โอ้ย ช้าไปไหมนี่ถ้าจะมารีวิวตอนนี้ ผมเพิ่งออกจากโรงหนังเมื่อกี้นี้เลย (ดูช้าไปเกือบสัปดาห์ แทบจะไม่ทันโลกมาพักใหญ่ๆ อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้ดูหนังโรงเลย นอกจากดู Netflix ที่บ้าน)
วันนี้กะจะไม่เขียนยาว เพราะคงมีหลายๆคนเขียนไปก่อนหน้าแล้ว และอาจจะมีความคิดเห็นคล้ายๆกัน เพราะเรื่องนี้ผมก็เห็นไม่ต่างจากคนใน Rotten tomatoes มากนัก
คือผมชอบนะ มันมีอะไรดีๆหลายอย่าง ไม่ว่าจะดนตรีประกอบที่ทำออกมาโคตรดี ไม่ว่าจะฉากตื่นเต้น ฉากไล่ตาม ฉากจบ หรือฉากธรรมดาๆ มันบิวท์อารมณ์คนดูได้ค่อนข้างมาก
แต่ถึงจะไม่ค่อยมีอะไรน่าจดใจในแง่ของเพลง แต่อย่างน้อยมันช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปได้นะ คือ เป็นที่รู้ๆกันดีว่า หนัง Trilogy เรื่อง Planet of Apes นี้ มันเป็นหนังที่มีลิงเป็นตัวละครสำคัญ ทำให้ในหลายๆครั้งคนดูมักจะไม่ค่อยได้ยิน "ภาษาคน" เท่าไรนักนอกจาก "ภาษากาย/มือ" ของลิง
ที่เมื่อมาถึงภาคนี้ เราก็จะเหมือนกับได้ดูหนังเงียบที่ลิงใช้ภาษามือคุยกันเป็นส่วนใหญ่ไปตลอด 2 ชม. กว่าๆ เพลงประกอบ ดนตรีประกอบฉากจึงมีส่วนช่วยในการบิวท์อารมณ์คนดูอยา่งมาก
เรื่องรายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับการพูด การสนทนาต่างๆของลิงแต่ละตัวผู้กำกับ Matt Reeves ก็เก็บรายละเอียดได้ดี กล่าวคือ ลักษณะท่าที ท่าทาง วาจาการพูดของลิงแต่ละตัวที่พูด "ภาษาคน" ได้นั้น จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตัวที่เรียนรู้ภาษาคนมานานอย่าง Caesar (พระเอก) ก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษที่มีโครงสร้างประโยคซับซ้อนได้มากกว่าลิงอื่นๆ ที่บางตัวนั้นพูดได้เพียงประโยคที่มีโครงสร้างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน หรือ แค่เอาคำมาต่อเป็นคำสั้นๆ อย่าง Bad Ape (ตัวละครใหม่) คือมันละเอียดดีในส่วนนี้ ไม่ได้พูดคล่องปรื๋อแบบมนุษย์ เหมือนอย่าง Scooby-Doo
แต่อย่างไรก็ดีผมยังอยากจะติรายละเอียดเรื่องการใช้ภาษาสักเล็กน้อย คือ ผมไม่ชอบตรงที่หนังแนวๆที่มีตัวละครเป็นสิง่มีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่คน หรือ ตัวละครพูดคนละภาษากัน นั้นอยู่ๆก็สามารถพูดภาษาเดียวกันได้ อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเนี่ยแหละ
และมีหลายครั้งที่หนัง franchise เรื่อง Planet of Apes นี้ทำพลาดหลุดให้ตัวละครอย่าง Caesar หรือ Koba และตัวละครอื่นๆที่พูดภาษาคน (ภาษาอังกฤษ) ได้ สามารถสนทนาใช้ภาษาอังกฤษพูดกับลิงตัวอื่นที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษได้อย่างไม่สมเหตุสมผลเนี่ยแหละ
เพราะถ้าสังเกตข้อเท็จจริงดีๆจะเห็นว่ามีลิงหลายตัวในฝูงของ Caesar นั้นไม่สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษ/ภาษาคนได้ และต้องพูดโดยการใช้ภาษามืออย่างเดียวตลอด กลับสามารถฟังสิ่งที่ Caesar "พูด" ได้อย่างเข้าใจ พูดง่ายๆก็คือ ผมมองว่าการที่ตัวละครลักษณะนี้พูด อังกฤษคำ ภาษามือคำ กับตัวละครตัวอื่นที่พูดอังกฤษไม่ได้ มันค่อนข้างเป็นช่องโหว่ที่ดูขาดความสมเหตุสมผล (อันนี้จริงๆไม่ใช่เรื่องใหญ่ประเด็นโตอะไร ผมอธิบายขยายความให้ฟังเฉยๆนะ ไม่ใช่ปัญหาระดับ big deal ไรหรอก)
เรื่อง CG อันนี้เป็นที่ยอมรับกันจากหลายๆหัวอยู่แล้ว ว่ามันทำออกมาดีมากไม่ว่าจะฉากป่า ฉากน้ำ ฉากหิมะ ฉากระเบิด หรือแม้แต่ท่วงท่า และทำนองลีลาการเคลื่อนไหวของพวกลิงที่เก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี
การตัดภาพระหว่างซีนก็ทำได้นิ่มนวลและไม่เร็วจนเกินไปจนอารมณ์/mood ต่างๆถูกฉีก
ส่วนเนื้อเรื่องผมว่าก็เข้มข้นดีในแง่ของการวาง Plot และ วาง Theme ของหนังให้มันเป็นแนวๆ Apocalypse หรือยุคที่โลกมาถึงจุดที่มนุษย์มีชีวิตอยู่กันอย่างลำบากจากปัญหาภัยพิบัติและภัยต่างๆ ลิงก็หลบไปอยู่ในที่ของตัวเองให้ไกลจากมนุษย์ คือมันแต่งให้มีน้ำหนักดี ตัวละครแต่ละตัวก็ฉายให้มีมิติมากขึ้น ไม่ว่าจะ Caesar หรือ The Colonel
มันเป็นหนังแนวสู้รบและทำสงครามที่ไม่จำเป็นต้องมีการประจันหน้ากันระหว่างกองทหารที่เป็นคน กับกองทหารที่เป็นลิงอะ มันฉายออกมาในภาพของการต่อสู้ และการพยายามในการปลดแอกตัวเองของลิง ผ่านการหลบหนี การโต้ตอบบ้างเล็กน้อย แต่หลักใหญ่ใจความคือลิงไม่ได้อยากสู้ด้วย อันนี้ผมว่ามันผูกเรื่องดีนะ
มีความ dark ความหม่นหมองฉายให้เป็นระยะๆ ไม่ได้ให้เนื้อเรื่องมันเดินไปง่ายๆหรือราบรื่นจนเกินไป และที่ดีกว่านั้นคือคนเขียนบทกล้าที่จะสละชีวิตตัวละครได้ ไม่ได้แต่งให้ Caesar เป็นพระเจ้าที่สามารถจะช่วยชีวิตใครก็ได้ หรือ ทำสงครามแล้วชนะง่ายๆโดยไม่มีการสูญเสีย ตรงนี้ยอมรับเลยว่า Reeves กล้าเขียนบทชี้ชะตาให้กับตัวละครดี ไม่เก้ๆกังๆเท่าไรในมิตินี้
แต่จะมีขัดข้องก็ตรงกลางๆเรื่องที่บทมัน และการเล่าเรื่องเริ่มอ่อนลง และขาดความซับซ้อนลงไป ทำให้เนื้อเรื่อง และบรรยากาศภายในหนังมันดูเหมือนเดินง่าย ถ่ายคล่องเกินไปหน่อย (ฉากขุดอุโมงค์) แต่ยังโอเคที่ยังไปแก้เกมกันตรงตอนท้ายของหนังและตอนจบของหนังได้ ยังไม่ถือว่าขาดความซับซ้อนไปเสียทีเดียว
ในเรื่องความ dark ความมืดมนของเรื่องผมว่ามันเกือบดีแล้วนะ ในหลายๆฉาก มีการใส่ฉากเรียกน้ำตามาบ้าง 2-3 ฉาก แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเศร้า ไม่ค่อย drama ถึงขนาดเรียกน้ำตาได้เท่าไร จะมีก็แค่ฉากสุดท้ายที่มันดูค่อนข้างเศร้า ดูทุกข์โศกเรียกน้ำตาดี แต่ก็ยังไม่ใช่ฉาก drama ที่แสดงออกถึงความ dark มืดมนอยู่ดี
ส่วนบทพูดของตัวละครโดยรวมผมมองว่าดีนะ มีคำพูด บทสนทนาที่คมๆของระหว่างคนกับลิง และระหว่างลิงกับลิงด้วยกันเอง ในบางมุมก็เสียดสีทั้งการเมืองและสังคมให้เห็น ชัดบ้าง แฝงบ้างปะปนกันไป
จะมีก็ตรงจุดจบของ The Colonel (Woody Harrelson) ที่เดาค่อนข้างง่ายไป และเถรตรงกับ background ที่ปูไว้จนเกินไป คือมันเป็นตัวละครที่ dark เลวร้าย และถูกปูมากับปูมหลังแบบ 'หนึ่ง' เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทีนี้พอหนังเฉลยปมของตัวละครให้คนดูไปแล้ว มันเลยทำให้จุดจบของ The Colonel มันดูออกง่ายๆ และเดาง่ายๆ ไม่ซับซ้อนจนเกินไป (เพราะสารที่ส่งมาแต่แรกมันปูมาแบบนั้น ความตื่นเต้น ความลุ้นในส่วนนี้เลยจางหายไป)
แต่ในแง่ของการแสดงผมว่า Woody Harrelson ทำได้ดีนะ ส่งอารมณ์ได้ผ่านทั้งแววตา และการ acting ตอนท้ายแววตาและน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตามันดูแบบถึงใจอะ ไม่เหลือมาดตลกจาก Zombieland เลยจริงๆ (ปกติเห็น character ที่ Harrelson แสดงทีไรมักจะนึกถึง Zombieland) ลักษณะวาจา จริตการพูดก็มีความเป็นหัวหน้า เป็นผู้พัน ผู้นำทางทหารได้จริงๆ
สำหรับ Amiah Miller ที่โผล่เข้ามาเป็นตัวละครพิเศษในเรื่อง (สาวน้อย Nova) ที่ดูเหมือนไม่มีบทพูดอะไร (เพราะเป็นใบ้) ก็เล่นออกมาได้น่ารักดี ในหลายๆฉาก แต่จะติดก็ตรงฉากดราม่า ผมคิดว่าเธอควรจะไปได้ไกลมากกว่านี้ ถ้าจะเล่นฉาก drama แต่ในเรื่องมันยังทำออกมาไม่ค่อยได้อารมณ์น่ะ เล่นดราม่าละดูไม่ค่อยดราม่า จะดูดีก็ตรงฉากฉีกรอยยิ้มอย่างเดียว
และท้ายสุด สารที่หนังต้องการจะสื่อออกมาตลอดทั้ง 3 ภาค คือ ท้ายสุดลิงจะผงาดขึ้นมาแทนที่มนุษย์ ผมคิดว่าภาคนี้ทำสารออกมาได้ดีที่สุด เตะตาที่สุด และโดนใจที่สุด นั่นไม่ใช่เพราะฉากจบของหนังภาคนี้ หากปแต่บทสนทนาอันคมคายที่ผู้เขียนบทใส่ไว้ให้กับ Harrelson ที่พูดถึงเรื่องความกลัวของมวลมนุษยชาติที่มีต่อลิงทั้งหลายซึ่งมีวิวัฒนาการและความฉลาดมากขึ้น แถมยังอาจมีอัตราการเพิ่มปริมาณที่มากกว่ามนุษย์ จนอาจจะก้าวขึ้นมาแทนที่ในตำแหน่งของมนุษย์เข้าสักวัน
มันเป็นความมืดมิด ความน่ากลัวที่แฝงมากับความกลับตาลปัตรกันของตำแหน่งแห่งที่ทางธรรมชาติที่มนุษย์เริ่มจะกลายเป็นคนป่าเถื่อน ใช้เหตุผล ใช้วิจารณญาณน้อยลงจนเทียบเท่ากับมนุษย์ยุคหิน ในขณะที่ลิง หรือ apes ทั้งหลายเริ่มมีทักษะการคิด การใช้เหตุผล รู้จักวิธีการเจรจา การต่อรองต่างๆนานามากขึ้น "จนแทบจะเหมือนมนุษย์" ได้เลย
นี่เป็นจุดที่ contrast และเสียดสีสังคมได้ดีจุดหนึ่งเลย แถมยังค่อนข้างเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของการเมืองโลกอีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ชาวตะวันตกมักกลัวเสมอมาก็คือประเด็นเรื่องของผู้อพยพลี้ภัยชาวอิสลาม หรือ การเพิ่มจำนวนประชากรอันรวดเร็วของชาวอิสลามทั่วโลกที่ถูกชาวตะวันตก ชาวยุโรปมองว่าด้อยกว่า ยากจนกว่า ที่ท้ายที่สุดแล้ว(ผู้อพยพ/ลี้ภัยชาวอิสลาม)อาจจะขยายจำนวนและเข้ามากลายเป็นประชากรหลักของทวีปยุโรปเข้าสักวันหนึ่งจนได้ มันจึงได้นำมาสู่กระแสความเกลียดชังระดับโลกของกลุ่มชาตินิยมภายในยุโรป และสหรัฐอเมริกาที่มีต่อ Refugee หรือผู้อพยพ/ลี้ภัยชาวมุสลิมในพื้นที่ต่างๆเช่นทุกวันนี้
[SR] War for the Planet of the Apes - รีวิวแบบเป็นกลาง [Spoil เล็กน้อย]
โอ้ย ช้าไปไหมนี่ถ้าจะมารีวิวตอนนี้ ผมเพิ่งออกจากโรงหนังเมื่อกี้นี้เลย (ดูช้าไปเกือบสัปดาห์ แทบจะไม่ทันโลกมาพักใหญ่ๆ อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้ดูหนังโรงเลย นอกจากดู Netflix ที่บ้าน)
วันนี้กะจะไม่เขียนยาว เพราะคงมีหลายๆคนเขียนไปก่อนหน้าแล้ว และอาจจะมีความคิดเห็นคล้ายๆกัน เพราะเรื่องนี้ผมก็เห็นไม่ต่างจากคนใน Rotten tomatoes มากนัก
คือผมชอบนะ มันมีอะไรดีๆหลายอย่าง ไม่ว่าจะดนตรีประกอบที่ทำออกมาโคตรดี ไม่ว่าจะฉากตื่นเต้น ฉากไล่ตาม ฉากจบ หรือฉากธรรมดาๆ มันบิวท์อารมณ์คนดูได้ค่อนข้างมาก
แต่ถึงจะไม่ค่อยมีอะไรน่าจดใจในแง่ของเพลง แต่อย่างน้อยมันช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปได้นะ คือ เป็นที่รู้ๆกันดีว่า หนัง Trilogy เรื่อง Planet of Apes นี้ มันเป็นหนังที่มีลิงเป็นตัวละครสำคัญ ทำให้ในหลายๆครั้งคนดูมักจะไม่ค่อยได้ยิน "ภาษาคน" เท่าไรนักนอกจาก "ภาษากาย/มือ" ของลิง
ที่เมื่อมาถึงภาคนี้ เราก็จะเหมือนกับได้ดูหนังเงียบที่ลิงใช้ภาษามือคุยกันเป็นส่วนใหญ่ไปตลอด 2 ชม. กว่าๆ เพลงประกอบ ดนตรีประกอบฉากจึงมีส่วนช่วยในการบิวท์อารมณ์คนดูอยา่งมาก
เรื่องรายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับการพูด การสนทนาต่างๆของลิงแต่ละตัวผู้กำกับ Matt Reeves ก็เก็บรายละเอียดได้ดี กล่าวคือ ลักษณะท่าที ท่าทาง วาจาการพูดของลิงแต่ละตัวที่พูด "ภาษาคน" ได้นั้น จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตัวที่เรียนรู้ภาษาคนมานานอย่าง Caesar (พระเอก) ก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษที่มีโครงสร้างประโยคซับซ้อนได้มากกว่าลิงอื่นๆ ที่บางตัวนั้นพูดได้เพียงประโยคที่มีโครงสร้างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน หรือ แค่เอาคำมาต่อเป็นคำสั้นๆ อย่าง Bad Ape (ตัวละครใหม่) คือมันละเอียดดีในส่วนนี้ ไม่ได้พูดคล่องปรื๋อแบบมนุษย์ เหมือนอย่าง Scooby-Doo
แต่อย่างไรก็ดีผมยังอยากจะติรายละเอียดเรื่องการใช้ภาษาสักเล็กน้อย คือ ผมไม่ชอบตรงที่หนังแนวๆที่มีตัวละครเป็นสิง่มีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่คน หรือ ตัวละครพูดคนละภาษากัน นั้นอยู่ๆก็สามารถพูดภาษาเดียวกันได้ อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเนี่ยแหละ
และมีหลายครั้งที่หนัง franchise เรื่อง Planet of Apes นี้ทำพลาดหลุดให้ตัวละครอย่าง Caesar หรือ Koba และตัวละครอื่นๆที่พูดภาษาคน (ภาษาอังกฤษ) ได้ สามารถสนทนาใช้ภาษาอังกฤษพูดกับลิงตัวอื่นที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษได้อย่างไม่สมเหตุสมผลเนี่ยแหละ
เพราะถ้าสังเกตข้อเท็จจริงดีๆจะเห็นว่ามีลิงหลายตัวในฝูงของ Caesar นั้นไม่สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษ/ภาษาคนได้ และต้องพูดโดยการใช้ภาษามืออย่างเดียวตลอด กลับสามารถฟังสิ่งที่ Caesar "พูด" ได้อย่างเข้าใจ พูดง่ายๆก็คือ ผมมองว่าการที่ตัวละครลักษณะนี้พูด อังกฤษคำ ภาษามือคำ กับตัวละครตัวอื่นที่พูดอังกฤษไม่ได้ มันค่อนข้างเป็นช่องโหว่ที่ดูขาดความสมเหตุสมผล (อันนี้จริงๆไม่ใช่เรื่องใหญ่ประเด็นโตอะไร ผมอธิบายขยายความให้ฟังเฉยๆนะ ไม่ใช่ปัญหาระดับ big deal ไรหรอก)
เรื่อง CG อันนี้เป็นที่ยอมรับกันจากหลายๆหัวอยู่แล้ว ว่ามันทำออกมาดีมากไม่ว่าจะฉากป่า ฉากน้ำ ฉากหิมะ ฉากระเบิด หรือแม้แต่ท่วงท่า และทำนองลีลาการเคลื่อนไหวของพวกลิงที่เก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี
การตัดภาพระหว่างซีนก็ทำได้นิ่มนวลและไม่เร็วจนเกินไปจนอารมณ์/mood ต่างๆถูกฉีก
ส่วนเนื้อเรื่องผมว่าก็เข้มข้นดีในแง่ของการวาง Plot และ วาง Theme ของหนังให้มันเป็นแนวๆ Apocalypse หรือยุคที่โลกมาถึงจุดที่มนุษย์มีชีวิตอยู่กันอย่างลำบากจากปัญหาภัยพิบัติและภัยต่างๆ ลิงก็หลบไปอยู่ในที่ของตัวเองให้ไกลจากมนุษย์ คือมันแต่งให้มีน้ำหนักดี ตัวละครแต่ละตัวก็ฉายให้มีมิติมากขึ้น ไม่ว่าจะ Caesar หรือ The Colonel
มันเป็นหนังแนวสู้รบและทำสงครามที่ไม่จำเป็นต้องมีการประจันหน้ากันระหว่างกองทหารที่เป็นคน กับกองทหารที่เป็นลิงอะ มันฉายออกมาในภาพของการต่อสู้ และการพยายามในการปลดแอกตัวเองของลิง ผ่านการหลบหนี การโต้ตอบบ้างเล็กน้อย แต่หลักใหญ่ใจความคือลิงไม่ได้อยากสู้ด้วย อันนี้ผมว่ามันผูกเรื่องดีนะ
มีความ dark ความหม่นหมองฉายให้เป็นระยะๆ ไม่ได้ให้เนื้อเรื่องมันเดินไปง่ายๆหรือราบรื่นจนเกินไป และที่ดีกว่านั้นคือคนเขียนบทกล้าที่จะสละชีวิตตัวละครได้ ไม่ได้แต่งให้ Caesar เป็นพระเจ้าที่สามารถจะช่วยชีวิตใครก็ได้ หรือ ทำสงครามแล้วชนะง่ายๆโดยไม่มีการสูญเสีย ตรงนี้ยอมรับเลยว่า Reeves กล้าเขียนบทชี้ชะตาให้กับตัวละครดี ไม่เก้ๆกังๆเท่าไรในมิตินี้
แต่จะมีขัดข้องก็ตรงกลางๆเรื่องที่บทมัน และการเล่าเรื่องเริ่มอ่อนลง และขาดความซับซ้อนลงไป ทำให้เนื้อเรื่อง และบรรยากาศภายในหนังมันดูเหมือนเดินง่าย ถ่ายคล่องเกินไปหน่อย (ฉากขุดอุโมงค์) แต่ยังโอเคที่ยังไปแก้เกมกันตรงตอนท้ายของหนังและตอนจบของหนังได้ ยังไม่ถือว่าขาดความซับซ้อนไปเสียทีเดียว
ในเรื่องความ dark ความมืดมนของเรื่องผมว่ามันเกือบดีแล้วนะ ในหลายๆฉาก มีการใส่ฉากเรียกน้ำตามาบ้าง 2-3 ฉาก แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเศร้า ไม่ค่อย drama ถึงขนาดเรียกน้ำตาได้เท่าไร จะมีก็แค่ฉากสุดท้ายที่มันดูค่อนข้างเศร้า ดูทุกข์โศกเรียกน้ำตาดี แต่ก็ยังไม่ใช่ฉาก drama ที่แสดงออกถึงความ dark มืดมนอยู่ดี
ส่วนบทพูดของตัวละครโดยรวมผมมองว่าดีนะ มีคำพูด บทสนทนาที่คมๆของระหว่างคนกับลิง และระหว่างลิงกับลิงด้วยกันเอง ในบางมุมก็เสียดสีทั้งการเมืองและสังคมให้เห็น ชัดบ้าง แฝงบ้างปะปนกันไป
จะมีก็ตรงจุดจบของ The Colonel (Woody Harrelson) ที่เดาค่อนข้างง่ายไป และเถรตรงกับ background ที่ปูไว้จนเกินไป คือมันเป็นตัวละครที่ dark เลวร้าย และถูกปูมากับปูมหลังแบบ 'หนึ่ง' เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทีนี้พอหนังเฉลยปมของตัวละครให้คนดูไปแล้ว มันเลยทำให้จุดจบของ The Colonel มันดูออกง่ายๆ และเดาง่ายๆ ไม่ซับซ้อนจนเกินไป (เพราะสารที่ส่งมาแต่แรกมันปูมาแบบนั้น ความตื่นเต้น ความลุ้นในส่วนนี้เลยจางหายไป)
แต่ในแง่ของการแสดงผมว่า Woody Harrelson ทำได้ดีนะ ส่งอารมณ์ได้ผ่านทั้งแววตา และการ acting ตอนท้ายแววตาและน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตามันดูแบบถึงใจอะ ไม่เหลือมาดตลกจาก Zombieland เลยจริงๆ (ปกติเห็น character ที่ Harrelson แสดงทีไรมักจะนึกถึง Zombieland) ลักษณะวาจา จริตการพูดก็มีความเป็นหัวหน้า เป็นผู้พัน ผู้นำทางทหารได้จริงๆ
สำหรับ Amiah Miller ที่โผล่เข้ามาเป็นตัวละครพิเศษในเรื่อง (สาวน้อย Nova) ที่ดูเหมือนไม่มีบทพูดอะไร (เพราะเป็นใบ้) ก็เล่นออกมาได้น่ารักดี ในหลายๆฉาก แต่จะติดก็ตรงฉากดราม่า ผมคิดว่าเธอควรจะไปได้ไกลมากกว่านี้ ถ้าจะเล่นฉาก drama แต่ในเรื่องมันยังทำออกมาไม่ค่อยได้อารมณ์น่ะ เล่นดราม่าละดูไม่ค่อยดราม่า จะดูดีก็ตรงฉากฉีกรอยยิ้มอย่างเดียว
และท้ายสุด สารที่หนังต้องการจะสื่อออกมาตลอดทั้ง 3 ภาค คือ ท้ายสุดลิงจะผงาดขึ้นมาแทนที่มนุษย์ ผมคิดว่าภาคนี้ทำสารออกมาได้ดีที่สุด เตะตาที่สุด และโดนใจที่สุด นั่นไม่ใช่เพราะฉากจบของหนังภาคนี้ หากปแต่บทสนทนาอันคมคายที่ผู้เขียนบทใส่ไว้ให้กับ Harrelson ที่พูดถึงเรื่องความกลัวของมวลมนุษยชาติที่มีต่อลิงทั้งหลายซึ่งมีวิวัฒนาการและความฉลาดมากขึ้น แถมยังอาจมีอัตราการเพิ่มปริมาณที่มากกว่ามนุษย์ จนอาจจะก้าวขึ้นมาแทนที่ในตำแหน่งของมนุษย์เข้าสักวัน
มันเป็นความมืดมิด ความน่ากลัวที่แฝงมากับความกลับตาลปัตรกันของตำแหน่งแห่งที่ทางธรรมชาติที่มนุษย์เริ่มจะกลายเป็นคนป่าเถื่อน ใช้เหตุผล ใช้วิจารณญาณน้อยลงจนเทียบเท่ากับมนุษย์ยุคหิน ในขณะที่ลิง หรือ apes ทั้งหลายเริ่มมีทักษะการคิด การใช้เหตุผล รู้จักวิธีการเจรจา การต่อรองต่างๆนานามากขึ้น "จนแทบจะเหมือนมนุษย์" ได้เลย
นี่เป็นจุดที่ contrast และเสียดสีสังคมได้ดีจุดหนึ่งเลย แถมยังค่อนข้างเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของการเมืองโลกอีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ชาวตะวันตกมักกลัวเสมอมาก็คือประเด็นเรื่องของผู้อพยพลี้ภัยชาวอิสลาม หรือ การเพิ่มจำนวนประชากรอันรวดเร็วของชาวอิสลามทั่วโลกที่ถูกชาวตะวันตก ชาวยุโรปมองว่าด้อยกว่า ยากจนกว่า ที่ท้ายที่สุดแล้ว(ผู้อพยพ/ลี้ภัยชาวอิสลาม)อาจจะขยายจำนวนและเข้ามากลายเป็นประชากรหลักของทวีปยุโรปเข้าสักวันหนึ่งจนได้ มันจึงได้นำมาสู่กระแสความเกลียดชังระดับโลกของกลุ่มชาตินิยมภายในยุโรป และสหรัฐอเมริกาที่มีต่อ Refugee หรือผู้อพยพ/ลี้ภัยชาวมุสลิมในพื้นที่ต่างๆเช่นทุกวันนี้