1. ประกันสุขภาพ ว่ากันง่ายๆก็คือการซื้อความคุ้มครองด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองเรื่องค่ารักษาพยาบาลในยามเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ หรือความคุ้มครองที่บริษัทประกันจะจ่ายเป็นเงินก้อนให้กรณีตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรง
2. ประกันสุขภาพเรื่องค่ารักษาพยาบาลหลักๆจะมี 2 แบบ คือ 1) แบบแยกรายการ (ให้วงเงินความคุ้มครองแยกเป็นรายการๆ เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่าผ่าตัด โดยจะให้วงเงินความคุ้มครองต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง) และ 2) แบบเหมาจ่าย (จะให้เป็นวงเงินรวมที่จะสามารถเบิกได้ต่อปี โดยไม่ได้แยกเป็นรายการๆ แต่อาจมีบางรายการที่จำกัดวงเงิน เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์)
3. ความคุ้มครองเรื่องค่ารักษาพยาบาล ส่วนใหญ่เกือบทุกบริษัทประกันจะเสนอขายความคุ้มครองเฉพาะกรณีที่ต้องนอนโรงพยาบาลคือต้องเป็นผู้ป่วยใน (IPD) เท่านั้น แต่จะมีบางบริษัทที่ให้ความคุ้มครองกรณีเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วย อันนี้ต้องไปดูเอาในรายละเอียดแบบประกันที่บริษัทนั้นๆเสนอมา
4. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะเปลี่ยนไปตามอายุผู้ทำประกัน อายุเบบี๋ถึงเด็กเล็ก (1 เดือน - 5 ปี) ค่าเบี้ยจะค่อนข้างสูง และเมื่อโตขึ้นค่าเบี้ยจะค่อยๆถูกลง และจะค่อยๆปรับขึ้นอีกทีตามอายุที่มากขึ้นในวัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะปรับขึ้นทุกๆ 5 ปี ไม่ใช่ทุกๆปี ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพควรขอรายละเอียดหรือตารางค่าเบี้ยตลอดอายุสัญญาจากตัวแทนมาดูก่อน เราจะได้รู้ว่าถ้าเราอายุมากขึ้นๆ เราจะต้องเสียค่าเบี้ยประมาณเท่าไหร่ แล้วเราโอเคไหม
5. เราสามารถหาซื้อประกันสุขภาพได้ทั้งจากบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันภัย
6. ถ้าซื้อกับบริษัทประกันชีวิต ประกันสุขภาพจะเป็นส่วนของสัญญาเพิ่มเติม แปลว่าเราจะสามารถซื้อประกันสุขภาพได้ก็ต่อเมื่อมีการซื้อสัญญาหลักก่อน (ซึ่งก็คือประกันชีวิต) หมายความว่า ถ้าจะซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทประกันชีวิต เราต้องซื้อ ประกันชีวิต + ประกันสุขภาพ
ึ7. สัญญาหลักหรือประกันชีวิตนั้น เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากได้ประกันชีวิตแบบไหนสำหรับเป็นสัญญาหลัก เช่น แบบตลอดชีพ (เน้นที่ความคุ้มครอง ค่าเบี้ยจะถูก) หรือจะเป็นแบบสะสมทรัพย์ (เน้นเป็นเงินออม ทราบผลประโยชน์ที่จะได้รับแน่นอน แต่ค่าเบี้ยจะแพงกว่าแบบตลอดชีพ) เป็นต้น
8. ถ้าเราตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทประกันชีวิต ค่าเบี้ยประกันทั้งหมดที่เราต้องจ่ายจะมาจาก 2 ส่วน คือ ค่าเบี้ยประกันชีวิต (สัญญาหลัก) + ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ (สัญญาเพิ่มเติม) เบี้ยรวมจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่าเราเลือกแผนประกันชีวิตกับประกันสุขภาพแบบไหน
9. ค่าเบี้ยในส่วนของประกันชีวิต จะมีมูลค่าเวรคืนเงินสด แปลว่าหากเราเลิกสัญญาในปีใดปีหนึ่ง เราจะยังได้เงินกลับคืนมาตามจำนวนเงินที่ถูกระบุไว้ในกรมธรรม์ ได้มากได้น้อยก็ขึ้นกับแบบประกันและปีที่เราไปไถ่ถอน แต่สำหรับค่าเบี้ยในส่วนของประกันสุขภาพจะเป็นเบี้ยทิ้ง (เหมือนกันทั้งกรณีที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันภัย) ประกันสุขภาพเป็นสัญญาปีต่อปี ถ้าปีไหนไม่ต่อก็ไม่มีความคุ้มครอง แต่ถ้าคิดจะซื้อประกันสุขภาพแล้วก็อยากแนะนำให้ซื้อต่อเนื่องไปนะคะ เพราะถ้าเราหยุดต่อสัญญาแล้วเกิดป่วยด้วยโรคบางโรค เมื่อคิดจะกลับไปซื้อใหม่ บริษัทอาจจะไม่รับประกัน หรือไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนแล้วค่ะ
10. กรณีซื้อประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย เราจะสามารถซื้อประกันสุขภาพเดี่ยวๆได้เลย ซึ่งอาจจะตอบโจทย์คนที่ไม่ต้องการทำประกันชีวิต หรือต้องการซื้อความคุ้มครองแค่ชั่วคราว
11. การซื้อประกันสุขภาพจะมีเรื่องของระยะเวลารอคอย หมายความว่าความคุ้มครองจะเริ่มหลังจากที่พ้นระยะเวลารอคอยไปแล้ว ปกติจะเป็น 30 วัน สำหรับโรคทั่วไป และ 90 วัน สำหรับบางโรค เช่น เนื้องอก ซึ่งรายละเอียดจะมีแจ้งไว้ในแบบประกัน
12. สุดท้ายขอพูดถึงเรื่องประกันโรคร้ายแรงสักนิด ประกันโรคร้ายแรงค่าเบี้ยจะไม่แพง ความคุ้มครองที่ได้รับจะเป็นในรูปของการรับเงินก้อนตามทุนประกันที่เราซื้อไว้หากมีการตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่ส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะจ่ายก็ต่อเมื่อพบว่าเป็นโรคร้ายแรงในระยะลุกลามเท่านั้น แต่ในขณะนี้เริ่มมีหลายๆบริษัท ที่นำเสนอแผนความคุ้มครองโรคร้ายแรงตั้งแต่ระยะเริ่มต้น แต่สัดส่วนการรับเงินก้อนอาจไม่ใช่ 100% ของทุนประกัน ซึ่งต้องไปดูในแบบประกันของแต่ละบริษัทอีกที
ตอนนี้คิดได้เท่านี้นะคะ คาดว่าน่าจะค่อนข้างครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับประกันสุขภาพในหลายๆแง่มุม ใครมีแง่มุมไหนเพิ่มเติม แนะนำได้ค่ะ
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่เริ่มสนใจหรือคิดที่จะซื้อประกันสุขภาพไม่มากก็น้อยนะคะ คำศัพท์ที่ใช้บางคำอาจไม่ใช่คำที่เป็นทางการตามแบบธุรกิจประกัน แต่เป็นการเขียนจากความเข้าใจ หากมีข้อผิดพลาดประกันใดก็ขออภัยนะคะ
ประกันสุขภาพ ข้อมูลเบิ้องต้นควรรู้สำหรับใครที่เริ่มสนใจจะทำนะคะ
2. ประกันสุขภาพเรื่องค่ารักษาพยาบาลหลักๆจะมี 2 แบบ คือ 1) แบบแยกรายการ (ให้วงเงินความคุ้มครองแยกเป็นรายการๆ เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่าผ่าตัด โดยจะให้วงเงินความคุ้มครองต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง) และ 2) แบบเหมาจ่าย (จะให้เป็นวงเงินรวมที่จะสามารถเบิกได้ต่อปี โดยไม่ได้แยกเป็นรายการๆ แต่อาจมีบางรายการที่จำกัดวงเงิน เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์)
3. ความคุ้มครองเรื่องค่ารักษาพยาบาล ส่วนใหญ่เกือบทุกบริษัทประกันจะเสนอขายความคุ้มครองเฉพาะกรณีที่ต้องนอนโรงพยาบาลคือต้องเป็นผู้ป่วยใน (IPD) เท่านั้น แต่จะมีบางบริษัทที่ให้ความคุ้มครองกรณีเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วย อันนี้ต้องไปดูเอาในรายละเอียดแบบประกันที่บริษัทนั้นๆเสนอมา
4. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะเปลี่ยนไปตามอายุผู้ทำประกัน อายุเบบี๋ถึงเด็กเล็ก (1 เดือน - 5 ปี) ค่าเบี้ยจะค่อนข้างสูง และเมื่อโตขึ้นค่าเบี้ยจะค่อยๆถูกลง และจะค่อยๆปรับขึ้นอีกทีตามอายุที่มากขึ้นในวัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะปรับขึ้นทุกๆ 5 ปี ไม่ใช่ทุกๆปี ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพควรขอรายละเอียดหรือตารางค่าเบี้ยตลอดอายุสัญญาจากตัวแทนมาดูก่อน เราจะได้รู้ว่าถ้าเราอายุมากขึ้นๆ เราจะต้องเสียค่าเบี้ยประมาณเท่าไหร่ แล้วเราโอเคไหม
5. เราสามารถหาซื้อประกันสุขภาพได้ทั้งจากบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันภัย
6. ถ้าซื้อกับบริษัทประกันชีวิต ประกันสุขภาพจะเป็นส่วนของสัญญาเพิ่มเติม แปลว่าเราจะสามารถซื้อประกันสุขภาพได้ก็ต่อเมื่อมีการซื้อสัญญาหลักก่อน (ซึ่งก็คือประกันชีวิต) หมายความว่า ถ้าจะซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทประกันชีวิต เราต้องซื้อ ประกันชีวิต + ประกันสุขภาพ
ึ7. สัญญาหลักหรือประกันชีวิตนั้น เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากได้ประกันชีวิตแบบไหนสำหรับเป็นสัญญาหลัก เช่น แบบตลอดชีพ (เน้นที่ความคุ้มครอง ค่าเบี้ยจะถูก) หรือจะเป็นแบบสะสมทรัพย์ (เน้นเป็นเงินออม ทราบผลประโยชน์ที่จะได้รับแน่นอน แต่ค่าเบี้ยจะแพงกว่าแบบตลอดชีพ) เป็นต้น
8. ถ้าเราตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทประกันชีวิต ค่าเบี้ยประกันทั้งหมดที่เราต้องจ่ายจะมาจาก 2 ส่วน คือ ค่าเบี้ยประกันชีวิต (สัญญาหลัก) + ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ (สัญญาเพิ่มเติม) เบี้ยรวมจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่าเราเลือกแผนประกันชีวิตกับประกันสุขภาพแบบไหน
9. ค่าเบี้ยในส่วนของประกันชีวิต จะมีมูลค่าเวรคืนเงินสด แปลว่าหากเราเลิกสัญญาในปีใดปีหนึ่ง เราจะยังได้เงินกลับคืนมาตามจำนวนเงินที่ถูกระบุไว้ในกรมธรรม์ ได้มากได้น้อยก็ขึ้นกับแบบประกันและปีที่เราไปไถ่ถอน แต่สำหรับค่าเบี้ยในส่วนของประกันสุขภาพจะเป็นเบี้ยทิ้ง (เหมือนกันทั้งกรณีที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันภัย) ประกันสุขภาพเป็นสัญญาปีต่อปี ถ้าปีไหนไม่ต่อก็ไม่มีความคุ้มครอง แต่ถ้าคิดจะซื้อประกันสุขภาพแล้วก็อยากแนะนำให้ซื้อต่อเนื่องไปนะคะ เพราะถ้าเราหยุดต่อสัญญาแล้วเกิดป่วยด้วยโรคบางโรค เมื่อคิดจะกลับไปซื้อใหม่ บริษัทอาจจะไม่รับประกัน หรือไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนแล้วค่ะ
10. กรณีซื้อประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัย เราจะสามารถซื้อประกันสุขภาพเดี่ยวๆได้เลย ซึ่งอาจจะตอบโจทย์คนที่ไม่ต้องการทำประกันชีวิต หรือต้องการซื้อความคุ้มครองแค่ชั่วคราว
11. การซื้อประกันสุขภาพจะมีเรื่องของระยะเวลารอคอย หมายความว่าความคุ้มครองจะเริ่มหลังจากที่พ้นระยะเวลารอคอยไปแล้ว ปกติจะเป็น 30 วัน สำหรับโรคทั่วไป และ 90 วัน สำหรับบางโรค เช่น เนื้องอก ซึ่งรายละเอียดจะมีแจ้งไว้ในแบบประกัน
12. สุดท้ายขอพูดถึงเรื่องประกันโรคร้ายแรงสักนิด ประกันโรคร้ายแรงค่าเบี้ยจะไม่แพง ความคุ้มครองที่ได้รับจะเป็นในรูปของการรับเงินก้อนตามทุนประกันที่เราซื้อไว้หากมีการตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่ส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะจ่ายก็ต่อเมื่อพบว่าเป็นโรคร้ายแรงในระยะลุกลามเท่านั้น แต่ในขณะนี้เริ่มมีหลายๆบริษัท ที่นำเสนอแผนความคุ้มครองโรคร้ายแรงตั้งแต่ระยะเริ่มต้น แต่สัดส่วนการรับเงินก้อนอาจไม่ใช่ 100% ของทุนประกัน ซึ่งต้องไปดูในแบบประกันของแต่ละบริษัทอีกที
ตอนนี้คิดได้เท่านี้นะคะ คาดว่าน่าจะค่อนข้างครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับประกันสุขภาพในหลายๆแง่มุม ใครมีแง่มุมไหนเพิ่มเติม แนะนำได้ค่ะ
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่เริ่มสนใจหรือคิดที่จะซื้อประกันสุขภาพไม่มากก็น้อยนะคะ คำศัพท์ที่ใช้บางคำอาจไม่ใช่คำที่เป็นทางการตามแบบธุรกิจประกัน แต่เป็นการเขียนจากความเข้าใจ หากมีข้อผิดพลาดประกันใดก็ขออภัยนะคะ