เราเลิกกับแฟน เป็นโสดตอนอายุ 30 ต้นๆ ด้วยเรื่องเงิน 20 และกำลังพยายามใช้ชีวิตให้มีคุณค่ามากที่สุด

เราเชื่อว่าเราคงเป็นหนึ่งในผู้หญิงอีกหลายคนที่โสดตอนอายุ 30 ต้นๆ และกำลังพยายามใช้ชีวิตให้มีคุณค่ามากที่สุด

สวัสดีค่ะ เราเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบมาได้ประมาณ 3 ปี เมื่อวานนี้เอง เขาบอกกับเราเสมอค่ะ ว่ารักเรามาก และเราเป็นคนที่เขาอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วย อยากแต่งงานด้วย เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง มีความคิด เราคืออนาคตของเค้า นี่คือทำพูดที่เกิดขึ้นมาเสมอแทบทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน

เราคิดว่าผุ้หญิงวัยอย่างเราน่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่คบกับแฟนไปเรื่อยๆ จนเลยเวลาและไม่ได้แต่ง คบไปแบบมองไม่เห็นทางและต้องเลิกกัน
เราคิดว่าหลายคนคงรู้สึกแบบเรา คิดว่าเราจะอยู่ได้มั้ย คิดว่าเราตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่เลิกกัน

เราไม่ได้เลิกกันเพราะปัญหามือที่สาม แต่เราคิดว่าเราเลิกกันเพราะความพร้อมที่ไม่เท่ากันของทั้ง 2 ฝ่าย และความเหนื่อยล้าที่จะต่อสู้ต่อไปในความรักครั้งนี้

สำหรับเราเอง เขาไม่ใช่คนดีที่สุดสำหรับเราค่ะ ไม่ได้หล่อ หุ่นดี แฟนเราเป็นคนใจร้อน ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห แต่นอกจากความรักแล้ว เราก็ยังมองว่าเขามีความฉลาดที่เราไม่มี เขาช่วยเราคิด ช่วยเราทำงานได้ด้วย เราสามารถเสริมกันในส่วนที่ขาดได้ เรากลัวเสมอเวลาคิดถึงอนาคต กับเรื่องอารมณ์ของเขา ถ้าหากเรามีลูก เราเป็นครอบครัว หรือเราเจอปัญหาอุปสรรคในชีวิต แต่เราก็เห็นความพยายามของเขาที่ดีขึ้นที่จะปรับตัวให้เรายังรักกันอยู่ และเขาก็จับมือเราแน่นมากเสมอทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน หรือทุกครั้งที่เราตัดสินใจจะไปแล้วจริงๆ มันสำคัญมากจริงๆ ทำให้เรายังคบกันได้ เพราะถ้าเขาปล่อยมือเรา เราก็คงเลิกกันตั้งแต่ปีแรก

(ปล. เราก็อาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุดสำหรับเขาเช่นกันค่ะ เราแต่งตัวส่วนเฉพาะเวลาไปทำงาน ไปหาลุกค้า นานๆ ทีเราจะแต่งตัว เราขี้เกียจ เขามักจะทักเราเป็นซิ้ม หน้าไม่เรียบเนียน มีริ้วรอย แก่ ประจำ และเขาเคยพูดค่ะว่าประมาณว่าเหมือนหาข้อดีของเราไม่ได้เหมือนกัน แต่พอเราทะเลาะเขาก็บอกว่าเราดี เราก็สับสน)

แต่เราก็เลือกที่จะยังคบเขาค่ะ แม้ว่าเพื่อนๆ คนรอบข้างของเราไม่เห็นด้วย เพราะเรารักเขา และใจเราที่ยังมองเห็นข้อดีและความพยายามในความรักครั้งนี่ของเขาค่ะ

สำหรับผู้หญิงวัย 30 การคบกัน แน่นอนมันไม่เหมือนการมีแฟนตอนอายุ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเกิดคุณไปเจอกับผู้หญิงที่มีความฝันสูงสุดอย่างเดียวในชีวิตคือการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตวัยเด็ก นั่นคือการมีลูกและการมีครอบครัวที่อบอุ่น ความรักของเราจึงถูกใส่ไปด้วยความหวังที่จะพยายามทำคววามรักครั้งนี้ให้ไปต่อถึงคำว่าครอบครัวให้ได้

แต่.... ระหว่างเรามีปัญหาเยอะมากมาโดยตลอด ซึ่งควรจะเป็นสาเหตุที่เราควรจะเลิกกันมาตั้งแต่ปีแรก
ไม่ใช่แค่เรื่องการปรับตัว นิสัยส่วนตัว แต่รวมถึงการเข้ากันไม่ได้กับครอบครัว ความรักมันไม่ใช่เรื่องขอคน 2 คน และไหนจะเรื่องการเงินและอนาคตที่ไม่รู้จะพร้อมเมื่อไหร่

ค่ะ เราเป็นคนเลือกบอกเลิกเอง และเสียใจร้องไห้เอง
ค่ะ เป็นแฟนคนเดิม ที่ไม่ใช่การบอกเลิกครั้งแรก แต่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆ ซากๆ หลายรอบแล้ว จนกลายเป็นความเหนื่อย ด้วยเรื่องเดิมๆ (ซึ่งตามจริงเราไม่ใช่คนที่เอ่ยคำพูดบอกเลิกพร่ำเพ้อตลอดเวลา แต่ปัญหาของเรามันหนักจริงๆ และเรามองไม่ค่อยเห็นทางออก)
ค่ะ ระยะเวลาสำหรับหลายคนอาจจะบอกว่าสั้น

ความรักของเรากำลังดีค่ะ ถ้าไม่คิดอะไร เรามีความสุข เรารักกันดี ถ้าเราไม่มองถึงอนาคต
อยู่ๆ เมื่อวานเราก็ถามตัวเองค่ะ ว่าถึงเวลาที่เราควรพอแล้วหรือยัง

นอกจากเรื่องอารมณ์และเรื่องเดิมๆ ที่เราทะเลาะกัน คือเรื่องการ Add เพื่อนผู้หญิงมากมายในเฟสบุ๊ค ที่เราไม่เคยรับได้ แต่เราเหนื่อยใจที่จะพูด และเราคิดว่าเราคนเราถ้ามันจะนอกใจ ต่อให้ควบคุมแค่ไหนมันก็ทำได้อยู่ดี ถ้าวันหนึ่งเราจับได้ขึ้นเรา แน่นอนเราเลิก นั่นทำให้เราไม่พูดเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะเราห้ามเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะทะเลาะกันแค่ไหน สัญญาว่าจะไม่ทำแล้ว แต่ก็ไม่เกินอาทิตย์ สุดท้ายเราก็ปลง พยายามเข้าใจว่านี่คือความสุขของเขา

ปกติเราไม่ใช่ผู้หญิงขี้จิก ขี้หึงไม่มีเหตุผล ไม่ตาม ไม่อะไรอยู่แล้ว

พยายามคิดค่ะ ว่าเป็นปกติของผู้ชายที่อยากส่องดูสาวๆ แต่เรื่องของเรามีอดีตกันมาก่อน มีการคบซ้อน
- เราเคยเจอว่าเขา Inbox ไปคุยกับผู้หญิงหลายคนในต่อวัน ในขณะที่เขามีแฟนอยู่ (แต่ตอนคบเราคนเดียวเขาก็เลิกพฤติกรรมนั้นนะคะ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเราไม่เปิดโอกาสให้เราต้องอยู่ในสภาวะเสี่ยงแบบนั้น)
- การโทรรายงานตัวตลอดเวลา แต่ก็มีการที่ไปรับส่งน้องที่ทำงานที่แอบชอบ ทั้งๆ ที่ตัวเองมีแฟนอยู่แล้ว 2 คน (แต่ละคนไม่รู้นะคะว่าถูกคบซ้อน)  
- การบอกว่าไม่คิดอะไรกับเพื่อนผู้หญิงที่ทำงาน แต่ส่องเฟสบุ๊คเพื่อนวันละ 3-4 รอบ ทุกวัน
- การไปถ่ายรูปพริตตี้บ่อยๆ แอดเฟรนด์กัน ขอไลน์กัน (หลังๆ พอเราพูดหนักเข้าก็ไม่ขอไลน์) พร้อมแท็ครูปลงเฟสบุ๊ค และข้อความที่ดูน่ารักเอาใจ

นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงยอมรับและปลงไม่ได้สักที ไม่ใช่เราเป็นคนไม่ลืมเรื่องเก่าสักทีนะคะ ไม่ใช่เราชอบขุดเรื่องเก่ามาพูด แต่เขาไม่ทำให้เราสบายใจขึ้นเลยในเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าเราไม่สบายใจ ถ้าเขาไม่แอดเพื่อนเพิ่ม หรือไปถ่ายรุปแล้วทำไมต้องแท็ค ต้องพูดคุยโต้ตอบกัน สำหรับเขา เราดูงี่เง่า เขาพูดเสมอว่าทำไมเขาทำตัวดีขึ้นขนาดไหน เราก็ไม่ลืมเรื่องเก่า ไม่สามารถลบล้างความผิดที่เคยทำมาได้เลยใช่ม้ย

เราพยายามทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ร้องขอ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง เพราะเราไม่อยากเห็นเขาหงุดหงิดและโมโห
ดูเหมือนความสุขของเรามันจะกลายเป็นแค่การไปกินข้าว ไปดูหนัง ไปเที่ยว

ที่บ้านเขาดูเหมือนไม่ค่อยชอบเราค่ะ เราไม่รู้สาเหตุ แต่หลายๆ อย่าง เราว่าเราคิดไม่ผิด อาจจะเพราะว่าบ้านเขามีมรดกมูลค่าสูงพอควรสำหรับคนธรรมดาๆ ก็เข้าใจได้ว่าเขาก็ไม่อยากให้ใครมองเขาที่เงิน เขาต้องระวังคนที่จะเขามาในครอบครัวเขา และเราทะเลาะกันบ่อย และแฟนเราชอบเสียงดัง สร้างความรำคาญให้คนในบ้าน

แฟนเราเงินเดือนปานกลาง เกือบๆ 5 หมื่น แต่เขามีภาระผ่อนคอนโด ผ่อนรถ เงินใช้เดือนชนเดือนทุกเดือน บางเดือนก็ขอที่บ้าน
ส่วนเรา เราผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และเปิดบริษัทเล็กๆ ของตัวเอง การเงินเราก็ไม่มั่นคงเช่นกันค่ะ รายจ่ายเราเยอะ รวมๆ เราต้องหาเงินเดือนนึงคนเดียวเกือบแสนเราถึงจะไม่มีปัญหา

เรารู้ค่ะว่าเราไม่กล้าไปบอกให้เขาแต่งงานกับเราหรอกค่ะ เพราะเราเองก็ไม่มั่นคง เขาเองเราก็เห็นการเงินของเขา
แต่สำหรับเรา เรากลัวว่าเราจะมีลูกไม่ได้ ถ้าเกิน 35 ถ้าเรายังไม่วางแผนการมีครอบครัวจริงจัง

แฟนเรารู้สึกกดดันค่ะ เราเองก็เข้าใจค่ะ เราเริ่มพูดเรื่องการเปิดบัญชีร่วม เราถูกปฎิเสธครั้งแรก เรารู้ค่ะว่าเงินเขามันเต็มแม็คแล้ว แต่
เราคิดว่าถ้าประหยัด อย่างน้อยพยายามคนละ 1,000 - 2,000 ก็คงไม่หนักหนา หักค่ากินบุฟเฟ่ต์ กินของอร่อย เพื่ออนาคต คงไม่เป็นไร ถ้าเราอยากอยู่ด้วยกันจริงๆ เราก็ต้องพยายาม เราเองก็รายจ่ายเยอะ แต่ถ้าเขาโอเค เราก็จะอดทนและพยายาม

แฟนเรามีแผนจะซื้อบ้านเดี่ยวร่วมกับที่บ้าน (เราเองติดปัญหาว่าถ้าเราแต่งงานกับเขา เวลาเราทะเลาะกัน ถ้ามีคนที่บ้านมายุ่ง เรากลัวไปเองว่าครอบครัวเราต้องแตกแยก เราอยากให้แยกกันอยู่ค่ะ แต่เราก็เข้าใจว่าบ้านเขามีคนแก่กับพี่สาว เขามองว่าเราเห็นแก่ตัว ให้รักกันโดยให้เขาทอดทิ้งครอบครัว)

ปล. ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น แฟนเก่าเรา เราเคยพาแม่เขาไปหาหมอ ไปดูแล แม้แฟนตัวเองจะไม่อยู่ค่ะ เรารักและเคารพเหมือนเป็นญาติพี่น้องเราเอง เรายินดีที่จะดูแลครอบครัวแฟนเหมือนครอบครัวตัวเอง เพราะพื้นฐานบ้านเราก็เป็นแบบนี้ ตั้งแต่พ่อแม่ และเหมือนจะชัดเจนว่าที่บ้านเขาไม่ชอบเราและมีปัญหากับเรา เราเคยพูดเล่นๆ กันทางโทรศัพท์และที่บ้านเขาคิดว่าเราจะทะเลาะกันก็เลยตะโกนด่าเข้ามา เราได้ยิน แบบนี้ 3 ครั้ง เราเคยให้เขาถามที่บ้านตรงๆ ว่าไม่ชอบเราหรือเปล่า ถ้าไม่ชอบจริงๆ เลิกกันก็ได้นะ เราไม่ได้คบกันแค่ 2 คนบนโลก ที่บ้านเขาอาจจะไม่ถูกชะตากับเรา หรือเราอาจจะดีไม่พอ

เรารู้สึกนะ ว่าถ้าแฟนเราอยากมีอนาคตกับเรา ทำไมไม่ซื้อบ้านร่วมกับเรา เราบอกว่าถ้าไม่อยู่บ้านเขา แฟนเราบอกว่าเขาต้องซื้อบ้านร่วมกับที่บ้าน (แน่นอนหลังละ 8 ล้านอัพ) เราบอกว่ามาอยู่บ้านเราก็ได้ เขาบอกอยู่ไม่ได้ บ้านเราเล็ก อึดอัด (บ้านเราเป็นนทาว์นโฮม  2 ชั้น หลังมุม) สรุปว่าต้องอยู่บ้านเดี่ยว และเขามีแผนอยากจะซื้อรถวอลโล่ เขาอ้างเรื่องความปลอดภัย ซื่งก็เข้าใจได้ (ที่บ้านแฟนเราเปลี่ยนรถกันทุก 3 ปี เท่าที่เราสังเกต)

สมองเราประมวลทันที เงินเดือนเขาเท่านี้ แล้วความต้องการเขาเท่านั้น เราต้องรอถึงอายุเท่าไหร่

ทิ้งช่วงประมาณ 1 เดือน เราเริ่มพูดว่าเราขอเงินวันละ 20 บาทได้มั้ย เรา 20 เขา 20 เก็บร่วมกัน (นั่นหมายความว่าเก็บแล้วแต่ละเดือนเอาไปฝากธนาคาร ซึ่งตีเป็นเงินรวมน้อยมาก แต่ต่อให้ภาระเยอะแค่ไหน ถ้าเราพยายามวันละ 20 บาท มันจะเป็นไปได้ ดูไม่เยอะ ยังดีกว่าไม่มี) เขาโวยวายทันที จนเรารู้สึกไม่โอเค เขาเองก็รู้สึก จึงบอกว่าไปเปิดบัญชีร่วมเลย เดือนละพัน มาเก็บทำไม (คือสำหรับเรามันสำคัญที่แว่ปแรก ขอ 20 บาท เพื่ออนาคตทำไมแค่นี้ให้ไม่ได้) และเขาพูดว่าทำไมต้องมาเปิดบัญชีร่วม ทำไมไม่ต่างคนต่างสร้างอนาคต สร้างชีวิตให้ดี แล้วพอพร้อม เราจะอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ก็ได้

เราเริ่มคิด เพื่อนเราที่แต่งงานแล้ว ต่อให้ชีวิตลำบาก แต่เขาช่วยกันหาเงิน มันก็อยู่ได้ หรือเพื่อนอีกคนเป็นแฟนกัน ช่วยกันทำงานจนฐานะดีขึ้นเยอะมาก 2 แรงมันย่อมดีกว่าแรงเดียว เราเริ่มคิดว่าถ้าเราลดจากต่างคนต่างผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เป็นผ่อนบ้านหลังเดียวกัน เงินก็จะเหลือ และบ้านไม่ใช่ภาระหนักอีกต่อไป และเราก็แอบรู้สึกว่าทำไมแฟนเราไม่ใช้เวลาว่างหารายได้เพิ่ม เขาก็เคยพูดว่าเขาไม่มีความทะเยอทะยานหรืออยากทำโน้นทำนี่แบบเรา แต่สำหรับเรา เราไม่ได้ทะเยอทะยาน เราแค่อยากมีความมั่นคงในชีวิต ดูแลคนในครอบครัวได้ ดูแลครอบครัวตัวเองได้แบบไม่ลำบาก เราแค่สนุกที่ได้ทำอะไรๆ ได้คิด ได้ลงมือทำ เราแค่หาทางรอด

เราไม่เคยฝันอยากมีงานแต่งใหญ่โต ถ้าเราไม่ได้โชคดีมีสามีรวย เราขอแค่มีงานแต่งเล็กๆ เชิญเพื่อนสนิทๆ ได้คุยกับคนในงานอย่างทั่วถึง และรู้จักคนที่มาร่วมงานจริงๆ สินสอดเราก็มั่นใจว่าถ้าไม่มีแม่เรายังไม่ว่าอะไรเลย (แม่เราเป็นพวกสบายใจมากถ้าลูกโสด ถ้าไม่เจอคนที่ดีจริงๆ แม่และน้องเราก็เป็นห่วงเรากับแฟนคนนี้ แต่เห็นเรายังคบ ยังรัก ก็ปล่อย แม่เรารู้ว่าการมีครอบครัวที่ไม่มีความสุข มันคือทุกข์ชั่วชีวิต)

ผ่านมา 1 อาทิตย์ กับเรื่องเงิน 20 บาท เราเพิ่งคิดได้ว่า เราควรพอหรือยัง เราควรคุยมั้ย เราตัดสินใจคุย เราอาจจะเปิดประเด็นทำถามผิด ที่บอกว่าเราเลิกกันมั้ย ถ้าเคสเงิน 20 บาท นี้ยังทำไม่ได้ เราก็เป็นเพื่อนกัน ไปกินข้าว ดูหนังเหมือนเดิมได้ เมื่อพร้อมแล้ว ค่อยมาเป็นแฟนกัน ค่อยกลับมาคบกัน

คำพูดเราอาจจะทำให้เข้าใจว่าเลิกกันสถานเดียว เขาคิดว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว เขาบอกว่าบอกแล้วไงว่าให้ไปเปิดบัญชีไง (ซึ่งสำหรับเรามันเหมือนคำพูดที่พูดเพราะโดนบังคับ เราไม่ต้องการบังคับใครแบบนี้ เรื่องนี้ควรทำจากใจ) แต่คำพูดของแฟนเราก็ทำให้เราพูดไม่ออกเหมือนกัน เพราะเราคิดว่าถ้าคนที่อยากใช้ชีวิตอยู่กับเราจริงๆ ต้องไม่ใช่แค่พูด แต่ต้องทำด้วย ทำไมแฟนเราไม่พยายามที่จะเจรจากับเราว่าต่อไปนี้จะเก็บเงินและร่วมกันสร้างอนาคตให้เป็นจริงๆ กลายเป็นเราเยอะ กดดันและเรียกร้องเยอะเกินไป

เราแอบหวังอยู่ลึกๆ ให้เขากลับมานะคะ แต่ต้องมาพร้อมกับการพร้อมที่จะตั้งใจสร้างอนาคตแบบลงมือทำจริงจัง มีการวางแผน มีการเก็บเงิน แต่ดูเหมือนมันจะเป็นความต้องการและความหวังที่มากไปสำหรับเรา

เรายังมีโปรเจ็คเล็กๆ ที่ทำร่วมกันอยู่ และเขายินดีที่จะทำต่อ หลังจากเลิกกัน เขาก็อัพรูปภาพน้องๆ ที่เพิ่งไปถ่ายมาลงเฟสบุ๊ค แอดเพื่อนกันน้องผู้หญิง มันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นนิดนึงนะ เพราะดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้สลักสำคัญในชีวิตเขาเท่าไหร่

เรากำลังพยายามดีขึ้นและจะใช้ชีวิตให้กลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด แต่เราก็ยังร้องไห้ เสียใจอยู่ แม้จะรู้ความสำคัญตัวเองในตัวเขา
เราได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าสักวันเราจะเจอคนที่เห็นคุณค่าและความสำคัญเรามากพอ และอยากมีเราอยู่ในชีวิตเขาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่