โดยส่วนตัวผมรอคอยหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะผมเองก็เป็นแฟนหนังของคริสโตเฟอร์ โนแลน เหมือนกับหลายๆท่านในพันทิป แต่หลังจากดูจบก็ยอมรับว่าหนังยังคงยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของโนแลน แต่ผมไม่ถึงกับชอบหนังเรื่องนี้มาก
อันที่จริงหนังเรื่องนี้ค่อนข้าง"แหวกทำเนียมในการเล่าเรื่อง"ของหนังทั่วๆไป จากที่ปกติแล้วโดยทั่วไปมักกำหนดให้ตัวละครเป็นศูนย์กลางของหนัง และมีหน้าที่โน้มน้าวคนดูให้คล้อยตามกับหนังผ่านตัวละคร แต่สำหรับ"Dunkirk"โนแลนเลือกที่จะให้เหตุการณ์อพยพที่ดันเคิร์ก เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวและตัวละครเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องดีในการสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆให้กับวงการภาพยนตร์ "แต่มันกลับไม่ค่อยเวิร์คสำหรับผมเท่าไหร่"
แต่ก็ไม่ต้องกังวลนะครับ ว่าโนแลนแกไม่แยแสผู้ชม เพราะแกเลือกที่จะให้คนดูอินกับหนังด้วยเทคนิคในการสร้างภาพยนตร์แทน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพขั้นเทพ การเทคนิคการตัดต่อเสียงและการมิกซ์เสียง ก็ล้วนทำให้คนดูเสมือนเข้าไปอยู่ร่วมเหตุการณ์ในดันเคิร์กด้วยสมใจอยากของผู้กำกับแกเลยทีเดียว ซึ่งต้องชมเฮียโนแลนว่าแกทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมผมเองก็รู้สึกกดดัน ลุ้นระทึก เสียวสันหลังวาบ ไปกับสถานการณ์อันตรายต่างๆที่เกิดขึ้นในหนังด้วยเช่นกัน แต่ก็นั่นแหละ ผมลุ้นแค่เป็นฉากๆ แต่องค์รวมของหนังทั้งเรื่องผมไม่รู้สึกอินกับหนังเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้รู้สึกผูกพันกับตัวละครตัวไหนเป็นพิเศษเลย
อีกส่วนที่ขัดใจเป็นพิเศษเลยคือการตัดต่อ คือหนังเรื่องนี้จะประกอบด้วยเส้นเรื่องหลัก3เส้นเรื่อง ซึ่งจะเล่าตัดสลับกันไปจนจบเรื่อง ซึ่งมีหลายๆฉากที่หนังตัดเหตุการณ์แบบหักดิบเพื่อไปเล่าอีกเส้นเรื่องหนึ่ง ทำให้ระหว่างดูอารมณ์มันไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมันคงไม่มีปัญหาอะไรถ้าเส้นเรื่องทั้ง3เล่าในช่วงเวลาเดียวกันและในสถานการณ์เดียวกัน แต่พอเส้นเส้นเรื่องทั้ง3เส้นมันเดินทางไปไม่พร้อมกัน แทนที่มันจะเสริมส่งอารมณ์กันเอง กลับกลายเป็นทำให้สะดุดอารมณ์แทนซะงั้น ทั้งๆที่เส้นเรื่องในแต่ละเส้น มีเรื่องราวที่แข็งแรงและสนุกมากๆ เสียตรงการตัดต่อที่ทำให้อารมณ์สะดุดจริงๆ
แต่ถึงยังไงก็ตามในช่วงองก์3ของหนังก็ทำได้ดีมากๆ มันมีพลังอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะซีนสุดท้ายเป็นซีนที่ผมชอบที่สุด เพราะมันมีหลายอารมณ์ผสมกัน ทั้งประทับใจ ยิ่งใหญ่ ฮึกเหิม สุข เศร้า ช็อก โอ๊ย.......ซีนสั้นๆแค่แป๊บเดียวทำไมทุกอารมณ์มาไหลมารวมกันได้เยอะขนาดนี้วะ "ผมไม่เคยได้รับความรู้สึกแบบนี้จากไหนมาก่อนในชีวิต" นี่พูดเลย!
ในส่วนของงานProductionและเทคนิคนั้นดีงามอย่างที่ได้กล่าวไป ส่วนสกอร์ของฮาน ซิมเมอร์ ก็มีความครีเอทีฟมากๆ ด้วยการหยิบเอาสัญญาณเตือนภัยและเสียงนาฬิกา มาสร้างสรรค์เป็นเสียงดนตรีประกอบ ซึ่งหลายๆฉากก็บิวท์อารมณ์ได้โคตรๆๆๆๆดี เทียบเท่างานสกอร์ของจอห์น วิลเลี่ยมจากJaws เลยทีเดียว แต่ก็มีอีกหลายฉากที่สกอร์นำอารมณ์คนดูมากไปและล้นเกินตัวหนังไปมากๆ จึงทำให้จะว่าเยี่ยม มันก็เยี่ยมไม่สุดไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตามก็ต้องชื่นชมคริสโตเฟอร์ โนแลน อยู่ดีแหละ ในความกล้าที่จะแหวกออกจากComfort Zone(ครั้งยิ่งใหญ่) เพราะมันนำมาซึ่งความสร้างสรรค์ใหม่ๆให้กับวงการ ซึ่งถึงจะไม่ถูกจริตผมเท่าไหร่ แต่ก็คงโดนใจแฟนๆโนแลนอีกหลายคนไม่มากก็น้อยแน่นอน
สัมผัสกับ "Dunkirk"มาเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกคือแค่ "เกือบจะชอบ"
โดยส่วนตัวผมรอคอยหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะผมเองก็เป็นแฟนหนังของคริสโตเฟอร์ โนแลน เหมือนกับหลายๆท่านในพันทิป แต่หลังจากดูจบก็ยอมรับว่าหนังยังคงยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของโนแลน แต่ผมไม่ถึงกับชอบหนังเรื่องนี้มาก
อันที่จริงหนังเรื่องนี้ค่อนข้าง"แหวกทำเนียมในการเล่าเรื่อง"ของหนังทั่วๆไป จากที่ปกติแล้วโดยทั่วไปมักกำหนดให้ตัวละครเป็นศูนย์กลางของหนัง และมีหน้าที่โน้มน้าวคนดูให้คล้อยตามกับหนังผ่านตัวละคร แต่สำหรับ"Dunkirk"โนแลนเลือกที่จะให้เหตุการณ์อพยพที่ดันเคิร์ก เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวและตัวละครเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องดีในการสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆให้กับวงการภาพยนตร์ "แต่มันกลับไม่ค่อยเวิร์คสำหรับผมเท่าไหร่"
แต่ก็ไม่ต้องกังวลนะครับ ว่าโนแลนแกไม่แยแสผู้ชม เพราะแกเลือกที่จะให้คนดูอินกับหนังด้วยเทคนิคในการสร้างภาพยนตร์แทน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพขั้นเทพ การเทคนิคการตัดต่อเสียงและการมิกซ์เสียง ก็ล้วนทำให้คนดูเสมือนเข้าไปอยู่ร่วมเหตุการณ์ในดันเคิร์กด้วยสมใจอยากของผู้กำกับแกเลยทีเดียว ซึ่งต้องชมเฮียโนแลนว่าแกทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมผมเองก็รู้สึกกดดัน ลุ้นระทึก เสียวสันหลังวาบ ไปกับสถานการณ์อันตรายต่างๆที่เกิดขึ้นในหนังด้วยเช่นกัน แต่ก็นั่นแหละ ผมลุ้นแค่เป็นฉากๆ แต่องค์รวมของหนังทั้งเรื่องผมไม่รู้สึกอินกับหนังเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้รู้สึกผูกพันกับตัวละครตัวไหนเป็นพิเศษเลย
อีกส่วนที่ขัดใจเป็นพิเศษเลยคือการตัดต่อ คือหนังเรื่องนี้จะประกอบด้วยเส้นเรื่องหลัก3เส้นเรื่อง ซึ่งจะเล่าตัดสลับกันไปจนจบเรื่อง ซึ่งมีหลายๆฉากที่หนังตัดเหตุการณ์แบบหักดิบเพื่อไปเล่าอีกเส้นเรื่องหนึ่ง ทำให้ระหว่างดูอารมณ์มันไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมันคงไม่มีปัญหาอะไรถ้าเส้นเรื่องทั้ง3เล่าในช่วงเวลาเดียวกันและในสถานการณ์เดียวกัน แต่พอเส้นเส้นเรื่องทั้ง3เส้นมันเดินทางไปไม่พร้อมกัน แทนที่มันจะเสริมส่งอารมณ์กันเอง กลับกลายเป็นทำให้สะดุดอารมณ์แทนซะงั้น ทั้งๆที่เส้นเรื่องในแต่ละเส้น มีเรื่องราวที่แข็งแรงและสนุกมากๆ เสียตรงการตัดต่อที่ทำให้อารมณ์สะดุดจริงๆ
แต่ถึงยังไงก็ตามในช่วงองก์3ของหนังก็ทำได้ดีมากๆ มันมีพลังอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะซีนสุดท้ายเป็นซีนที่ผมชอบที่สุด เพราะมันมีหลายอารมณ์ผสมกัน ทั้งประทับใจ ยิ่งใหญ่ ฮึกเหิม สุข เศร้า ช็อก โอ๊ย.......ซีนสั้นๆแค่แป๊บเดียวทำไมทุกอารมณ์มาไหลมารวมกันได้เยอะขนาดนี้วะ "ผมไม่เคยได้รับความรู้สึกแบบนี้จากไหนมาก่อนในชีวิต" นี่พูดเลย!
ในส่วนของงานProductionและเทคนิคนั้นดีงามอย่างที่ได้กล่าวไป ส่วนสกอร์ของฮาน ซิมเมอร์ ก็มีความครีเอทีฟมากๆ ด้วยการหยิบเอาสัญญาณเตือนภัยและเสียงนาฬิกา มาสร้างสรรค์เป็นเสียงดนตรีประกอบ ซึ่งหลายๆฉากก็บิวท์อารมณ์ได้โคตรๆๆๆๆดี เทียบเท่างานสกอร์ของจอห์น วิลเลี่ยมจากJaws เลยทีเดียว แต่ก็มีอีกหลายฉากที่สกอร์นำอารมณ์คนดูมากไปและล้นเกินตัวหนังไปมากๆ จึงทำให้จะว่าเยี่ยม มันก็เยี่ยมไม่สุดไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตามก็ต้องชื่นชมคริสโตเฟอร์ โนแลน อยู่ดีแหละ ในความกล้าที่จะแหวกออกจากComfort Zone(ครั้งยิ่งใหญ่) เพราะมันนำมาซึ่งความสร้างสรรค์ใหม่ๆให้กับวงการ ซึ่งถึงจะไม่ถูกจริตผมเท่าไหร่ แต่ก็คงโดนใจแฟนๆโนแลนอีกหลายคนไม่มากก็น้อยแน่นอน