ผมรู้จักพี่เป็นเอกตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ฝันบ้าคาราโอเกะ ดูเรื่องแรกก็ชอบเลยครับ หนังของพี่สนุก มีสาระและน่าสนใจ ในความมีสาระก็จะมีความอาร์ตอยู่ด้วย ทำให้ทุกอย่างมันลงตัว พอดูผลงานของพี่เป็นเอกมากขึ้นทำให้รู้สึกว่าความโดดเด่นอีกอย่างของ “หนังเป็นเอก” คือการคัดเลือกนักแสดงที่เหมาะสม ซึ่งทำให้หนังมันสมบูรณ์มากๆเลยครับ เรามาดูเรื่องย่อของฝันบ้าฯกันก่อนเลยครับ (ยืมมาจากวิกินะครับ เขียนเองหมดไม่ไหว)
ฝันบ้าคาราโอเกะ
เรื่องย่อ
ปู (เฟย์ อัศเวศน์) ทีมงานสร้างภาพยนตร์โฆษณา เป็นหญิงสาวที่อาศัยอยู่กับพ่อ (ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว) สองคน หลังจากแม่ตายไปตั้งแต่เธอยังเล็ก เธอมักจะฝันว่า แม่ (Rae Chow) กำลังสร้างบ้านโมเดลหลังเล็กๆ อยู่ และฝันว่าแม่เอาปืนยิงพ่อเสียชีวิต หลังจากพบว่าพ่อไปมีความสุขกับหญิงอื่น พ่อปั๋ม เพื่อนสนิทของปู (พูนสวัสดิ์ ธีมากร) ทำนายฝันว่า วันใดที่แม่เธอสร้างบ้านโมเดลเสร็จ วันนั้นเป็นวันที่พ่อเธอจะต้องตาย
พ่อเธอเป็นคนดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด และชอบร้องคาราโอเกะ ทั้งยังแอบไปมีความสัมพันธ์กับ หยก (แชมเปญ เอ็กซ์) เมียน้อยของเสี่ยโต้ง (วีรดิษ วิญญรัตน์) เจ้าของร้านคาราโอเกะ ซึ่งเมื่อรู้ความสัมพันธ์ลับนั้นก็ส่งมือปืนมาตามเก็บพ่อปู
น้อย (เรย์ แมคโดนัลด์) ชายหนุ่มขี้อายที่เป็นลูกค้าร้านสะดวกซื้อที่ ปั๋ม (ณัฐณิชา ครองลาภยศ) เพื่อนปูทำงานอยู่ เวลาน้อยมาซื้อของ มักจะเจอกับปู ที่มาขลุกอยู่ที่ร้านปั๋มอยู่เสมอ ทั้งคู่ต่างมีใจให้กัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าเบื้องหลังนั้น น้อยเป็นลูกน้องของเสี่ยโต้ง เป็นมือปืนที่มีหน้าที่เก็บกวาดคนที่มาเกาะแกะเมียน้อยของเจ้านาย น้อยมุ่งมั่นทำงานเก็บเงิน เพื่อเดินทางไปหาประสบการณ์ที่อเมริกา
ในฝันนั้น บ้านโมเดลใกล้จะเสร็จลงทุกวัน ปูพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยต่อชีวิตพ่อ ไม่ว่าจะบริจาคโลงศพ แก้เคล็ด ฯลฯ ในขณะที่น้อยกับปู ต่างก็ค่อยๆ สานต่อความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99_%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2_%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B0
ในฝันบ้าฯนั้น การเลือก เรย์ แมคโดนัลด์และเฟย์ อัศเวศน์ ถือว่าเหมาะเจาะจริงๆนะครับ และก็เข้ากับหน้าหนังเป็นอย่างมาก มีหลายฉากที่ทำให้รู้สึกทึ่งกับความคิดความอ่านของพี่เป็นเอก ทำให้รอผลงานชิ้นต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
พอผมได้ดู “เรื่องตลก 69” ผลงานเรื่องที่ 2 ของพี่เป็นเอก ผมก็ชอบมากๆเลยครับ พี่เป็นเอกจับคุณหมิว ลลิตามาอยู่ถูกที่จริงๆกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ใครยังไม่ได้ดูหรือลืมไปแล้ว เรามาทบทวนเรื่องย่อจากวิกิกันครับ
เรื่องตลก 69
เรื่องย่อ
ตุ้ม (ลลิตา ปัญโญภาส) พนักงานบริษัทไฟแนนซ์ที่เพิ่งถูกให้ออกจากงาน หลังจากบริษัทประสบปัญหาการเงินอันเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจ ตุ้มพักอาศัยคนเดียวในห้องหมายเลข 6 บนชั้นสามของอพาร์ทเมนท์ ด้วยความที่เธอเป็นคนสวย และโสด จึงเป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน รวมทั้งชายโรคจิตที่ชอบโทรศัพท์มาที่ห้องเพื่อสำเร็จความใคร่ให้ฟัง
เกิดเรื่องยุ่งๆ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาตอนเช้าเพราะเสียงโทรศัพท์โรคจิต แล้วมีเสียงคนเคาะประตูห้อง มีคนเอาลังบะหมี่สำเร็จรูป ภายในบรรจุธนบัตรอัดเต็มลังวางไว้หน้าห้อง ปรากฏว่าจริงๆ แล้วเกิดความผิดพลาดเพราะป้ายเลขห้องของเธอ น็อตยึดหลุดไป ป้ายเลข 6 จึงพลิกลงมาเป็นเลข 9 เงินนั้นเป็นเงินค่าจ้างล้มมวยที่เสี่ยโต้ง นักพนันมวย นัดส่งมอบกับเจ้าของค่ายมวยชื่อ ครรชิต มวยไทย ที่หน้าห้องหมายเลข 9
ทั้งเสี่ยโต้ง และครรชิต ต่างก็ระแวงว่าอีกฝ่ายเชิดเงินล้านหนีไป และส่งลูกน้องเข้ามาสืบหา และพบว่าเกิดความผิดพลาด เงินนั้นเข้ามาอยู่ในห้องตุ้ม เรื่องยิ่งยุ่งเข้าไปอีกเมื่อใครต่อใครก็นัดเข้ามาตายอยู่ในห้องตุ้ม
โดยความเข้าใจผิดของฝ่ายเสี่ยโต้ง
• เอาตำรวจมายุ่งและฆ่าลูกน้องตัวเองตาย (ความจริงแล้วตำรวจมาขอเข้าห้องของตุ้ม เพื่อที่จะใช้ระเบียงข้ามไปจับคนเล่นยา แต่ดันไปเห็นขาของเหลิม ลูกน้องครรชิต จึงเข้าทำการจับกุมตุ้ม แต่ในระหว่างจับกุมนั้น ลูกน้องของ เสี่ยโต้ง เข้ามาสืบเรื่องราว และเข้าไปแอบในตู้ก่อนที่ตำรวจ และตุ้มจะมา ดันส่งเสียงดัง ทำให้ตำรวจ เดินเข้าไป ที่ตู้นั้น ด้วยอารามตกใจ ทั้งสองฝ่าย ต่างยิงกัน ทำให้ตายทั้งคู่)
ความเข้าใจผิดของฝ่ายครรชิต
• คิดว่าเสี่ยโต้งส่งตุ้มมาเป็นนางนกต่อ และฆ่าเหลิมกับน้อยทิ้ง (ความจริง สาเหตุ มาจาก เลข 6 9 นั่นแหละ)
สุดท้าย เสี่ยโต้ง และครรชิต ได้เข้ามาเคลียร์ปัญหาทั้งหมด โดยนัดมาคุยที่เกิดเหตุ คือห้องตุ้ม ซึ่งต่างฝ่าย ต่างใช้ความเข้าใจผิดตามที่กล่าวมาข้างต้น มาดีเบตกัน แบบคิดเองเออเอง สุดท้ายคุยกันไม่รู้เรื่อง ครรชิตจึงใช้ลูกน้องจับตัว เสี่ยโต้ง ในขณะเดี่ยวกัน ลูกน้องเสี่ยโต้ง ก็เข้ามาจับครรชิตได้ทัน และสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%81_69
ผมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะกับคุณหมิวมากในบทนำเดี่ยวที่เล่นได้ดีมากๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2542 ทั้งรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง และยังได้รับรางวัลจากต่างประเทศด้วย ที่สำคัญไปกว่ารางวัลและรายได้คือเนื้องานที่สัมผัสได้ถึงความถึงพร้อมของพี่เป็นเอก ทำให้หลายคนเริ่มรับรู้ว่า “หนังเป็นเอก” มีลักษณะเป็นอย่างไร
ผลงานต่อมาของพี่เป็นเอกคือเรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ เรื่องนี้ถือว่ามีความโดดเด่นสูงมาก การคัดเลือกนักแสดงและบท พร้อมการกำกับที่มีคุณภาพเป็นที่กล่าวขวัญถึง เรื่องย่อจากวิกิมีดังนี้ครับ
แผน (รับบทโดย ต๊อก ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ) หนุ่มบ้านนอกชอบร้องเพลง ที่ชอบ เอ็นเตอร์เทนพ่อแม่พี่น้องร้องเพลงกับวง "กระเดือกทองคำ" ตามงานวัดอยู่เสมอๆ ได้พบ สะเดา (รับบทโดย อุ้ม สิริยากร พุกกะเวส) ครั้งแรกก็ที่งานวัดในหมู่บ้านบางน้ำไหล แม้มีอุปสรรคแต่ทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน
วิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก คือของขวัญแต่งงานที่ไอ้แผนให้เมียรัก ทำให้แผนนึกภาพตัวเองเป็น "สุรแผน เพชรน้ำไหล" นักร้องชื่อดังที่มีคนดูเป็นร้อยๆ ได้ชัดเจน สะเดาตั้งท้องได้ 5 เดือน ไอ้แผนก็ได้รับหมายเกณฑ์ ระหว่างเป็นทหาร ก็ไปประกวดร้องเพลง รายการ "ปั้นดินให้เป็นดาว" ได้รองอันดับหนึ่ง จึงตัดสินใจหนีทหารเข้ากรุง ไปฝึกเป็นนักร้องอย่างที่มันฝันใฝ่ สะเดาไม่เข้าใจว่าทำไมแผนเงียบหายไป วิทยุทรานซิสเตอร์ก็เริ่มรวน แล้วเธอก็คลอดลูกชาย
ฝ่ายไอ้แผน ได้เป็นเด็กประจำวง "เพลิน แพรสุพรรณ" ของคุณสุวัตร เตียงทอง หัวหน้าวงที่ใครๆ ในวงการเรียกว่า ป๋า (สมเล็ก ศักดิกุล) มีหน้าที่คอยวิ่งซื้อบุหรี่ เสิร์ฟน้ำ กวาดโรงซ้อม จน 2 ปีผ่านไป ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม แต่ ดาว (พรทิพย์ ปาปะนัย) นักร้องสาวที่เข้ากรุงมาพร้อมกันกับมัน กำลังจะมีอัลบั้มและคอนเสิร์ตของตัวเอง "ดาว สาวสวนแตง"
สะเดาเฝ้ารอไอ้แผนอยู่นานหลายปี จนทนไม่ไหวที่จะรอต่อไป เลยชวนพ่อเข้ากรุงไปตามหาแผน ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
หนังเรื่องนี้ดูง่ายและย่อยง่าย แต่ก็อาร์ตเหลือกำลัง ดูเหมือนว่าพี่เป็นเอกกำลังจะบอกความจริงบางอย่างกับคนดู รวมกระทั่งไอ้แผน ตัวละครในเรื่องด้วย เรื่องราวดำเนินไปพร้อมกับความสนุกและสาระแฝงอันทรงคุณค่า ความดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากผู้กำกับและทีมงานทุกฝ่ายแล้ว คนที่จะลืมไปไม่ได้เลยคือนักแสดง คุณต๊อก ศุภกรณ์และคุณอุ้ม สิริยากร ทำหน้าที่ได้ดีมากเลยครับ จนทำให้ทั้งคู่ได้รับรางวัลนำชายและนำหญิงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปยังภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องของพี่เป็นเอก เราจะพบว่าเราสามารถที่จะเรียกงานภาพยนตร์ของพี่เป็นเอกได้ว่าเป็น “ภาพยนตร์สะท้อนสังคม” แต่เป็นการสะท้อนอย่างมีลีลาและเต็มไปด้วยความมีศิลปะ แค่หนัง 3 เรื่องแรกก็เอาใจผมไปเต็มๆ ทำให้อยากรู้ต่อไปว่าผลงานเรื่องที่ 4 ของพี่เป็นเอกจะเป็นอย่างไร
จนมาถึงผลงานเรื่องที่ 4 ของพี่เขาที่ผมชอบมากๆและชอบชื่อเรื่องที่เป็นภาษาอังกฤษมาก ... Last Life in the Universe) แล้วก็ชอบใบปิด ชอบนักแสดงของหนังเรื่องนี้มากๆ ชื่อไทยก็เท่ครับ ... เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล เรื่องนี้ทำให้ผมฟินมาก เรื่องย่อจากวิกิมีอยู่ว่า
เคนจิ (ทาดาโนบุ อาซาโน่) ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทย เขาครุ่นคิดเรื่องฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งเขาพบเจอกับ น้อย หญิงสาวชาวไทย ในตอนที่น้องของเธอถูกรถชน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่บ้านพักของเขา พี่ชายของเขาที่หนีความผิดมาจากญี่ปุ่น ถูกเพื่อนยากูซ่าฆ่าตาย เพื่อนพี่ชายเขากำลังจะฆ่าเคนจิ แต่หลังไฟดับ เคนจิเป็นผู้เดียวที่รอดชีวิต เขาเจอน้อยอีกครั้ง ที่ห้องสมุด ที่ทำงานของเขา เมื่อน้อยเอากระเป๋าของเขามาคืน เคนจิไปพักที่บ้านน้อย และเรื่องราวต่าง ๆ ก็ดำเนินไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81_%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94_%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5
Last Life in the Universe (ขอเรียกชื่ออังกฤษนะครับ) ได้สะท้อนสังคมอย่างตรงไปตรงมาท่ามกลางความแปลกแยกในสังคมที่มากมีอารยธรรม บางครั้งเรามึนกับความต้องการจริงๆของตัวเราเอง เราอาจยังบอกไม่ได้ว่าตัวเองคือใคร แต่เราก็พอจะตระหนักได้ว่า “ความรัก” สำคัญต่อตัวเรามากน้อยแค่ไหน Last Life in the Universe นอกจากจะสะท้อนสังคมอย่างตรงไปตรงมาแล้ว มันยังสะท้อนกลับไปยังหนังทั้งสามเรื่องของพี่เป็นเอกด้วย ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าพี่เป็นเอกเป็นนักวิพากษ์สังคมตัวกลั่นที่ได้กรองความคิดและบทวิพากษ์สังคมของตัวเองออกมาในรูปแบบของศิลปะภาพยนตร์
Last Life in the Universe จริงจังมากพอๆกับที่มันอาร์ตมากๆ ผมชอบใจที่พี่เป็นเอกเลือก ทาดาโนบุ อาซาโน่ มาแสดงในหนังเรื่องนี้เพราะเขาเหมาะกับบทอย่างแรง
“หนังเป็นเอก” ของ เป็นเอก รัตนเรือง (ยิ่งจริงจัง ยิ่งอาร์ต)
ผมรู้จักพี่เป็นเอกตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ฝันบ้าคาราโอเกะ ดูเรื่องแรกก็ชอบเลยครับ หนังของพี่สนุก มีสาระและน่าสนใจ ในความมีสาระก็จะมีความอาร์ตอยู่ด้วย ทำให้ทุกอย่างมันลงตัว พอดูผลงานของพี่เป็นเอกมากขึ้นทำให้รู้สึกว่าความโดดเด่นอีกอย่างของ “หนังเป็นเอก” คือการคัดเลือกนักแสดงที่เหมาะสม ซึ่งทำให้หนังมันสมบูรณ์มากๆเลยครับ เรามาดูเรื่องย่อของฝันบ้าฯกันก่อนเลยครับ (ยืมมาจากวิกินะครับ เขียนเองหมดไม่ไหว)
ฝันบ้าคาราโอเกะ
เรื่องย่อ
ปู (เฟย์ อัศเวศน์) ทีมงานสร้างภาพยนตร์โฆษณา เป็นหญิงสาวที่อาศัยอยู่กับพ่อ (ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว) สองคน หลังจากแม่ตายไปตั้งแต่เธอยังเล็ก เธอมักจะฝันว่า แม่ (Rae Chow) กำลังสร้างบ้านโมเดลหลังเล็กๆ อยู่ และฝันว่าแม่เอาปืนยิงพ่อเสียชีวิต หลังจากพบว่าพ่อไปมีความสุขกับหญิงอื่น พ่อปั๋ม เพื่อนสนิทของปู (พูนสวัสดิ์ ธีมากร) ทำนายฝันว่า วันใดที่แม่เธอสร้างบ้านโมเดลเสร็จ วันนั้นเป็นวันที่พ่อเธอจะต้องตาย
พ่อเธอเป็นคนดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด และชอบร้องคาราโอเกะ ทั้งยังแอบไปมีความสัมพันธ์กับ หยก (แชมเปญ เอ็กซ์) เมียน้อยของเสี่ยโต้ง (วีรดิษ วิญญรัตน์) เจ้าของร้านคาราโอเกะ ซึ่งเมื่อรู้ความสัมพันธ์ลับนั้นก็ส่งมือปืนมาตามเก็บพ่อปู
น้อย (เรย์ แมคโดนัลด์) ชายหนุ่มขี้อายที่เป็นลูกค้าร้านสะดวกซื้อที่ ปั๋ม (ณัฐณิชา ครองลาภยศ) เพื่อนปูทำงานอยู่ เวลาน้อยมาซื้อของ มักจะเจอกับปู ที่มาขลุกอยู่ที่ร้านปั๋มอยู่เสมอ ทั้งคู่ต่างมีใจให้กัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าเบื้องหลังนั้น น้อยเป็นลูกน้องของเสี่ยโต้ง เป็นมือปืนที่มีหน้าที่เก็บกวาดคนที่มาเกาะแกะเมียน้อยของเจ้านาย น้อยมุ่งมั่นทำงานเก็บเงิน เพื่อเดินทางไปหาประสบการณ์ที่อเมริกา
ในฝันนั้น บ้านโมเดลใกล้จะเสร็จลงทุกวัน ปูพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยต่อชีวิตพ่อ ไม่ว่าจะบริจาคโลงศพ แก้เคล็ด ฯลฯ ในขณะที่น้อยกับปู ต่างก็ค่อยๆ สานต่อความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในฝันบ้าฯนั้น การเลือก เรย์ แมคโดนัลด์และเฟย์ อัศเวศน์ ถือว่าเหมาะเจาะจริงๆนะครับ และก็เข้ากับหน้าหนังเป็นอย่างมาก มีหลายฉากที่ทำให้รู้สึกทึ่งกับความคิดความอ่านของพี่เป็นเอก ทำให้รอผลงานชิ้นต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
พอผมได้ดู “เรื่องตลก 69” ผลงานเรื่องที่ 2 ของพี่เป็นเอก ผมก็ชอบมากๆเลยครับ พี่เป็นเอกจับคุณหมิว ลลิตามาอยู่ถูกที่จริงๆกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ใครยังไม่ได้ดูหรือลืมไปแล้ว เรามาทบทวนเรื่องย่อจากวิกิกันครับ
เรื่องตลก 69
เรื่องย่อ
ตุ้ม (ลลิตา ปัญโญภาส) พนักงานบริษัทไฟแนนซ์ที่เพิ่งถูกให้ออกจากงาน หลังจากบริษัทประสบปัญหาการเงินอันเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจ ตุ้มพักอาศัยคนเดียวในห้องหมายเลข 6 บนชั้นสามของอพาร์ทเมนท์ ด้วยความที่เธอเป็นคนสวย และโสด จึงเป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน รวมทั้งชายโรคจิตที่ชอบโทรศัพท์มาที่ห้องเพื่อสำเร็จความใคร่ให้ฟัง
เกิดเรื่องยุ่งๆ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาตอนเช้าเพราะเสียงโทรศัพท์โรคจิต แล้วมีเสียงคนเคาะประตูห้อง มีคนเอาลังบะหมี่สำเร็จรูป ภายในบรรจุธนบัตรอัดเต็มลังวางไว้หน้าห้อง ปรากฏว่าจริงๆ แล้วเกิดความผิดพลาดเพราะป้ายเลขห้องของเธอ น็อตยึดหลุดไป ป้ายเลข 6 จึงพลิกลงมาเป็นเลข 9 เงินนั้นเป็นเงินค่าจ้างล้มมวยที่เสี่ยโต้ง นักพนันมวย นัดส่งมอบกับเจ้าของค่ายมวยชื่อ ครรชิต มวยไทย ที่หน้าห้องหมายเลข 9
ทั้งเสี่ยโต้ง และครรชิต ต่างก็ระแวงว่าอีกฝ่ายเชิดเงินล้านหนีไป และส่งลูกน้องเข้ามาสืบหา และพบว่าเกิดความผิดพลาด เงินนั้นเข้ามาอยู่ในห้องตุ้ม เรื่องยิ่งยุ่งเข้าไปอีกเมื่อใครต่อใครก็นัดเข้ามาตายอยู่ในห้องตุ้ม
โดยความเข้าใจผิดของฝ่ายเสี่ยโต้ง
• เอาตำรวจมายุ่งและฆ่าลูกน้องตัวเองตาย (ความจริงแล้วตำรวจมาขอเข้าห้องของตุ้ม เพื่อที่จะใช้ระเบียงข้ามไปจับคนเล่นยา แต่ดันไปเห็นขาของเหลิม ลูกน้องครรชิต จึงเข้าทำการจับกุมตุ้ม แต่ในระหว่างจับกุมนั้น ลูกน้องของ เสี่ยโต้ง เข้ามาสืบเรื่องราว และเข้าไปแอบในตู้ก่อนที่ตำรวจ และตุ้มจะมา ดันส่งเสียงดัง ทำให้ตำรวจ เดินเข้าไป ที่ตู้นั้น ด้วยอารามตกใจ ทั้งสองฝ่าย ต่างยิงกัน ทำให้ตายทั้งคู่)
ความเข้าใจผิดของฝ่ายครรชิต
• คิดว่าเสี่ยโต้งส่งตุ้มมาเป็นนางนกต่อ และฆ่าเหลิมกับน้อยทิ้ง (ความจริง สาเหตุ มาจาก เลข 6 9 นั่นแหละ)
สุดท้าย เสี่ยโต้ง และครรชิต ได้เข้ามาเคลียร์ปัญหาทั้งหมด โดยนัดมาคุยที่เกิดเหตุ คือห้องตุ้ม ซึ่งต่างฝ่าย ต่างใช้ความเข้าใจผิดตามที่กล่าวมาข้างต้น มาดีเบตกัน แบบคิดเองเออเอง สุดท้ายคุยกันไม่รู้เรื่อง ครรชิตจึงใช้ลูกน้องจับตัว เสี่ยโต้ง ในขณะเดี่ยวกัน ลูกน้องเสี่ยโต้ง ก็เข้ามาจับครรชิตได้ทัน และสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะกับคุณหมิวมากในบทนำเดี่ยวที่เล่นได้ดีมากๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2542 ทั้งรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง และยังได้รับรางวัลจากต่างประเทศด้วย ที่สำคัญไปกว่ารางวัลและรายได้คือเนื้องานที่สัมผัสได้ถึงความถึงพร้อมของพี่เป็นเอก ทำให้หลายคนเริ่มรับรู้ว่า “หนังเป็นเอก” มีลักษณะเป็นอย่างไร
ผลงานต่อมาของพี่เป็นเอกคือเรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ เรื่องนี้ถือว่ามีความโดดเด่นสูงมาก การคัดเลือกนักแสดงและบท พร้อมการกำกับที่มีคุณภาพเป็นที่กล่าวขวัญถึง เรื่องย่อจากวิกิมีดังนี้ครับ
แผน (รับบทโดย ต๊อก ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ) หนุ่มบ้านนอกชอบร้องเพลง ที่ชอบ เอ็นเตอร์เทนพ่อแม่พี่น้องร้องเพลงกับวง "กระเดือกทองคำ" ตามงานวัดอยู่เสมอๆ ได้พบ สะเดา (รับบทโดย อุ้ม สิริยากร พุกกะเวส) ครั้งแรกก็ที่งานวัดในหมู่บ้านบางน้ำไหล แม้มีอุปสรรคแต่ทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน
วิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก คือของขวัญแต่งงานที่ไอ้แผนให้เมียรัก ทำให้แผนนึกภาพตัวเองเป็น "สุรแผน เพชรน้ำไหล" นักร้องชื่อดังที่มีคนดูเป็นร้อยๆ ได้ชัดเจน สะเดาตั้งท้องได้ 5 เดือน ไอ้แผนก็ได้รับหมายเกณฑ์ ระหว่างเป็นทหาร ก็ไปประกวดร้องเพลง รายการ "ปั้นดินให้เป็นดาว" ได้รองอันดับหนึ่ง จึงตัดสินใจหนีทหารเข้ากรุง ไปฝึกเป็นนักร้องอย่างที่มันฝันใฝ่ สะเดาไม่เข้าใจว่าทำไมแผนเงียบหายไป วิทยุทรานซิสเตอร์ก็เริ่มรวน แล้วเธอก็คลอดลูกชาย
ฝ่ายไอ้แผน ได้เป็นเด็กประจำวง "เพลิน แพรสุพรรณ" ของคุณสุวัตร เตียงทอง หัวหน้าวงที่ใครๆ ในวงการเรียกว่า ป๋า (สมเล็ก ศักดิกุล) มีหน้าที่คอยวิ่งซื้อบุหรี่ เสิร์ฟน้ำ กวาดโรงซ้อม จน 2 ปีผ่านไป ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม แต่ ดาว (พรทิพย์ ปาปะนัย) นักร้องสาวที่เข้ากรุงมาพร้อมกันกับมัน กำลังจะมีอัลบั้มและคอนเสิร์ตของตัวเอง "ดาว สาวสวนแตง"
สะเดาเฝ้ารอไอ้แผนอยู่นานหลายปี จนทนไม่ไหวที่จะรอต่อไป เลยชวนพ่อเข้ากรุงไปตามหาแผน ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หนังเรื่องนี้ดูง่ายและย่อยง่าย แต่ก็อาร์ตเหลือกำลัง ดูเหมือนว่าพี่เป็นเอกกำลังจะบอกความจริงบางอย่างกับคนดู รวมกระทั่งไอ้แผน ตัวละครในเรื่องด้วย เรื่องราวดำเนินไปพร้อมกับความสนุกและสาระแฝงอันทรงคุณค่า ความดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากผู้กำกับและทีมงานทุกฝ่ายแล้ว คนที่จะลืมไปไม่ได้เลยคือนักแสดง คุณต๊อก ศุภกรณ์และคุณอุ้ม สิริยากร ทำหน้าที่ได้ดีมากเลยครับ จนทำให้ทั้งคู่ได้รับรางวัลนำชายและนำหญิงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปยังภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องของพี่เป็นเอก เราจะพบว่าเราสามารถที่จะเรียกงานภาพยนตร์ของพี่เป็นเอกได้ว่าเป็น “ภาพยนตร์สะท้อนสังคม” แต่เป็นการสะท้อนอย่างมีลีลาและเต็มไปด้วยความมีศิลปะ แค่หนัง 3 เรื่องแรกก็เอาใจผมไปเต็มๆ ทำให้อยากรู้ต่อไปว่าผลงานเรื่องที่ 4 ของพี่เป็นเอกจะเป็นอย่างไร
จนมาถึงผลงานเรื่องที่ 4 ของพี่เขาที่ผมชอบมากๆและชอบชื่อเรื่องที่เป็นภาษาอังกฤษมาก ... Last Life in the Universe) แล้วก็ชอบใบปิด ชอบนักแสดงของหนังเรื่องนี้มากๆ ชื่อไทยก็เท่ครับ ... เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล เรื่องนี้ทำให้ผมฟินมาก เรื่องย่อจากวิกิมีอยู่ว่า
เคนจิ (ทาดาโนบุ อาซาโน่) ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทย เขาครุ่นคิดเรื่องฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งเขาพบเจอกับ น้อย หญิงสาวชาวไทย ในตอนที่น้องของเธอถูกรถชน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่บ้านพักของเขา พี่ชายของเขาที่หนีความผิดมาจากญี่ปุ่น ถูกเพื่อนยากูซ่าฆ่าตาย เพื่อนพี่ชายเขากำลังจะฆ่าเคนจิ แต่หลังไฟดับ เคนจิเป็นผู้เดียวที่รอดชีวิต เขาเจอน้อยอีกครั้ง ที่ห้องสมุด ที่ทำงานของเขา เมื่อน้อยเอากระเป๋าของเขามาคืน เคนจิไปพักที่บ้านน้อย และเรื่องราวต่าง ๆ ก็ดำเนินไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Last Life in the Universe (ขอเรียกชื่ออังกฤษนะครับ) ได้สะท้อนสังคมอย่างตรงไปตรงมาท่ามกลางความแปลกแยกในสังคมที่มากมีอารยธรรม บางครั้งเรามึนกับความต้องการจริงๆของตัวเราเอง เราอาจยังบอกไม่ได้ว่าตัวเองคือใคร แต่เราก็พอจะตระหนักได้ว่า “ความรัก” สำคัญต่อตัวเรามากน้อยแค่ไหน Last Life in the Universe นอกจากจะสะท้อนสังคมอย่างตรงไปตรงมาแล้ว มันยังสะท้อนกลับไปยังหนังทั้งสามเรื่องของพี่เป็นเอกด้วย ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าพี่เป็นเอกเป็นนักวิพากษ์สังคมตัวกลั่นที่ได้กรองความคิดและบทวิพากษ์สังคมของตัวเองออกมาในรูปแบบของศิลปะภาพยนตร์
Last Life in the Universe จริงจังมากพอๆกับที่มันอาร์ตมากๆ ผมชอบใจที่พี่เป็นเอกเลือก ทาดาโนบุ อาซาโน่ มาแสดงในหนังเรื่องนี้เพราะเขาเหมาะกับบทอย่างแรง