มันต่อเนื่องกันไปหมด
ถ้านี่เป็นอาหารซักจานเราคงบอกได้ว่ามันอิ่มและอร่อยมาก แล้วก็ไม่กลัวที่จะบอกต่อเพื่อนๆให้มาลองกินบ้างแน่ๆ ขอบคุณมากๆนะมือเหนือเมฆ เป็นละครที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องนึงเลย
มือเหนือเมฆ มันเหนือความคาดหมายที่สุด!
มือเหนือเมฆ ออกตัวมาว่าเป็นละครแนวอันธพาลยุค 2499 มีเจ้าพ่อด้วย ตอนแรกเราก็กลัวใจเหลือเกินว่าแนวเจ้าพ่อ ชิงดีชิงเด่นกันระหว่างก๊ก ยังงี้รึเปล่า ซึ่งนั่งดูช่องเจ็ดก็ตั้งนานนะ ไม่ค่อยคิดว่าช่องทำแนวนี้จะรุ่งซักเท่าไหร่ แต่มือเหนือเมฆก็ไม่ได้ทำออกมาแบบนั้น ออกมาเป็นเรื่องของเพื่อนสามคนกับเส้นทางสายนักเลงและมิตรภาพที่ค่อยๆเปลี่ยนไป อยากจะบอกว่ามันเรียลมาก! จากเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนไม่รู้ที่มาที่ไปธรรมดาๆ ใช้ความเป็นตัวตนของตัวเองที่มีอยู่ ค่อยๆก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆของการที่จะเป็นใหญ่ สามคนไม่มีใครรู้เลยว่าอีกฝั่งนึงของความเป็นใหญ่ ที่ตัวเองมองลงมาจากด้านล่างเพียงเท่านั้น ด้านบนของมันจะเป็นอะไร
อะไรคือความหมายที่แท้จริงของ"ความเป็นใหญ่" สัวกิม เสี่ยเฮง เถ้าแก่บ๊วน มองหน้าแต่ละคนพวกเค้าก็คือคนธรรมดานี่แหละ แต่มีอิทธิพลเนื่องมาจากทำธุรกิจที่มีเงินหมุนเวียนเยอะ ทำให้มีกำลังคน คอยช่วยเหลือคุ้มครอง ประดับบารมี แต่ธุรกิจที่ว่านั้นก็มีแต่ธุรกิจผิดกฎหมาย ยาเสพติด อาวุธ ของเถื่อนทั้งหลาย คนทำชั่วอย่างสามเจ้าพ่อ มันก็ถูกแล้วที่มองไปในตัวคนพวกนั้นแล้วจะไม่เห็นไม่รู้สึกถึงราศีแห่งความสงบสุขอย่างที่ใครๆคิดว่า"คนเป็นใหญ่"น่าจะมี กลับมีแต่ความปั่นป่วน อยู่ไม่สุขตลอดเวลา เพราะต้องคอยระวังว่าธุรกิจที่ผิดกฎหมายของตัวเองมันจะถูกทำลายลง และความเป็นใหญ่แบบปลอมๆที่ใครๆก็คงชอบ มันก็จะหายไปด้วย
ถึงจุดนี้อยากขอบคุณนักแสดงผู้ใหญ่ที่เล่นบทเจ้าพ่อทั้งสามนะ ภาพมันน่าจะต้องออกมาแบบนั้นแหละ คือมันก็ไม่ได้ดูว่าใหญ่แบบคนเขียนเขียนมาให้ใหญ่แบบไม่มีเหตุผล แล้วก็ไม่ได้นั่งๆนอนๆรอรับเงินอย่างเดียว ต้องไปติดต่อใครต่อใคร ล็อบบี้ ออกตรวจงาน พูดคุยกับลูกน้อง สั่งการอะไรต่างๆ เชื่อมต่อกับการเปลี่ยนผ่านอำนาจมาสู่สามหนุ่มได้อย่างมีเหตุผล เรียกว่านี่เป็นความ"เรียล"อย่างสำคัญของละครเรื่องนี้ที่เราอยากพูดถึง เป็นอีกด้านนึงของความเป็นใหญ่จากการทำผิดกฎหมาย ที่สามหนุ่มมองไม่เห็น
ส่วนสามหนุ่มสามสาวนั้นก็งานดีไม่แพ้กัน ตรงนี้ต้องถือว่าผู้กำกับชัดเจนดีนะ ที่เลือกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้จะโชว์บู๊สมจริงกับดราม่าเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ทั้งเนื้อเรื่องทั้งการแสดง มันไปพร้อมกันหมดเลย เอาจริงๆนะผู้ชายดราม่านี่มันเป็นอะไรที่น่าสนใจนะ ว่าผู้ชายเนี่ย เค้าจะหวั่นไหวด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง แล้วจะแสดงออกแบบไหน ก็ตามนิสัยของแต่ละคนอ่ะ มันก็ไม่ได้เหมือนกันหมดหรอก เฉียดก็บ้าไปอย่างนึง บวรก็บ้าไปอีกอย่าง ส่วนจอม ฉลาดแค่ไหนก็ยังหลงผิดได้อยู่ดี ถ้าไม่บอกว่าเรื่องนี้มีพระเอก บางทีเราก็คงคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนสามคน ที่ดูๆแล้วมันไม่มีใครเป็นพระเอกเลยแม้แต่คนเดียว เพราะว่าสามคนนี่ก็ด่างพร้อยหมดทุกคน และเล่นกันได้แบบชวนให้ติดตามไปจนจบว่าแต่ละคนจะพาตัวเองไปสู่จุดจบแบบไหนกันบ้าง และความเป็นเพื่อนที่เคยมีมา สุดท้ายมันจะกลายเป็นอะไร ส่วนสามสาวนั้นไม่มีไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะออกไม่เยอะมากแต่ก็สำคัญนะ เป็นสามสาวที่เป็นตัวผลักดันให้หนุ่มๆออกไปทำอะไรหลายอย่างจนมันเป็นเรื่องมาให้เราได้ชมกันนี่แหละ อาจจะร้องไห้ไม่มีน้ำตากันบ้างแต่มันกลับทำให้เราต้องมานั่งนึกใหม่ว่า คนเราร้องไห้นี่มันจะต้องน้ำตาไหลพรากๆแบบที่เคยเห็นกันบ่อยๆจริงรึเปล่า สามคนนี่ก็ไม่เหมือนกันอีก ซึ่งมันก็ทำให้ละครดูมีความหลากหลายขึ้น ความหลากหลายทางการแสดงของแต่ละคนก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ละครเรื่องนี้น่าดู
ความแปลกใหม่ที่ทำให้เราทึ่งมากๆ ที่อยากจะถามทางทีมงานตั้งแต่ตอนแรกที่เห็นแล้วว่าทำได้ยังไง ก็คือการบู๊สามคน คือปกติเวลาเตะต่อยกันสู้กันนี่ถ้าไม่ใช่ทีละสองคน ก็ทีละสองฝั่ง แต่บู๊สามคนนี่เค้าคิดออกแบบเหตุการณ์กันยังไงนะมันถึงได้ออกมาเป็นสู้สามคนสามฝ่ายพอดี ไม่ได้เป็นแบบสองรุมหนึ่ง อารมณ์มันออกมาแบบ คนนั้นของเรา นายห้ามฆ่า เราฆ่าได้คนเดียว อีกคนก็แบบ ไม่ได้ นี่มันไม่ใช่เรื่องของนาย มันเป็นเรื่องของเรา(กับอีกคนนึง) สองคนที่ว่านี่คือเฉียดกับบวรนั่นเอง ส่วนจอมก็อยู่ตรงกลาง และถึงแม้ว่าจอมจะได้ทำสิ่งที่ทำให้อีกสองคนอยากฆ่าจอม แต่พออยู่พร้อมหน้ากันมันก็ไม่มีใครฆ่าใครได้ซะทีจนกระทั่งตอนสุดท้าย ส่วนคนดูก็รอเสพฉากบู๊กันจุใจไปสิ
แล้วก็ที่อยากจะแสดงความนับถือคือ คนแต่งเรื่อง เราไม่รู้ว่าคุณอรชรนี่ เค้าเป็นใคร เป็นคนของค่ายหรือเป็นคนของช่อง แต่แต่งเรื่องออกมาได้เยี่ยมทีเดียว ที่สามารถผูกคนตั้งเยอะตั้งแยะเข้ามาไว้ในเรื่องเดียวกันหมดได้แบบที่ไม่มีใครถูกทิ้ง สามหนุ่ม สามสาว สามเจ้าพ่อ ลูกน้องอีกหลายๆคน รวมไปถึงครอบครัวของทั้งสามหนุ่มด้วย และนับถือคนเขียนบท ผู้กำกับด้วย แต่ละคนอาจจะออกมาคนละนิดคนละหน่อยแต่ทุกคนมีตัวตนหมดในสายตาคนดูอย่างเรา มันทำให้เนื้อเรื่องแต่ละตอนค่อนข้างแน่น (เราอุตส่าห์เชียร์พี่ตอง แต่ตอนพี่ตองตายก็แทบไม่มีเวลาให้เสียใจ เพราะปมอื่นยังรออยู่อีกเยอะ) และเราเดาไม่ถูกแม้แต่แค่ตอนต่อไป สุดท้ายเราเลิกเดาตอนจบไปเลย เพราะถึงยังไงก็อยากรู้อยู่ดีว่ามันจะไปสู่จุดจบแบบไหนเพราะอะไร เนื้อเรื่องมันแน่น อารมณ์มันต่อเนื่องกันไปหมด
ถ้านี่เป็นอาหารซักจานเราคงบอกได้ว่ามันอิ่มและอร่อยมาก แล้วก็ไม่กลัวที่จะบอกต่อเพื่อนๆให้มาลองกินบ้างแน่ๆ ขอบคุณมากๆนะมือเหนือเมฆ เป็นละครที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องนึงเลย