" ทริปตะลุยวังเวียง พาร่างกายมาสูดอ๊อกซิเจนให้เต็มปอดดด "
สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิป วันนี้ผมจะมาขอแชร์ประสบการณ์เที่ยวเมืองวังเวียง แขวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว หรือที่รู้จักกันดีในฉายา "กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว" นั่นเองครับ วังเวียงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพสวยงาม แนวเทือกเขาหินปูนทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ กิจกรรมเชิงท่องเที่ยวมีความหลากหลาย รวมถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คนในท้องถิ่น ล้วนแล้วแต่ดึงดูดใจให้ผู้คนหลั่งไหลมาที่นี่ เพื่อมาสัมผัสความงดงามของวังเวียง
ช่วงที่ผมมาวังเวียงเป็นช่วงฤดูฝน ซึ่งข้อดีของการมาช่วงนี้คือ จะได้เห็นทุ่งนาเขียวขจีที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนรูปทรงสวยงาม ใครชอบบรรยากาศแบบเฟรชๆ อากาศสดชื่นๆ แนะนำให้มาวังเวียงช่วงนี้เลยครับ (ปลายฝน-ต้นหนาว) รับรองคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ข้อมูลทั่วไปสำหรับทริปนี้
1 ) สกุลเงิน - เงินกีบลาว, เงินบาทไทย
2 ) โรงแรม - โรงแรม Vieng Tara Villa
3 ) อินเตอร์เน็ต - ซิมเน็ตค่ายลาวเทเลคอม
4 ) ของใช้จำเป็น - เสื้อกันฝน, ถุงกันน้ำ,ร่ม, ร้องเท้ากันลื่น
5 ) การเดินทางในวังเวียง - เช่ารถมอเตอร์ไซด์
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
1 บรรยากาศโรงแรม Vieng Tara Villa
2 one day tour ( Zipline • พายเรือคายัค • ชมถ้ำช้าง • บลูลากูน )
3 จุดชมวิวผาเงิน
4 สะพานข้ามแม่น้ำซองและถ้ำจัง
5 ตลาดเย็นวังเวียง
<--- มาเริ่มกันเลยดีกว่า --->
ครั้งนี้ผมเริ่มเดินทางจากหลวงพระบางไปยังวังเวียง โดยขึ้นรถบัสจากสถานีขนส่งหลวงพระบาง ( ราคาตั๋วโดยสาร 120,000 กีบ ) สถานีขนส่งหลวงพระบางก็ตามรูปด้านล่างครับ
รถบัสคันนี้แหละที่จะพาผมเดินทางไปยังวังเวียง ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง คนขายตั๋วบอกด้วยครับนะว่าเป็นรถบัสแบบ "express" ดูเองแล้วกันครับว่า express รึปล่าว
รถบัส express หวานเย็น ออกจากหลวงพระบางประมาณ 09.00 โดยจะแวะจอดพักทุก 2 ชั่วโมง ให้ผู้โดยสารได้ยืดเส้น ยืดสายและเข้าห้องน้ำ เอาจริงๆนั่งรถบัส express หวานเย็นก็พอได้อยู่นะครับ ไม่ถึงกับอึดอัดมาก อีกอย่างวิวข้างทางสวยมาก เลยพอเบี่ยงเบนความสนใจไปได้บ้าง สวยแค่ไหนดูภาพด้านล่างได้เลยฮ่ะ
นั่งหลับๆ ตื่นๆบนรถบัส express หวานเย็น เกือบ 6 ชั่วโมง ก็มาถึงเมืองวังเวียงครับ ขอบอกว่าเส้นทางหวาดเสียวและโค้งเยอะมาก แถมฝนก็ตกตลอดทาง ใครที่ขี้กลัวแนะนำให้กินยาแก้เมารถซัก 1 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง จะได้หลับยาวเลยครับ
มาถึงสถานีขนส่งวังเวียงก็นั่งรถตุ๊กๆเข้าในเมือง ค่ารถคนละ 20,000 กีบ ซึ่งจะนั่งรวมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย โดยที่รถตุ๊กตุ๊กจะแวะส่งตามโรงแรมที่เราพัก ครั้งนี้ผมเลือกพักที่ Vieng Tara Villa เพราะเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ขึ้นชื่อที่สุดในเรื่องของบรรยากาศชิลล์ๆ โดยห้องพักจะเป็นบ้านแบบกระท่อมกลางทุ่งนา สามารถมองเห็นวิวของวังเวียงได้ 180 องศา ถือเป็น signature ของ Vieng Tara Villa เขาเลยแหละ
บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม Vieng Tara Villa จะเป็นแบบ open air มีต้นไม้ปลูกรายล้อมเยอะมาก ทำให้บรรยากาศภายในโรงแรมดูร่มรื่น โปร่งและโล่งสบาย
มองจากล๊อบบี้ออกไปด้านนอกจะเห็นวิวทุ่งนาเขียวขจีตัดกับแนวทิวเขาหินปูนสลับซับซ้อน เป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวมาก สวยงามและน่าประทับใจอย่างยิ่ง
บรรยากาศที่โรงแรมยามค่ำคืน ก็สวยไม่แพ้กัน ไฟตามแนวทางเดินส่องแสงสลัวๆ อากาศเย็นๆ ยิ่งให้ความรู้สึกโรแมนติกเข้าไปอีกครับ
ภายในห้องพักของโรงแรม Vieng Tara villa ถือว่าตกแต่งได้อย่างสวยงาม ห้องพักกว้างและสะอาดสะอ้านดี แต่ผมไม่ค่อยชอบกุญแจล๊อคแบบใช้ไม้ขัด เพราะค่อนข้างใช้งานยาก และล๊อคได้ไม่ค่อยสนิท อีกอย่างที่ผมไม่ชอบ คือ ห้องอาบน้ำไม่มีที่วางสบู่ ทำให้แอบลำบากอยู่พอสมควรเวลาอาบน้ำ
หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็สั่งอาหารจากโรงแรมนี่แหละมากิน รสชาติก็พอไหว กินข้าวเสร็จก็อาบน้ำอาบท่า แล้วนอนพักผ่อน สลบไสลตั้งแต่ 3 ทุ่ม ยันเช้า เพราะล้าจากการเดินทางมากครับ
วันที่ 2
ตื่นเช้ามาก็เจอบรรยากาศตามภาพที่เห็นเลยครับ วันนี้อากาศดีสุดๆ สดชื่นมากๆ มีแดดอ่อนๆด้วย มองไปมุมไหนก็ผ่อนคลาย พร้อมสูดหายใจเพื่อรับออกซิเจนให้เต็มปอด เป็นอะไรที่แบบสุดยอดมากกกก
ช่วงประมาณ 8 โมงเช้า เริ่มเห็นชาวบ้านเดินลัดเลาะผ่านโรงแรมเพื่อไปทำไร่ ทำนา มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคนก็มีตะกร้าสะพายหลังด้วย ถือว่าโชคดีมากๆ นอกจากจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังได้เห็นวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นอีกด้วย ดูเรียบง่ายและมีเสน่ห์ไปอีกแบบครับ
หลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาทานอาหารเช้า วิวจากห้องอาหารก็ตามภาพที่เห็นเลยครับ
อาหารที่โรงแรมนี้จะเป็นเมนูให้เลือกสั่ง ซึ่งตัวเลือกค่อนข้างน้อย มีแค่เซ๊ทอาหารเช้าแบบอเมริกัน ข้าวต้ม เฝ๋อ ไข่กระทะ แล้วก็ผลไม้ รสชาติก็ถือว่าโอเค แต่พวกกาแฟและเครื่องดื่มผมว่าไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงวันนี้ก็ต้องจุให้เต็มกระเพาะ เพื่อจะได้มีแรงตะลุยกิจกรรม adventure ตาม one day tour ที่ซื้อเอาไว้
หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกมารอรถที่จะมารับ เพื่อไปทำกิจกรรมต่างๆตามทัวร์ที่ซื้อไว้ โดยผมซื้อ one day tour จากร้าน explore asia ซึ่งร้านนี้เพื่อนชาวอิตาลี่แนะนำมาอีกทีครับ
รถของทัวร์มาส่งที่ปากทางเข้า จากนั้นก็เดินเท้าไปต่อ เพื่อไปยังจุดทำกิจกรรม ระหว่างทางเดินก็ตามภาพที่เห็นครับ
กิจกรรมแรกที่ทำในวันนี้คือการเล่น zipline ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและตื่นเต้นดีครับ โดยเฉพาะฐานสุดท้ายที่ต้องโหนตัวผ่านสายน้ำไหลเชี่ยว ยิ่งหวาดเสียวขึ้นไปอีก แต่ก็ผ่านกันไปได้ด้วยดีทุกคน
หลังจากเล่น zipline เสร็จก็พักกินข้าวเที่ยงครับ จากนั้นก็เดินกลับทางเดิม เพื่อมาชมถ้ำช้างต่อ
เสร็จจากถ้ำช้าง ไกด์ก็พานั่งรถไปบริเวณภายเรือคายัค ซึ่งช่วงนี้น้ำไหลเชี่ยวมากครับ เรือคว่ำเกือบทุกลำ แต่ก็ถือว่าสนุกไปอีกแบบ ระยะทางพายเรือคายัคทั้งหมด 8 กิโลเมตร ใช้เวลาพายเรือประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ไม่มีภาพมาให้ดูนะครับ เนื่องจากเก็บกล้องและโทรศัพท์ไว้ในถุงกันน้ำ
เสร็จจากเรือคายัคก็มาต่อกันที่บลูลากูน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน น้ำจะไม่ใสหรือมีสีฟ้าเหมือนฤดูอื่นๆ แต่คนก็ยังมาเยอะอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่กระโดดกันสนั่นหวั่นไหว ส่วนตัวไม่ได้กระโดดเพราะน้ำขุ่นเกินไปและคนก็เยอะมากด้วย ได้แต่ถ่ายภาพบรรยากาศมาให้ดูครับ
เสร็จจากบลูลากูนก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้วครับ เป็นอันเสร็จสิ้นกิจกรรม one day tour ในวันนี้ บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยมากถึงมากที่สุด ปวดตัว เมื่อยแขน เมื่อยขาไปหมด แต่ก็สนุกสนานไปอีกแบบ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่คุ้มค่าและน่าประทับใจอย่างยิ่งครับ หลังจากนั้นรถของทัวร์ก็ทยอยส่งนักท่องเที่ยวตามโรงแรมต่างๆ เพื่อแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย
วันที่ 3
ตื่นเช้ามา วันนี้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆก็ลอยต่ำมาบังภูเขา แต่ก็ดูสวยงามไปอีกแบบ เช้าๆแบบนี้ คนจะออกมาเดินเล่นน้อย ทำให้จะนั่งเล่นหรือจะนอนเล่นชมวิวก็สะดวกสบาย สามารถดูดดื่มบรรยากาศภายในบริเวณโรงแรมได้อย่างเต็มที่ นอนสูดออกซิเจนให้เต็มอิ่มกันไปเลยครับ นานๆทีจะได้มีโอกาสได้มาใช้ชีวิต slow life แบบนี้
จากนั้นก็ทานอาหารเช้า ซึ่งเมนูก็เดิมๆเหมือนเมื่อวานครับ พอทานข้าวเสร็จก็ไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ในเมืองต่อ ( ราคา 80,000 กีบ ) เพราะวันนี้วางแผนจะขับรถมอเตอร์ไซด์เที่ยวกันเองครับ ซึ่งจุดแรกที่จะไปในวันนี้คือ จุดชมวิวผาเงิน อยู่ระหว่างทางไปบลูลากูน ห่างจากตัวเมืองวังเวียง 6-7 กิโลเมตร วันนี้ผมไปปีนผาเงินเป็นคนแรกเลย ( คนเก็บตังค์บอก ) บรรยากาศก็จะวังเวงนิดนึงครับ เนื่องจากยังไม่มีใครมา ผมเริ่มเดินลัดเลาะตามไหล่เขาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงยอดผาเงินแล้วครับ บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดมาก วิววังเวียง 360 องศา กับอากาศบริสุทธิ์ ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่อยากแนะนำให้ลองมาดูครับ วิวเมืองวังเวียงก็ตามภาพด้านล่างเลย ***แนะนำเพิ่มเติมว่า ควรพกน้ำดื่มและบิสกิตชิ้นเล็กๆติดไม้ติดมือมาด้วยก็ดี และรองท้องควรเป็นรองเท้ากันลื่นด้วยจะดีมากครับ
นั่งพักชมวิวบนยอดผาเงินประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินกลับลงเขาแล้วครับ กว่าจะลงมาถึงด้านล่างก็เที่ยงกว่าๆ ถึงเวลาข้าวเที่ยงพอดีเลย วันนี้เพื่อนผมอยากกินก๋วยเตี๋ยว เราจึงได้แวะถามชาวบ้านว่าร้านไหนอร่อยและคนลาวนิยมกินกันจริงๆ ซึ่งคนแถวนั้นแนะนำ "ร้านเจ๊แหล่" ในตัวเมืองวังเวียง วิวระหว่างทางตอนกลับเข้าตัวเมืองก็ตามภาพด้านล่างครับ
[CR] [ Short Review ] รีวิวเที่ยววังเวียงแบบ "fresh fresh" 4 วัน 3 คืน
สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิป วันนี้ผมจะมาขอแชร์ประสบการณ์เที่ยวเมืองวังเวียง แขวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว หรือที่รู้จักกันดีในฉายา "กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว" นั่นเองครับ วังเวียงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพสวยงาม แนวเทือกเขาหินปูนทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ กิจกรรมเชิงท่องเที่ยวมีความหลากหลาย รวมถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คนในท้องถิ่น ล้วนแล้วแต่ดึงดูดใจให้ผู้คนหลั่งไหลมาที่นี่ เพื่อมาสัมผัสความงดงามของวังเวียง
ช่วงที่ผมมาวังเวียงเป็นช่วงฤดูฝน ซึ่งข้อดีของการมาช่วงนี้คือ จะได้เห็นทุ่งนาเขียวขจีที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนรูปทรงสวยงาม ใครชอบบรรยากาศแบบเฟรชๆ อากาศสดชื่นๆ แนะนำให้มาวังเวียงช่วงนี้เลยครับ (ปลายฝน-ต้นหนาว) รับรองคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ข้อมูลทั่วไปสำหรับทริปนี้
1 ) สกุลเงิน - เงินกีบลาว, เงินบาทไทย
2 ) โรงแรม - โรงแรม Vieng Tara Villa
3 ) อินเตอร์เน็ต - ซิมเน็ตค่ายลาวเทเลคอม
4 ) ของใช้จำเป็น - เสื้อกันฝน, ถุงกันน้ำ,ร่ม, ร้องเท้ากันลื่น
5 ) การเดินทางในวังเวียง - เช่ารถมอเตอร์ไซด์
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
1 บรรยากาศโรงแรม Vieng Tara Villa
2 one day tour ( Zipline • พายเรือคายัค • ชมถ้ำช้าง • บลูลากูน )
3 จุดชมวิวผาเงิน
4 สะพานข้ามแม่น้ำซองและถ้ำจัง
5 ตลาดเย็นวังเวียง
ครั้งนี้ผมเริ่มเดินทางจากหลวงพระบางไปยังวังเวียง โดยขึ้นรถบัสจากสถานีขนส่งหลวงพระบาง ( ราคาตั๋วโดยสาร 120,000 กีบ ) สถานีขนส่งหลวงพระบางก็ตามรูปด้านล่างครับ
รถบัสคันนี้แหละที่จะพาผมเดินทางไปยังวังเวียง ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง คนขายตั๋วบอกด้วยครับนะว่าเป็นรถบัสแบบ "express" ดูเองแล้วกันครับว่า express รึปล่าว
รถบัส express หวานเย็น ออกจากหลวงพระบางประมาณ 09.00 โดยจะแวะจอดพักทุก 2 ชั่วโมง ให้ผู้โดยสารได้ยืดเส้น ยืดสายและเข้าห้องน้ำ เอาจริงๆนั่งรถบัส express หวานเย็นก็พอได้อยู่นะครับ ไม่ถึงกับอึดอัดมาก อีกอย่างวิวข้างทางสวยมาก เลยพอเบี่ยงเบนความสนใจไปได้บ้าง สวยแค่ไหนดูภาพด้านล่างได้เลยฮ่ะ
นั่งหลับๆ ตื่นๆบนรถบัส express หวานเย็น เกือบ 6 ชั่วโมง ก็มาถึงเมืองวังเวียงครับ ขอบอกว่าเส้นทางหวาดเสียวและโค้งเยอะมาก แถมฝนก็ตกตลอดทาง ใครที่ขี้กลัวแนะนำให้กินยาแก้เมารถซัก 1 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง จะได้หลับยาวเลยครับ
มาถึงสถานีขนส่งวังเวียงก็นั่งรถตุ๊กๆเข้าในเมือง ค่ารถคนละ 20,000 กีบ ซึ่งจะนั่งรวมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย โดยที่รถตุ๊กตุ๊กจะแวะส่งตามโรงแรมที่เราพัก ครั้งนี้ผมเลือกพักที่ Vieng Tara Villa เพราะเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ขึ้นชื่อที่สุดในเรื่องของบรรยากาศชิลล์ๆ โดยห้องพักจะเป็นบ้านแบบกระท่อมกลางทุ่งนา สามารถมองเห็นวิวของวังเวียงได้ 180 องศา ถือเป็น signature ของ Vieng Tara Villa เขาเลยแหละ
บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม Vieng Tara Villa จะเป็นแบบ open air มีต้นไม้ปลูกรายล้อมเยอะมาก ทำให้บรรยากาศภายในโรงแรมดูร่มรื่น โปร่งและโล่งสบาย
มองจากล๊อบบี้ออกไปด้านนอกจะเห็นวิวทุ่งนาเขียวขจีตัดกับแนวทิวเขาหินปูนสลับซับซ้อน เป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวมาก สวยงามและน่าประทับใจอย่างยิ่ง
บรรยากาศที่โรงแรมยามค่ำคืน ก็สวยไม่แพ้กัน ไฟตามแนวทางเดินส่องแสงสลัวๆ อากาศเย็นๆ ยิ่งให้ความรู้สึกโรแมนติกเข้าไปอีกครับ
ภายในห้องพักของโรงแรม Vieng Tara villa ถือว่าตกแต่งได้อย่างสวยงาม ห้องพักกว้างและสะอาดสะอ้านดี แต่ผมไม่ค่อยชอบกุญแจล๊อคแบบใช้ไม้ขัด เพราะค่อนข้างใช้งานยาก และล๊อคได้ไม่ค่อยสนิท อีกอย่างที่ผมไม่ชอบ คือ ห้องอาบน้ำไม่มีที่วางสบู่ ทำให้แอบลำบากอยู่พอสมควรเวลาอาบน้ำ
หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็สั่งอาหารจากโรงแรมนี่แหละมากิน รสชาติก็พอไหว กินข้าวเสร็จก็อาบน้ำอาบท่า แล้วนอนพักผ่อน สลบไสลตั้งแต่ 3 ทุ่ม ยันเช้า เพราะล้าจากการเดินทางมากครับ
ตื่นเช้ามาก็เจอบรรยากาศตามภาพที่เห็นเลยครับ วันนี้อากาศดีสุดๆ สดชื่นมากๆ มีแดดอ่อนๆด้วย มองไปมุมไหนก็ผ่อนคลาย พร้อมสูดหายใจเพื่อรับออกซิเจนให้เต็มปอด เป็นอะไรที่แบบสุดยอดมากกกก
ช่วงประมาณ 8 โมงเช้า เริ่มเห็นชาวบ้านเดินลัดเลาะผ่านโรงแรมเพื่อไปทำไร่ ทำนา มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคนก็มีตะกร้าสะพายหลังด้วย ถือว่าโชคดีมากๆ นอกจากจะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังได้เห็นวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นอีกด้วย ดูเรียบง่ายและมีเสน่ห์ไปอีกแบบครับ
หลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาทานอาหารเช้า วิวจากห้องอาหารก็ตามภาพที่เห็นเลยครับ
อาหารที่โรงแรมนี้จะเป็นเมนูให้เลือกสั่ง ซึ่งตัวเลือกค่อนข้างน้อย มีแค่เซ๊ทอาหารเช้าแบบอเมริกัน ข้าวต้ม เฝ๋อ ไข่กระทะ แล้วก็ผลไม้ รสชาติก็ถือว่าโอเค แต่พวกกาแฟและเครื่องดื่มผมว่าไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงวันนี้ก็ต้องจุให้เต็มกระเพาะ เพื่อจะได้มีแรงตะลุยกิจกรรม adventure ตาม one day tour ที่ซื้อเอาไว้
หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกมารอรถที่จะมารับ เพื่อไปทำกิจกรรมต่างๆตามทัวร์ที่ซื้อไว้ โดยผมซื้อ one day tour จากร้าน explore asia ซึ่งร้านนี้เพื่อนชาวอิตาลี่แนะนำมาอีกทีครับ
รถของทัวร์มาส่งที่ปากทางเข้า จากนั้นก็เดินเท้าไปต่อ เพื่อไปยังจุดทำกิจกรรม ระหว่างทางเดินก็ตามภาพที่เห็นครับ
กิจกรรมแรกที่ทำในวันนี้คือการเล่น zipline ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและตื่นเต้นดีครับ โดยเฉพาะฐานสุดท้ายที่ต้องโหนตัวผ่านสายน้ำไหลเชี่ยว ยิ่งหวาดเสียวขึ้นไปอีก แต่ก็ผ่านกันไปได้ด้วยดีทุกคน
หลังจากเล่น zipline เสร็จก็พักกินข้าวเที่ยงครับ จากนั้นก็เดินกลับทางเดิม เพื่อมาชมถ้ำช้างต่อ
เสร็จจากถ้ำช้าง ไกด์ก็พานั่งรถไปบริเวณภายเรือคายัค ซึ่งช่วงนี้น้ำไหลเชี่ยวมากครับ เรือคว่ำเกือบทุกลำ แต่ก็ถือว่าสนุกไปอีกแบบ ระยะทางพายเรือคายัคทั้งหมด 8 กิโลเมตร ใช้เวลาพายเรือประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ไม่มีภาพมาให้ดูนะครับ เนื่องจากเก็บกล้องและโทรศัพท์ไว้ในถุงกันน้ำ
เสร็จจากเรือคายัคก็มาต่อกันที่บลูลากูน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน น้ำจะไม่ใสหรือมีสีฟ้าเหมือนฤดูอื่นๆ แต่คนก็ยังมาเยอะอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่กระโดดกันสนั่นหวั่นไหว ส่วนตัวไม่ได้กระโดดเพราะน้ำขุ่นเกินไปและคนก็เยอะมากด้วย ได้แต่ถ่ายภาพบรรยากาศมาให้ดูครับ
เสร็จจากบลูลากูนก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้วครับ เป็นอันเสร็จสิ้นกิจกรรม one day tour ในวันนี้ บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยมากถึงมากที่สุด ปวดตัว เมื่อยแขน เมื่อยขาไปหมด แต่ก็สนุกสนานไปอีกแบบ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่คุ้มค่าและน่าประทับใจอย่างยิ่งครับ หลังจากนั้นรถของทัวร์ก็ทยอยส่งนักท่องเที่ยวตามโรงแรมต่างๆ เพื่อแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย
วันที่ 3
ตื่นเช้ามา วันนี้อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆก็ลอยต่ำมาบังภูเขา แต่ก็ดูสวยงามไปอีกแบบ เช้าๆแบบนี้ คนจะออกมาเดินเล่นน้อย ทำให้จะนั่งเล่นหรือจะนอนเล่นชมวิวก็สะดวกสบาย สามารถดูดดื่มบรรยากาศภายในบริเวณโรงแรมได้อย่างเต็มที่ นอนสูดออกซิเจนให้เต็มอิ่มกันไปเลยครับ นานๆทีจะได้มีโอกาสได้มาใช้ชีวิต slow life แบบนี้
จากนั้นก็ทานอาหารเช้า ซึ่งเมนูก็เดิมๆเหมือนเมื่อวานครับ พอทานข้าวเสร็จก็ไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ในเมืองต่อ ( ราคา 80,000 กีบ ) เพราะวันนี้วางแผนจะขับรถมอเตอร์ไซด์เที่ยวกันเองครับ ซึ่งจุดแรกที่จะไปในวันนี้คือ จุดชมวิวผาเงิน อยู่ระหว่างทางไปบลูลากูน ห่างจากตัวเมืองวังเวียง 6-7 กิโลเมตร วันนี้ผมไปปีนผาเงินเป็นคนแรกเลย ( คนเก็บตังค์บอก ) บรรยากาศก็จะวังเวงนิดนึงครับ เนื่องจากยังไม่มีใครมา ผมเริ่มเดินลัดเลาะตามไหล่เขาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงยอดผาเงินแล้วครับ บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดมาก วิววังเวียง 360 องศา กับอากาศบริสุทธิ์ ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่อยากแนะนำให้ลองมาดูครับ วิวเมืองวังเวียงก็ตามภาพด้านล่างเลย ***แนะนำเพิ่มเติมว่า ควรพกน้ำดื่มและบิสกิตชิ้นเล็กๆติดไม้ติดมือมาด้วยก็ดี และรองท้องควรเป็นรองเท้ากันลื่นด้วยจะดีมากครับ
นั่งพักชมวิวบนยอดผาเงินประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินกลับลงเขาแล้วครับ กว่าจะลงมาถึงด้านล่างก็เที่ยงกว่าๆ ถึงเวลาข้าวเที่ยงพอดีเลย วันนี้เพื่อนผมอยากกินก๋วยเตี๋ยว เราจึงได้แวะถามชาวบ้านว่าร้านไหนอร่อยและคนลาวนิยมกินกันจริงๆ ซึ่งคนแถวนั้นแนะนำ "ร้านเจ๊แหล่" ในตัวเมืองวังเวียง วิวระหว่างทางตอนกลับเข้าตัวเมืองก็ตามภาพด้านล่างครับ