หลังจากนั่งปักมุดอยู่ตั้งนานว่าจะไปไหนดี ช่วงนี้เงินทองหายาก เพราะเที่ยวไปเยอะ เลยพยายามหาที่เที่ยวที่แบบ 3 วัน 2 คืน แต่งบไม่เกิน 5 พัน ได้นั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ อยากจะแสตมป์ที่หน้าพาสปอต โดยเรามานั่งคำนวณกันอยู่นานว่ามีประเทศไหนที่ถูก ตั๋วเครื่องบินไม่แพง งบน้อยๆ ใช้เวลาไม่นาน คงจะต้องเป็นแถวเอเชียนี่แหละ คำนวณไปมา เลยลงมาที่ เวียดนามใต้นี่เอง เราหาตั๋วช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ได้มาที่ราคา 2,800 บาทต่อคน ไปกลับ สายการบิน ไลอ้อนแอร์ ถือว่าถูกกว่าไปเชียงใหม่แบบปกติอีก
โดยจุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก แค่อยากไปทะเลทรายใหญ่ๆในเอเชียใกล้ๆไทย ที่ไม่ต้องไปถึงดูไบหรือตะวันออกกลาง เราได้เลือกที่พักในมุยเน่ 1 คืน และ ในโฮจิมินย่านกลางเมืองอีก 1 คืน
เริ่มต้นกันที่สนามบินดอนเมืองเวลาตีสี่ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพ ไปที่ โฮจิมินประมาณ 1ชั่วโมงกว่า เวลาที่นั่นนั้นเท่าเมืองไทยเลย เค้าว่ากันว่าประเทศนี้มีการจราจรที่เรียกได้ว่ามั่วกันสุดๆ และ ก็โกงกันเยอะ ไม่รู้จริงไหม เดี๋ยวจะมาหาคำตอบให้นะ
ถึงแล้ววเวียดนาม และเราก็ต้องจัดหาซิมที่ไว้ใช้ติดต่อ หาข้อมูล โดยพอรับกระเป๋าเสร็จแล้ว เดินออกมา ท่านจะพบกับทัวร์ต่างๆ และเครื่องข่ายมือถือให้เลือกมากมายจนเลือกไม่ถูก เราก็อ่านรีวิวมาเค้าบอกว่าอันนี้ดี เราก็เลยซื้อตามเค้าก็คือเครือข่าย Vinaphone และมันก็ดีจริงๆ มี 4G ไวและไม่แพงมาก
หลังจากได้ซิมแล้ว พวกเราก็ออกมาจากสนามบินเพื่อหารถไปเข้าเมือง ก็เช่นเคยอ่านรีวิวมา เค้าบอกว่าต้องขึ้น Taxi ยี่ห้อนี้ดี แนะนำให้ขึ้นไปชั้นบนสุดของสนามบินจะเจอจอดรอ ซึ่งก็จะมีคนคอยโบกเรียกเรียงคิวให้ลูกค้าด้วย ก็ดีและไม่โกงด้วย ราคามิตเตอร์เริ่มต้นที่ 11,000 ดอง
จากสนามบินนั้นเรามุ่งหน้ากันไปที่กลางเมือง ย่านฟามงูเหลา ซึ่งเป็นจุดที่มีบริษัททัวร์เยอะและโรงแรมต่างๆ รวมถึงที่แลกเงินมากมาย จุดนี้ยังสามารถเดินไปยังกลางเมืองหรือสถานที่สำคัญของโฮจิมินได้อีกด้วย เพื่อที่จะไปขึ้นรถทัวร์ต่อไปยังมุยเน่ โดยเราจองตั๋วล่วงหน้าไว้ในรอบ 10 โมง ราคาเพียงแค่ขาละ 6 USD ซึ่งรถบัสส่วนใหญ่จะมาเป็นรอบๆ มาหลายรอบอยู่เหมือนกัน
จากโฮจิมินไป มุยเน่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม และจะแวะพักแค่ 1 จุด เพื่อเข้าห้องน้ำ ภายในรถดูนั่งสบายมาก ไม่ได้แค่นั่งนอนก็สบายๆ
และรถบัสก็จะมาส่งเราถึงโรงแรมที่เราแต่คนคนจองไว้จนถึงที่หมาย หลังจากนั้นเราก็จองแพคเกตทัวร์กับทางบริษัทรถบัสเพื่อที่จะเที่ยวในมุยเน่ในราคาสามคน 40 USD หรือ คนละ 13 เหรียญเองเท่านั้น เป็นแพคเกตรวมที่เที่ยวทั้ง 4 ที่ของมุยเน่ และแล้วก็มาถึงโรงแรม วิวห้องบรรยากาศดีมาก ติดทะเล แต่เป็นทะเลที่ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำ
มุยเน่นั้นเป็นเมืองริมทะเล บรรยากาศเย็นสบาย มีร้านอาหารซีฟู้ดเยอะแยะมากมาย ราคาก็หลากหลายตามไป ส่วน Taxi ที่มุยเน่นั้นราคาจะถูกกว่าโฮจิมินอยู่พอสมควร อาจจะเพราะไม่ใช่เมืองใหญ่ คนที่นี่นน่ารักมาก ที่พักที่เราจองนั้นพนักงานจะเป็นฝรั่งหมดเลย ไม่มีคนเวียดนามเลยคิดว่าหรือคนต่างชาติสามารถมาเปิดโรงแรมที่นี่เองได้
ที่มุยเน่ยังมีร้านนั่งชิวเยอะแยะมากมายมาก บรรยากาศนั่งริมทะเล ฟังเพลง ชิวมาก แต่วันนี้เราต้องเข้านอนไว เพราะพรุ่งนี้จะเดินทางไปทะเลทรายนั้น จะต้องออกเดินทางแต่เช้า เพื่อที่ไม่ให้อากาศที่ทะเลทรายนั้นร้อนเกินไป
วันที่สอง เราออกตี4 เพื่อไปเที่ยวทะเลทรายขาว White Sand dune โดยมีรถจิ๊บของบริษัททัวร์มารับหน้าโรงแรม นั่งรถไปประมาณ 30 นาทีก็จะเข้าเขตทะเลทรายขาว ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ใหญ่มากๆแห่งหนึ่งในอาเซียน กว้างใหญ่มาก พวกเรามาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ในยามเช้า แต่จะเข้าไปในทะเลทรายนี้จะมีบริการให้เช่ารถ ATV ขับเข้าไปซึ่งราคานั้นต้องต่อรองอยู่เพราะราคาต่อคันตกประมาณ 300,000 ดองได้แพงอยู่เหมือนกัน เราเช่ามาพร้อมกับขับเล่นอีกอีกครึ่งชั่วโมง เพื่อเอาบรรยากาศ
มีโอเอซิสด้วยย
หลังจากถ่ายรูปเก็บภาพอันสวยงามเรียบร้อยแล้ว ก็ไปต่อกันที่ทะเลทรายแดง ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ไม่ใหญ่มาก คนมักจะเอากระดานเลื่อนมาไถลเล่นสนุกสนาน
แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปต่อหมู่บ้านประมง ซึ่งที่นี่จะมีอาหารทะเลสดๆ ปลา ปู สดๆมาขายเยอะแยะมากมาย หลังจากนั้นก็ไปที่สุดท้ายนั่นก็คือ Fairly Stream หรือภาษาไทยมันเรียกกันว่า สายน้ำนางฟ้า ซึ่งเป็นเนินทราย ที่ถูกกัดเซาะโดยลำธารเล็ก ๆ จนทำให้เห็นชั้นของทรายที่มีสีแตกต่างกัน จะดูเหมือนคล้ายๆแคนย่อนของเวียดนาม ซึ่งจะเป็นแนวเขาเล็กๆ มีลำน้ำผ่านตลอด พวกเราจะต้องถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าเข้าไป โดยเหยียบบนพื้นน้ำตลอดเส้นทาง ซึ่งเป็นทางที่ยาวอยู่พอสมควร เดินไป เดินกลับทางเดิมสวยๆ
หลังจากนั้นเราก็แล่นกลับมาที่พักเพื่อที่จะรอนั่งรถกลับไปยังโฮจิมิน ก็มารอหน้าโรงแรมรถมารับเดินทางไปอีกเกือบ 5 ชั่วโมงเพราะรถติดด้วย หลังจากถึงโฮจิมินแล้วพวกเราก็มาสำรวจว่าโฮจิมินตอนดึกนั้นเป็นยังไงบ้างง โดยลองเดินกันยามค่ำคืน ซึ่งก็มีสีสันมากมาย แต่ก็ควรจะต้องระวังตัว ไม่ควรประมาทนะครับ
วันที่สาม วันสุดท้าย วันนี้เราจะมาสำรวจเมืองโฮจิมินว่ามีอะไรบ้าง โดยไปที่จุดแลนด์มาร์คอย่างโบสถ์นอร์ตเทอดัมอันลือชื่อ และหลังจากนั้นใกล้เคียงก็จะมีที่ทำการไปรษณีย์อยู่ข้างๆ แอบเสียดายวันที่ไปนั้นโบสถ์ปิด เพราะเป็นวันอาทิตย์หลังเวลามิซซาด้วย
หลังจากชมโบสถ์เสร็จเราก็ไปตามหาลายแทงเฝอ อาหารขึ้นชื่อของเวียดนามซึ่งอร่อยสมคำล่ำลือจริงๆ ค่าครองชีพก็ไม่แพง หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งแท็กซี่ไปสนามบินกัน
สรุปแล้ว ทริปนี้ ค่าตั๋ว 2800 บาท ค่าโรงแรมคนละ 800 บาท ค่าเที่ยวสถานที่ต่างๆ ค่ารถ ค่ากินคนละ 1400 บาท
ใครมีโอกาสก็ต้องลองมาดูสักครั้ง ถูกจริง
[CR] เวียดนามใต้กับงบเพียงแค่ ห้าพันบาท
โดยจุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก แค่อยากไปทะเลทรายใหญ่ๆในเอเชียใกล้ๆไทย ที่ไม่ต้องไปถึงดูไบหรือตะวันออกกลาง เราได้เลือกที่พักในมุยเน่ 1 คืน และ ในโฮจิมินย่านกลางเมืองอีก 1 คืน
เริ่มต้นกันที่สนามบินดอนเมืองเวลาตีสี่ ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพ ไปที่ โฮจิมินประมาณ 1ชั่วโมงกว่า เวลาที่นั่นนั้นเท่าเมืองไทยเลย เค้าว่ากันว่าประเทศนี้มีการจราจรที่เรียกได้ว่ามั่วกันสุดๆ และ ก็โกงกันเยอะ ไม่รู้จริงไหม เดี๋ยวจะมาหาคำตอบให้นะ
ถึงแล้ววเวียดนาม และเราก็ต้องจัดหาซิมที่ไว้ใช้ติดต่อ หาข้อมูล โดยพอรับกระเป๋าเสร็จแล้ว เดินออกมา ท่านจะพบกับทัวร์ต่างๆ และเครื่องข่ายมือถือให้เลือกมากมายจนเลือกไม่ถูก เราก็อ่านรีวิวมาเค้าบอกว่าอันนี้ดี เราก็เลยซื้อตามเค้าก็คือเครือข่าย Vinaphone และมันก็ดีจริงๆ มี 4G ไวและไม่แพงมาก
หลังจากได้ซิมแล้ว พวกเราก็ออกมาจากสนามบินเพื่อหารถไปเข้าเมือง ก็เช่นเคยอ่านรีวิวมา เค้าบอกว่าต้องขึ้น Taxi ยี่ห้อนี้ดี แนะนำให้ขึ้นไปชั้นบนสุดของสนามบินจะเจอจอดรอ ซึ่งก็จะมีคนคอยโบกเรียกเรียงคิวให้ลูกค้าด้วย ก็ดีและไม่โกงด้วย ราคามิตเตอร์เริ่มต้นที่ 11,000 ดอง
จากสนามบินนั้นเรามุ่งหน้ากันไปที่กลางเมือง ย่านฟามงูเหลา ซึ่งเป็นจุดที่มีบริษัททัวร์เยอะและโรงแรมต่างๆ รวมถึงที่แลกเงินมากมาย จุดนี้ยังสามารถเดินไปยังกลางเมืองหรือสถานที่สำคัญของโฮจิมินได้อีกด้วย เพื่อที่จะไปขึ้นรถทัวร์ต่อไปยังมุยเน่ โดยเราจองตั๋วล่วงหน้าไว้ในรอบ 10 โมง ราคาเพียงแค่ขาละ 6 USD ซึ่งรถบัสส่วนใหญ่จะมาเป็นรอบๆ มาหลายรอบอยู่เหมือนกัน
จากโฮจิมินไป มุยเน่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม และจะแวะพักแค่ 1 จุด เพื่อเข้าห้องน้ำ ภายในรถดูนั่งสบายมาก ไม่ได้แค่นั่งนอนก็สบายๆ
และรถบัสก็จะมาส่งเราถึงโรงแรมที่เราแต่คนคนจองไว้จนถึงที่หมาย หลังจากนั้นเราก็จองแพคเกตทัวร์กับทางบริษัทรถบัสเพื่อที่จะเที่ยวในมุยเน่ในราคาสามคน 40 USD หรือ คนละ 13 เหรียญเองเท่านั้น เป็นแพคเกตรวมที่เที่ยวทั้ง 4 ที่ของมุยเน่ และแล้วก็มาถึงโรงแรม วิวห้องบรรยากาศดีมาก ติดทะเล แต่เป็นทะเลที่ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำ
มุยเน่นั้นเป็นเมืองริมทะเล บรรยากาศเย็นสบาย มีร้านอาหารซีฟู้ดเยอะแยะมากมาย ราคาก็หลากหลายตามไป ส่วน Taxi ที่มุยเน่นั้นราคาจะถูกกว่าโฮจิมินอยู่พอสมควร อาจจะเพราะไม่ใช่เมืองใหญ่ คนที่นี่นน่ารักมาก ที่พักที่เราจองนั้นพนักงานจะเป็นฝรั่งหมดเลย ไม่มีคนเวียดนามเลยคิดว่าหรือคนต่างชาติสามารถมาเปิดโรงแรมที่นี่เองได้
ที่มุยเน่ยังมีร้านนั่งชิวเยอะแยะมากมายมาก บรรยากาศนั่งริมทะเล ฟังเพลง ชิวมาก แต่วันนี้เราต้องเข้านอนไว เพราะพรุ่งนี้จะเดินทางไปทะเลทรายนั้น จะต้องออกเดินทางแต่เช้า เพื่อที่ไม่ให้อากาศที่ทะเลทรายนั้นร้อนเกินไป
วันที่สอง เราออกตี4 เพื่อไปเที่ยวทะเลทรายขาว White Sand dune โดยมีรถจิ๊บของบริษัททัวร์มารับหน้าโรงแรม นั่งรถไปประมาณ 30 นาทีก็จะเข้าเขตทะเลทรายขาว ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ใหญ่มากๆแห่งหนึ่งในอาเซียน กว้างใหญ่มาก พวกเรามาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ในยามเช้า แต่จะเข้าไปในทะเลทรายนี้จะมีบริการให้เช่ารถ ATV ขับเข้าไปซึ่งราคานั้นต้องต่อรองอยู่เพราะราคาต่อคันตกประมาณ 300,000 ดองได้แพงอยู่เหมือนกัน เราเช่ามาพร้อมกับขับเล่นอีกอีกครึ่งชั่วโมง เพื่อเอาบรรยากาศ
มีโอเอซิสด้วยย
หลังจากถ่ายรูปเก็บภาพอันสวยงามเรียบร้อยแล้ว ก็ไปต่อกันที่ทะเลทรายแดง ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ไม่ใหญ่มาก คนมักจะเอากระดานเลื่อนมาไถลเล่นสนุกสนาน
แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปต่อหมู่บ้านประมง ซึ่งที่นี่จะมีอาหารทะเลสดๆ ปลา ปู สดๆมาขายเยอะแยะมากมาย หลังจากนั้นก็ไปที่สุดท้ายนั่นก็คือ Fairly Stream หรือภาษาไทยมันเรียกกันว่า สายน้ำนางฟ้า ซึ่งเป็นเนินทราย ที่ถูกกัดเซาะโดยลำธารเล็ก ๆ จนทำให้เห็นชั้นของทรายที่มีสีแตกต่างกัน จะดูเหมือนคล้ายๆแคนย่อนของเวียดนาม ซึ่งจะเป็นแนวเขาเล็กๆ มีลำน้ำผ่านตลอด พวกเราจะต้องถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าเข้าไป โดยเหยียบบนพื้นน้ำตลอดเส้นทาง ซึ่งเป็นทางที่ยาวอยู่พอสมควร เดินไป เดินกลับทางเดิมสวยๆ
หลังจากนั้นเราก็แล่นกลับมาที่พักเพื่อที่จะรอนั่งรถกลับไปยังโฮจิมิน ก็มารอหน้าโรงแรมรถมารับเดินทางไปอีกเกือบ 5 ชั่วโมงเพราะรถติดด้วย หลังจากถึงโฮจิมินแล้วพวกเราก็มาสำรวจว่าโฮจิมินตอนดึกนั้นเป็นยังไงบ้างง โดยลองเดินกันยามค่ำคืน ซึ่งก็มีสีสันมากมาย แต่ก็ควรจะต้องระวังตัว ไม่ควรประมาทนะครับ
วันที่สาม วันสุดท้าย วันนี้เราจะมาสำรวจเมืองโฮจิมินว่ามีอะไรบ้าง โดยไปที่จุดแลนด์มาร์คอย่างโบสถ์นอร์ตเทอดัมอันลือชื่อ และหลังจากนั้นใกล้เคียงก็จะมีที่ทำการไปรษณีย์อยู่ข้างๆ แอบเสียดายวันที่ไปนั้นโบสถ์ปิด เพราะเป็นวันอาทิตย์หลังเวลามิซซาด้วย
หลังจากชมโบสถ์เสร็จเราก็ไปตามหาลายแทงเฝอ อาหารขึ้นชื่อของเวียดนามซึ่งอร่อยสมคำล่ำลือจริงๆ ค่าครองชีพก็ไม่แพง หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งแท็กซี่ไปสนามบินกัน
สรุปแล้ว ทริปนี้ ค่าตั๋ว 2800 บาท ค่าโรงแรมคนละ 800 บาท ค่าเที่ยวสถานที่ต่างๆ ค่ารถ ค่ากินคนละ 1400 บาท
ใครมีโอกาสก็ต้องลองมาดูสักครั้ง ถูกจริง