ถามตอบโค้ชเฮง : อุ้มไปเจลีค, ย้าโดนเพื่อนแฉ, ยิมเฉื่อย โดย "แมน" โกสินทร์

ไม่รู้มีใครเอามาลงหรือยังเห็นว่าน่าสนใจดีครับ


คอลัมน์ "ถามตอบบอลไทย" โดย "แมน" โกสินทร์ อัตตโนรักษ์ วันนี้ขอนำส่วนหนึ่งในการสนทนากับ "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล มาฝากกัน คุยกันถึงเรื่องของ เจ ชนาธิป และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ (คุยกันทางโทรศัพท์เมื่อช่วงหัวค่ำวันอังคารที่ 25 ก.ค.)

ผม : สวัสดีครับพี่เฮง เมื่อวันเสาร์พี่ได้ดูเกมอุ่นเครื่องซัปโปโรกับเมืองทองมั้ยครับ คือผมและหลายคนมองว่าครึ่งแรกเจไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกมเท่าไหร่ เพื่อนไม่ค่อยส่งบอลให้ พี่เฮงคิดยังไง

โค้ชเฮง : ซัปโปโรเขาใช้ทีมสำรอง พวกเด็กอคาเดมี่แล้วก็ตัวมหาลัย ยังวัดอะไรไม่ได้หรอก เรื่องความสามารถเฉพาะตัวต่างๆ ของชนาธิปไม่น่าห่วง แต่ที่เป็นห่วงคือเรื่องเกมรับมากกว่า เพราะทีมซัปโปโรเขาจะเน้นให้ผู้เล่นลงมาช่วยเกมรับ ตัวเจเองก็ต้องพยายามเคลื่อนที่เวลาไม่มีบอลให้เยอะ แรกๆ คนที่ย้ายทีมใหม่ๆ ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อนร่วมทีมมั่นใจว่าส่งให้แล้วจะไม่ทำเสีย เมื่อได้บอลแล้วก็ต้องเล่นง่าย แล้วอย่ากลัว เพราะนักเตะที่เล่นสโมสรใหม่หลายๆคนจะกลัวทำเสียจนประสิทธิภาพลดลง ถ้าเราวิ่งทำทางมีพื้นที่ตลอดแต่ยังไม่ได้บอล โค้ชเขาก็จะเห็นปัญหาเองแหละครับ

ผม : สาเหตุเป็นเพราะเรื่องระบบหรือเปล่าครับที่ซัปโปโรเล่น 3-5-2, 4-3-3หรือ 5-3-2 แล้วเจต้องถ่างออกไปด้านข้างเยอะ อาจจะไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัด หรือเพราะว่าโค้ชใช้งานไม่เป็นอะไรแบบนั้น

โค้ชเฮง : เรื่องใช้งานไม่เป็นนี่ไม่จริงหรอก โค้ชเขารู้อยู่แล้วว่าแต่ละคนมีจุดเด่นยังไง เรื่องระบบการเล่นนี่ใช่เลยครับ เจก็ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับระบบของซัปโปโรให้ได้โดยเร็ว แล้วที่สำคัญก็คือเรื่องการสื่อสารภายในทีมด้วย

ผม : การสื่อสารที่ว่านี่สำคัญมากจริงๆ ใช่มั้ยครับ คือมันต้องทั้งในและนอกสนามเลยหรอ เพราะผมเห็นพวกตัวบราซิล หรือ เจย์ โบธรอยด์ เขาก็ไม่ได้พูดญี่ปุ่นกันนะครับ

โค้ชเฮง : แน่นอน สำคัญสิ โดยเฉพาะในสนาม เพราะมันจะช่วยให้ฟังแท็กติกของโค้ช คุยกับเพื่อนร่วมทีมว่าจะเล่นกันยังไง นอกสนามถ้าสื่อสารง่ายการสร้างความสัมพันธ์มันก็จะเร็วขึ้น อย่าง "เจ้าย้า" (สิทธิโชค ภาโส) ปัญหาตอนนี้ก็เรื่องการสื่อสารนี่แหละ ตอนซ้อมทีมสำรองลงเกมยิงได้ตลอด แต่ได้โอกาสเล่นชุดใหญ่ตัวจริงแค่ครั้งเดียวเพราะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดกัน อย่างน้อยภาษาสื่อสารง่ายๆก็ต้องได้บ้าง เวลาไปซื้อกับข้าวแม่ค้าเขาก็ไม่ได้พูดไทยกับเรานะ คือถ้าเราสามารถสื่อสารกับเขาได้เราก็จะอยู่อย่างมีความสุขมากขึ้นด้วย เรายังไม่เคยไปเล่นต่างประเทศการปรับตัวก็ย่อมยากกว่าพวกบราซิลหรือตัวต่างชาติที่ไปเล่นได้ทั่วโลกมีประสบการณ์ พวกนี้จิตใจเขาแข็งแกร่งมากแล้ว

ผม : ถามจริงๆพี่เฮง ถึงตอนนี้พี่ว่าทุกอย่างที่ผ่านมา เจมาถูกทางแล้วใช่มั้ยกับทีมนี้ แล้วเจจะไปรอดมั้ยพี่ในการเล่นที่เจลีกของญี่ปุ่น พี่ได้มีโอกาสแนะนำเจบ้างมั้ย แล้วรู้จักกับชูเฮ ยามาดะ เป็นการส่งตัวหรือเปล่า จะลองพูดคุยกับเขามั้ยว่าควรจะใช้เจในแบบไหน

โค้ชเฮง : ก็รู้จักกันนะ แต่ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว ผมจะสนิทกับ ทาเคชิ โอคาดะ ซึ่งเป็นอาจารย์ของ ยามาดะ อีกที ตอนโอคากะคุมทีมชาติญี่ปุ่นก็มี ยามาดะ เป็นผู้ช่วย แล้วเขาก็ติดสอยห้อยตามกันมาอยู่ที่ซัปโปโรนี่ล่ะ ถามว่าจะแนะนำเขามั้ย คือคงคุยกันถึงเรื่องปัญหามากกว่าว่าต้องให้ปรับอะไรบ้าง ปกติแล้วคนญี่ปุ่นเขาจะค่อนข้างแอ็คๆ ชาตินิยมสูง มีกฎระเบียบเยอะ อย่างการเที่ยวกลางคืน เรื่องผู้หญิง หรือการเล่นเฟซบุ๊ก เล่นเน็ท เขาห้ามเลย เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ทีมแพ้ก็จะหาคนผิด พวกที่มีแผลอยู่ก็จะโดนโทษได้ว่าเป็นสาเหตุ ส่วนเจ ผมคุยกับเขาส่วนตัวอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน อยากพิสูจน์ตัวเอง ความสามารถเขาก็สูงเพียงพออยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะปรับตัวเข้ากับทีมได้หรือเปล่า มันไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอลนะ อย่างตอนผมไปญี่ปุ่นหรือเยอรมันก็เจออุปสรรคเยอะ กว่าจะทำให้เขาไว้ใจส่งบอลให้เราได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ผม : แล้วเจควรจะต้องทำยังไงบ้างครับ ญี่ปุ่นเขารู้มั้ยว่าเจมีความสามารถระดับไหน เขามองเจเป็นยังไง พี่เฮงคุยกับทางญี่ปุ่นบ่อยน่าจะทราบดีที่สุด

โค้ชเฮง : คือเจเป็นคนที่เล่นบอลน่ากลัว ฟุตบอลมีอยู่ 3 อย่างก็คือ เล่นบอลเป็น คนเล่นเป็นหมายถึงสามารถเล่นตามระบบได้ ทำตามที่โค้ชต้องการได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนี้ ต่อมาก็คือเล่นบอลเก่ง คนเล่นบอลเก่งจะสามารถใช้งานเพื่อนร่วมทีมทำให้ตัวเองแสดงความสามารถออกมาได้เต็มประสิทธิภาพ ส่วนเจอยู่ในประเภทเล่นบอลน่ากลัว พวกนี้เมื่อบอลอยู่กับตัวแล้วสามารถสร้างความแตกต่างได้ มีทีเด็ด แต่คนเล่นบอลน่ากลัวจะปรับตัวเข้ากับทีมยากที่สุด เพราะถ้าเล่นไม่เข้าระบบ หรือประสานกับเพื่อนร่วมทีมไม่ได้ ก็จะกลายเป็นทำอะไรไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ผมก็จะได้คุยกับคนของทางสมาคมญี่ปุ่นนะ เพราะสมาคมชุดนี้เป็นนักบอลเก่าเตะบอลรุ่นเดียวกับผมทั้งนั้นเลย เขาก็รู้จักนะว่าเจคือเบอร์1ของอาเซียน ถ้าเป็นสมัยก่อนคงรู้จักยากแต่เดี๋ยวนี้ไทยลีกมันบูมขึ้นมาแล้ว เขาก็เห็นแล้วล่ะว่านักเตะไทยคนไหนเล่นเป็นยังไง เดี๋ยวปีหน้าก็จะมีไปเล่นอีกคนด้วย เขาชื่นชมความสามารถของเด็กไทยหลายคนนะ ผมเองในฐานะประธานเทคนิคก็อยากจะให้ไปเล่นกันเยอะๆ เพราะจะส่งผลดีต่อภาพรวมของบอลไทยด้วย ถ้าเจพิสูจน์ตัวเองได้ ก็ถือเป็นใบเบิกทางให้คนอื่นๆ ได้ตามไปเล่นอีก

ผม : พี่พูดเรื่องนี้พอดี ผมได้ยินมาเหมือนกันว่าอีกคนที่จะไปเจลีกคือ อุ้ม ธีราทร ใช่มั้ยครับพี่เฮง

โค้ชเฮง : ก็ใช่แหละครับ น่าจะเป็นปีหน้า ไม่น่าติดอะไรแล้วล่ะ จริงๆเขาจะไปตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งจะมาลงตัวตอนนี้

ผม : แล้วอุ้มก็ต้องเจอปัญหาเดียวกับเจสิพี่คือเรื่องการปรับตัว

โค้ชเฮง : ทุกคนต้องเจออยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องขีดความสามารถ ธีราทร ไปเล่นได้สบาย ระดับเขาไปเล่นที่เยอรมันยังได้เลย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาด้วยว่าจะรับความกดดันจากอุปสรรคต่างๆได้หรือเปล่า อย่างมุ้ย ธีรศิลป์ เองผมก็อยากให้ไปอีกนะ ตอนนั้นน่าเสียดายที่เขาขึ้นชั้นไปเล่นลาลีกาเร็วไป ถ้าเริ่มต้นจากเจลีกหรือลีกา สอง แล้วค่อยพิสูจน์ตัวเองขึ้นมาจะดีกว่า ตอนสมัยผมไปเล่นที่ญี่ปุ่นก่อนก็ช่วยได้เยอะ แต่พอไปเยอรมัน ผมไปอยู่ลีกสูงสุดเลย แล้วค่อยลงมาเล่นลีกาสองลีกาสาม ถ้ามีโอกาสพิสูจน์ตัวเองและปรับตัวกับลีกที่ไม่แข็งมากก่อนจะช่วยได้เยอะ

ผม : มุ้ยผมว่าเป็นเพราะอัลเมเรียเป็นทีมท้ายตาราง และทีมยืมตัวนักเตะมาเยอะด้วยรึเปล่าพี่ แต่ละคนก็เลยไม่เล่นแบบทีมสปิริต ต่างคนก็อยากโชว์ของเพื่ออนาคตของตัวเอง

โค้ชเฮง : ใช่ครับ คือการเล่นฟุตบอลอาชีพการแข่งขันมันสูง อย่างเจ้าย้า ผมเตือนตลอดเลยว่าอย่าไปแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น อย่างไปร้องไห้คิดถึงบ้านก่อนจะเข้านอนให้เพื่อนร่วมทีมเห็น หลายครั้งแล้ว เพื่อนร่วมทีมก็เอาไปบอกโค้ชว่าเจ้าย้าร้องไห้ แบบนี้ไม่เป็นผลดี โค้ชเขาก็จะมองว่าเรายังไม่พร้อม

ผม : การแข่งขันในทีมนี่มันไม่ได้ขาวสะอาดไปซะทีเดียวเลยสิพี่ มีต้องคอยระวังหลังกันขนาดนั้นเลยหรอครับ

โค้ชเฮง : แน่นอนครับ เพราะทุกคนก็เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถ อยากจะลงเล่นกันทั้งนั้น แต่หากจะเอาตัวรอดไปได้ก็ต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเราเหนือกว่าเขาจริงๆ ย้าเองตอนเล่นทีมสำรองก็ดีกว่าญี่ปุ่น แต่ยังขึ้นชุดใหญ่ไม่ได้เพราะติดเรื่องพวกนี้ ผมเองก็จะหาโอกาสไปคุยกับเจ้าไอซ์ (จักกฤช เวชภิรมย์) ที่ไปอยู่เอฟซี โตเกียว อีกคนนะ คือสำคัญเลยถ้าเราเล่นกับทีมสำรองเราต้องแสดงให้เห็นว่าเราดีกว่า เพราะโค้ชชุดใหญ่เขามาคอยดูอยู่แล้วว่าจะเลือกใครขึ้นไปเล่น ปัญหานี้เคยมีตอนเจ้ายิม (วรชิต กนิษศรีบำเพ็ญ) ตอนไปซ้อมกับโตเกียว เขาจับไปเล่นกับทีมยู19 แล้วรายงานผมมาว่าเจ้ายิมขาดความกระตือรือล้น นี่แหละต้องจำให้ขึ้นใจไว้เลยว่า ถ้าเล่นกับทีมที่อ่อนกว่ายิ่งต้องโชว์ให้เห็นว่าเหนือกว่าให้ชัดเจน เพราะถ้าเล่นกับทีมสำรองแล้วไม่โดดเด่นกว่าคนอื่น เขาก็ไม่เลือกเราหรอก

ผม : กลับมาที่เรื่องเจอีกทีครับ คือเจควรจะมีพาร์ทเนอร์ที่สนิทกันในทีมชุดใหญ่ให้มากขึ้นมั้ยครับ พอลงเล่นแล้วจะได้มีคนช่วยซัพพอร์ทกัน

โค้ชเฮง : สำคัญมากครับ ถ้ามีเพื่อนที่รู้ใจเล่นด้วยกันรู้ว่าเคลื่อนที่แบบไหน ได้บอลแล้วจะทำอะไรต่อไปมันก็จะง่าย เหมือนอย่างเวลาเจเล่นให้เมืองทองหรือทีมชาติไทย เขาเล่นง่ายเพราะสนิทและรู้ใจกับเพื่อนร่วมทีม แต่เจเป็นคนที่รีแล็กซ์ เป็นคนโอเพ่น พยายามเข้าหาคนอื่นก่อน ผมว่าเขาน่าจะปรับตัวได้ไม่ยาก

ผม : คือประมาณเจเป็นคนคาแร็คเตอร์ไม่น่าหมั่นไส้อะไรอย่างนี้สินะครับ เห็นว่า ชินจิ โอโนะ ก็แนะนำเจด้วยว่าให้เล่นเป็นตัวของตัวเอง อย่าไปกลัวเสียกลัวโดนด่า

โค้ชเฮง : ถูกต้องครับ นักเตะที่ย้ายไปทีมใหม่หลายคนจะกลัวทำเสีย กลัวเพื่อนด่า แต่ถ้ากลัวก็จะไม่สามารถแสดงความสามารถหรือความแตกต่างออกมาได้ เริ่มต้นเจก็ต้องพยายามเล่นง่ายเอาไว้ก่อน ทำให้เพื่อนร่วมทีมมั่นใจ แล้วพอมีโอกาสค่อยแสดงความแตกต่างให้เขาได้เห็น โดยส่วนตัวผมว่าเจเขามีทุกอย่างอยู่แล้ว ถ้าปรับตัวเข้ากับทีมและระบบได้ก็ไม่มีปัญหา ถ้าทีมนี้ตกชั้นเดี๋ยวทีมอื่นก็ติดต่อมาหาแน่นอน แม้แต่เจ้าย้าเองก็เหมือนกันนะ เมื่อสัปดาห์ก่อนเขาเข้ามาไหว้คุณอรรณพ สิงห์โตทอง ทางคาโงชิมะ ยูไนเต็ด ก็เข้ามาคุยจะขอซื้อขาด ไม่ยืมตัวแล้ว แต่ชลบุรีตอบปฏิเสธไป เพราะมีทีมในเจลีกหลายทีมยื่นข้อเสนอเข้ามาเหมือนกัน ตอนนี้เราอยากให้เขาปรับตัว อยู่ในลีกล่างให้ได้ก่อน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีกว่า

ผม : ขอบคุณครับพี่เฮง ไว้เดี๋ยวพอเจได้ลงเล่นผมจะโทรหาอีกทีนะครับ

โค้ชเฮง : ได้เลยครับ

ปล. จริงๆคุยกันอีกหลายประเด็นเลย แต่แค่นี้ก็ยาวมากแล้ว

FB : Kosin Attanoraks
ลิ้งจาก http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php/topic,384791.0.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่