คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
แขนลาย คือไพร่หลวงในกรมล้อมพระราชวังครับ ที่เรียกเช่นนี้เเพราะมีการสักแขนเป็นลายต่างๆ
เรื่องของ “แขนลาย” หาในหลักฐานของไทยแทบไม่พบ ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ที่ชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ กล่าวไว้เพียงสั้นๆ ว่าเป็นหนึ่งในพนักงานแห่ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าเสือไปนมัสการพระพุทธบาทใน พ.ศ. ๒๒๕๐ ว่า
“ตำรวจใน ตำรวจใหญ่ แขนลายถือทวนขัดแล่งดาบทิพบั้งทอง บั้งนาก บั้งเงิน ขนัดแล่งใน ถือปืนคาบศิลา แห่ซ้ายเป็นคู่ ๑๐ คู่ ขวาเป็นคู่ ๑๐ คู่ มีธงชายประจำหน้าหมวด ๑ ขนัดหอกคอทอง”
ในทางตรงข้าม “แขนลาย” กลับปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุทธยาจำนวนมาก ส่วนใหญ่บันทึกไว้ตรงกันว่ามีบทบาทในฐานะราชองครักษ์ ฝีพายหลวง และมีหน้าที่เป็นราชมัลหรือผู้ลงโทษผู้มีความผิดตามแต่พระเจ้าแผ่นดินจะรับสั่ง และมีการสืบตำแหน่งไปสู่ทายาทไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับไพร่ในกรมอื่น
ซิมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de la Loubère) ราชทูตฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุทธยาใน พ.ศ. ๒๒๓๐ รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ได้ระบุเรื่องราวการสักของ “แขนลาย” ไว้ว่า
“ชาวสยามเรียกคนจำพวกนี้ว่า แขนลาย (Kenláï) คือ แขนทาสี (Bras-Peints) เหตุด้วยด้วยเขาสักแขนคนพวกนี้แล้วเอาดินปืนโรยที่แผล ทำให้แขนที่ตรงนั้นกลายเป็นสีน้ำเงินหม่นๆ ชาวปอรตุเกศเรียกคนจำพวกนี้ว่า บราส์แปงตส์ และ บโทน (Gardes) พวกแขนลายยังมีใช้อยู่ในประเทศลาว”
ในเอกสารของดัตช์เรียกพวกแขนลายว่า braspintados มาจากภาษาโปรตุเกสคือ braços pintados แปลตรงตัวว่า แขนทาสี ปรากฏในเอกสารหลายชิ้นของเยเรมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Verenigde Oostindische Compagnie; VOC) ประจำกรุงศรีอยุทธยา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ระบุว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้พวกแขนลายทำหน้าที่ในการจับกุมและลงทัณฑ์บุคคลต่างๆ เช่นทรงให้เคยลงทัณฑ์เหล่าแม่ทัพนายกองที่รบแพ้ปาตานีใน ค.ศ. ๑๖๓๔ (พ.ศ. ๒๑๗๗) และลงโทษชาวดัตช์ที่ไปก่อเรื่องวิวาทกับข้าหลวงของพระอนุชาผู้เป็นฝ่ายหน้าอย่างหนักในปลาย ค.ศ. ๑๖๓๖ (พ.ศ. ๒๑๗๙) จนฟาน ฟลีตต้องพยายามเจรจากับขุนนางไทยเพื่อขอให้ปล่อยชาวดัตช์ที่ถูกจับออกมา
บาทหลวงกีย์ ตาชาร์ด (Guy Tachard) ที่ติดตามคณะทูตฝรั่งเศสเข้ามากล่าวถึงพวกแขนลายไวเช่นเดียวกัน แต่กล่าวผิดกับลาลูแบร์คือระบุว่าพวกแขนลายสักด้วยสีแดง
“เมื่อเข้าไปในลานพระราชฐานชั้นที่สี่ซึ่งทางเดินปูเสื่อไว้ครึ่งหนึ่งนั้น มีทหารสองร้อยคนหมอบอยู่ ถือดาบทำด้วยทองคำและตัมบัค (tambag) เรียกในภาษาปอร์ตุเกสว่า Os braços pintados เพราะเหตุที่พวกเขาเหล่านี้ทาแขนไว้ด้วยสีแดง ทหารเหล่านี้เป็นฝีพายประจำเรือบัลลังก์พระที่นั่ง เช่นเดียวกับทหารรักษาชายฝั่ง ลา มางซ์ (la Manche) ฉะนั้นแล”
เอกสารสำเภาแห่งกษัตริย์สุลัยมาน ที่เรียบเรียงโดยอาลักษณ์ในคณะทูตเปอร์เซียที่เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุทธยาเมื่อ ค.ศ. ๑๖๘๕ (พ.ศ. ๒๒๒๘) ก็ได้บรรยายถึง “แขนลาย” ไว้ว่า
“...มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความจงรักภักดีและความกล้าหาญของพวกเขา สมาชิกของคณะคนชั้นนำเหล่านี้เด่นดังอยู่เหนือทหารคนอื่นๆ ของกษัตริย์และความอาจหาญและดุดันของพวกเขานั้นมีชื่อเสียงมาก จนถึงกับถูกนับว่าอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิดอันเป็นที่ไว้วางใจและเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ด้วย
ราชองครักษ์เหล่านี้ได้ขอร้องให้ได้มีเครื่องหมายบางอย่างที่โดดเด่นเพื่อรับรองตำแหน่งอันสูงส่งของพวกเขา เป็นเครื่องหมายที่จะไม่มีวันตกอยู่ใต้อิทธิพลของการรุกล้ำแห่งกาลเวลา เนื่องจากว่าพวกเขามิได้สวมเสื้อผ้าหรือเสื้อเกราะ พวกเขาจึงได้สักร่างกายของตนเองเป็นถ้อยคำบางอย่างด้วยตัวอักษรของพวกเขาเอง เหมือนกับที่ชาวเตอร์กและชาวอาหรับเผ่าเบดูอินซึ่งตกแต่งตัวเองด้วยจุดและเส้นสายต่างๆ ในบรรดานายทหารยศสูงสุดและมีหน้าที่จับกุม ทรมาน และประหารชีวิตนั้นมีบางคนที่มีเครื่องหมายเช่นนี้ อยู่บนแขนขวา ส่วนบางคนก็สักไว้ที่แขนซ้าย ผู้ที่ทำงานเป็นม้าใช้และทำงานในหน่วยงานเกี่ยวกับถนนหนทางขะมีเครื่องหมายพิเศษของพวกเขาเอง ตำแหน่งเหล่านี้ทั้งหมดสืบมรดกจากบิดาไปถึงบุตร
เพื่อมาตรการแห่งความปลอดภัย องครักษ์ที่ได้รับเลือกเหล่านี้มีที่อยู่ อยู่ใกล้กับที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เช่นเดียวกับพวกอาญัรลู (ชาวเติร์กเผ่าหนึ่งในสมัยราชวงศ์เศาะฟาวียะฮ์ของเปอร์เซีย)”
สำเภากษัตริย์สุลัยมานยังได้ระบุว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงก่อการแย่งชิงราชสมบัติจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ทรงลอบวางเพลิงเผาบ้านเรือนของพวกแขนลาย ทำให้พวกแขนลายละทิ้งหน้าที่รักษาพระราชวังมาดับไฟ สมเด็จพระนารายณ์จึงทรงอาศัยจังหวะนี้บุกโจมตีพระราชวังหลวง
ลาลูแบร์ยังได้บรรยายเกี่ยวกับ “แขนลาย” ที่เขาพบในพระราชวังวันที่เขาได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์เพื่อถวายพระราชสาส์น อย่างละเอียด โดยได้เปรียบเปรยไว้ว่าใกล้เคียงกับทหารเปรโตเรียน (Praetorian Guard) ซึ่งเป็นทหารรักษาพระองค์ของจักรพรรดิโรมัน
“ระหว่างกำแพงพระราชวังทั้งสองในชั้นแรก ในทิมแห่งหนึ่งนั้น มีหมวดทหารน้อยตัวไม่ถืออาวุธนั่งหมอบประจำอยู่ คือพวกแขนลาย หรือแขนทาสี ดังที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวถึงมาแล้ว ตัวนายที่บังคับบัญชาอยู่และเป็นพวกแขนลายด้วยเหมือนกัน เรียกกันว่า องครักษ์ (Oncarac) ทั้งตัวนายและไพร่ทหารทำหน้าที่เป็นราชมัลของพระมหากษัตริย์ด้วย โดยทำนองเดียวกันกับนายทหารและกองพันเปรโตเรี่ยน (รักษาพระองค์) ทำหน้าที่เป็นราชมัลของพระเจ้าจักรพรรดิโรมันด้วยฉะนั้น และในขณะเดียวกัน็ทำหน้าที่พิทักษ์ความปลอดภัยให้แก่พระมหากษัตริย์ด้วย. ในพระบรมมหาราชวังนั้นมีสาตราวุธให้ทหารพวกนี้ใช้เมื่อคราวจำเป็น ทหารพวกนี้เป็นฝีพายเรือพระที่นั่งต้น และสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามหาทรงมีกองทหารราบรักษาพระองค์กองอื่นไม่ พวกนี้ต้องรับราชการตามหมู่สืบทายาทกันมาโดยตลอดเช่นเลกไพร่หลวงกองอื่นๆ ทั่วราชอาณาจักร และกฎหมายเก่าได้กำหนดจำนวนพลไว้เพียง ๖๐๐ คน แต่น่าจะหมายความว่าให้มีประจำให้พระบรมมหาราชวัง ๖๐๐ คนกระมัง ด้วยว่าถ้าให้ทั่วราชสีมามณฑลแล้ว ก็จะต้องมีมากกว่านี้มากนัก ด้วยว่าพระมหากษัตริย์ได้พระราชทานคนพวกนี้ แก่ขุนนางผู้ใหญ่ไปเป็นอันมากทีเดียว”
สำหรับเรื่องการสักของพวกแขนลาย น่าจะมีการสักหลายแบบ โดยอย่างที่กล่าวไปว่ามีทั้งสักสีน้ำเงินและสีแดง และในสมุดภาพไตรภูมิกรุงธนบุรีที่อยู่ที่กรุงเบอร์ลินปรากฏภาพบุคคลที่สันนิษฐานว่าเป็นภาพแขนลายหรือไพร่หลวงล้อมวัง สักตั้งแต่หัวไหล่ลงไปถึงหลังมือ
แต่เข้าใจว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ไม่ได้คงรูปแบบการสักทั้งแขนอย่างโบราณไว้แล้ว เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายว่า "ไพร่หลวงล้อมวังสักที่รักแร้แปลกกว่าไพร่กรมอื่นๆ" จึงเข้าใจว่าสมัยหลังเปลี่ยนมาสักที่รักแร้
รายละเอียดอ่านได้ตามลิ้งค์ครับ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1462484530481679
เรื่องของ “แขนลาย” หาในหลักฐานของไทยแทบไม่พบ ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ที่ชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ กล่าวไว้เพียงสั้นๆ ว่าเป็นหนึ่งในพนักงานแห่ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าเสือไปนมัสการพระพุทธบาทใน พ.ศ. ๒๒๕๐ ว่า
“ตำรวจใน ตำรวจใหญ่ แขนลายถือทวนขัดแล่งดาบทิพบั้งทอง บั้งนาก บั้งเงิน ขนัดแล่งใน ถือปืนคาบศิลา แห่ซ้ายเป็นคู่ ๑๐ คู่ ขวาเป็นคู่ ๑๐ คู่ มีธงชายประจำหน้าหมวด ๑ ขนัดหอกคอทอง”
ในทางตรงข้าม “แขนลาย” กลับปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุทธยาจำนวนมาก ส่วนใหญ่บันทึกไว้ตรงกันว่ามีบทบาทในฐานะราชองครักษ์ ฝีพายหลวง และมีหน้าที่เป็นราชมัลหรือผู้ลงโทษผู้มีความผิดตามแต่พระเจ้าแผ่นดินจะรับสั่ง และมีการสืบตำแหน่งไปสู่ทายาทไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับไพร่ในกรมอื่น
ซิมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de la Loubère) ราชทูตฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุทธยาใน พ.ศ. ๒๒๓๐ รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ได้ระบุเรื่องราวการสักของ “แขนลาย” ไว้ว่า
“ชาวสยามเรียกคนจำพวกนี้ว่า แขนลาย (Kenláï) คือ แขนทาสี (Bras-Peints) เหตุด้วยด้วยเขาสักแขนคนพวกนี้แล้วเอาดินปืนโรยที่แผล ทำให้แขนที่ตรงนั้นกลายเป็นสีน้ำเงินหม่นๆ ชาวปอรตุเกศเรียกคนจำพวกนี้ว่า บราส์แปงตส์ และ บโทน (Gardes) พวกแขนลายยังมีใช้อยู่ในประเทศลาว”
ในเอกสารของดัตช์เรียกพวกแขนลายว่า braspintados มาจากภาษาโปรตุเกสคือ braços pintados แปลตรงตัวว่า แขนทาสี ปรากฏในเอกสารหลายชิ้นของเยเรมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Verenigde Oostindische Compagnie; VOC) ประจำกรุงศรีอยุทธยา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ระบุว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้พวกแขนลายทำหน้าที่ในการจับกุมและลงทัณฑ์บุคคลต่างๆ เช่นทรงให้เคยลงทัณฑ์เหล่าแม่ทัพนายกองที่รบแพ้ปาตานีใน ค.ศ. ๑๖๓๔ (พ.ศ. ๒๑๗๗) และลงโทษชาวดัตช์ที่ไปก่อเรื่องวิวาทกับข้าหลวงของพระอนุชาผู้เป็นฝ่ายหน้าอย่างหนักในปลาย ค.ศ. ๑๖๓๖ (พ.ศ. ๒๑๗๙) จนฟาน ฟลีตต้องพยายามเจรจากับขุนนางไทยเพื่อขอให้ปล่อยชาวดัตช์ที่ถูกจับออกมา
บาทหลวงกีย์ ตาชาร์ด (Guy Tachard) ที่ติดตามคณะทูตฝรั่งเศสเข้ามากล่าวถึงพวกแขนลายไวเช่นเดียวกัน แต่กล่าวผิดกับลาลูแบร์คือระบุว่าพวกแขนลายสักด้วยสีแดง
“เมื่อเข้าไปในลานพระราชฐานชั้นที่สี่ซึ่งทางเดินปูเสื่อไว้ครึ่งหนึ่งนั้น มีทหารสองร้อยคนหมอบอยู่ ถือดาบทำด้วยทองคำและตัมบัค (tambag) เรียกในภาษาปอร์ตุเกสว่า Os braços pintados เพราะเหตุที่พวกเขาเหล่านี้ทาแขนไว้ด้วยสีแดง ทหารเหล่านี้เป็นฝีพายประจำเรือบัลลังก์พระที่นั่ง เช่นเดียวกับทหารรักษาชายฝั่ง ลา มางซ์ (la Manche) ฉะนั้นแล”
เอกสารสำเภาแห่งกษัตริย์สุลัยมาน ที่เรียบเรียงโดยอาลักษณ์ในคณะทูตเปอร์เซียที่เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุทธยาเมื่อ ค.ศ. ๑๖๘๕ (พ.ศ. ๒๒๒๘) ก็ได้บรรยายถึง “แขนลาย” ไว้ว่า
“...มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความจงรักภักดีและความกล้าหาญของพวกเขา สมาชิกของคณะคนชั้นนำเหล่านี้เด่นดังอยู่เหนือทหารคนอื่นๆ ของกษัตริย์และความอาจหาญและดุดันของพวกเขานั้นมีชื่อเสียงมาก จนถึงกับถูกนับว่าอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิดอันเป็นที่ไว้วางใจและเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ด้วย
ราชองครักษ์เหล่านี้ได้ขอร้องให้ได้มีเครื่องหมายบางอย่างที่โดดเด่นเพื่อรับรองตำแหน่งอันสูงส่งของพวกเขา เป็นเครื่องหมายที่จะไม่มีวันตกอยู่ใต้อิทธิพลของการรุกล้ำแห่งกาลเวลา เนื่องจากว่าพวกเขามิได้สวมเสื้อผ้าหรือเสื้อเกราะ พวกเขาจึงได้สักร่างกายของตนเองเป็นถ้อยคำบางอย่างด้วยตัวอักษรของพวกเขาเอง เหมือนกับที่ชาวเตอร์กและชาวอาหรับเผ่าเบดูอินซึ่งตกแต่งตัวเองด้วยจุดและเส้นสายต่างๆ ในบรรดานายทหารยศสูงสุดและมีหน้าที่จับกุม ทรมาน และประหารชีวิตนั้นมีบางคนที่มีเครื่องหมายเช่นนี้ อยู่บนแขนขวา ส่วนบางคนก็สักไว้ที่แขนซ้าย ผู้ที่ทำงานเป็นม้าใช้และทำงานในหน่วยงานเกี่ยวกับถนนหนทางขะมีเครื่องหมายพิเศษของพวกเขาเอง ตำแหน่งเหล่านี้ทั้งหมดสืบมรดกจากบิดาไปถึงบุตร
เพื่อมาตรการแห่งความปลอดภัย องครักษ์ที่ได้รับเลือกเหล่านี้มีที่อยู่ อยู่ใกล้กับที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เช่นเดียวกับพวกอาญัรลู (ชาวเติร์กเผ่าหนึ่งในสมัยราชวงศ์เศาะฟาวียะฮ์ของเปอร์เซีย)”
สำเภากษัตริย์สุลัยมานยังได้ระบุว่า เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงก่อการแย่งชิงราชสมบัติจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ทรงลอบวางเพลิงเผาบ้านเรือนของพวกแขนลาย ทำให้พวกแขนลายละทิ้งหน้าที่รักษาพระราชวังมาดับไฟ สมเด็จพระนารายณ์จึงทรงอาศัยจังหวะนี้บุกโจมตีพระราชวังหลวง
ลาลูแบร์ยังได้บรรยายเกี่ยวกับ “แขนลาย” ที่เขาพบในพระราชวังวันที่เขาได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์เพื่อถวายพระราชสาส์น อย่างละเอียด โดยได้เปรียบเปรยไว้ว่าใกล้เคียงกับทหารเปรโตเรียน (Praetorian Guard) ซึ่งเป็นทหารรักษาพระองค์ของจักรพรรดิโรมัน
“ระหว่างกำแพงพระราชวังทั้งสองในชั้นแรก ในทิมแห่งหนึ่งนั้น มีหมวดทหารน้อยตัวไม่ถืออาวุธนั่งหมอบประจำอยู่ คือพวกแขนลาย หรือแขนทาสี ดังที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวถึงมาแล้ว ตัวนายที่บังคับบัญชาอยู่และเป็นพวกแขนลายด้วยเหมือนกัน เรียกกันว่า องครักษ์ (Oncarac) ทั้งตัวนายและไพร่ทหารทำหน้าที่เป็นราชมัลของพระมหากษัตริย์ด้วย โดยทำนองเดียวกันกับนายทหารและกองพันเปรโตเรี่ยน (รักษาพระองค์) ทำหน้าที่เป็นราชมัลของพระเจ้าจักรพรรดิโรมันด้วยฉะนั้น และในขณะเดียวกัน็ทำหน้าที่พิทักษ์ความปลอดภัยให้แก่พระมหากษัตริย์ด้วย. ในพระบรมมหาราชวังนั้นมีสาตราวุธให้ทหารพวกนี้ใช้เมื่อคราวจำเป็น ทหารพวกนี้เป็นฝีพายเรือพระที่นั่งต้น และสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามหาทรงมีกองทหารราบรักษาพระองค์กองอื่นไม่ พวกนี้ต้องรับราชการตามหมู่สืบทายาทกันมาโดยตลอดเช่นเลกไพร่หลวงกองอื่นๆ ทั่วราชอาณาจักร และกฎหมายเก่าได้กำหนดจำนวนพลไว้เพียง ๖๐๐ คน แต่น่าจะหมายความว่าให้มีประจำให้พระบรมมหาราชวัง ๖๐๐ คนกระมัง ด้วยว่าถ้าให้ทั่วราชสีมามณฑลแล้ว ก็จะต้องมีมากกว่านี้มากนัก ด้วยว่าพระมหากษัตริย์ได้พระราชทานคนพวกนี้ แก่ขุนนางผู้ใหญ่ไปเป็นอันมากทีเดียว”
สำหรับเรื่องการสักของพวกแขนลาย น่าจะมีการสักหลายแบบ โดยอย่างที่กล่าวไปว่ามีทั้งสักสีน้ำเงินและสีแดง และในสมุดภาพไตรภูมิกรุงธนบุรีที่อยู่ที่กรุงเบอร์ลินปรากฏภาพบุคคลที่สันนิษฐานว่าเป็นภาพแขนลายหรือไพร่หลวงล้อมวัง สักตั้งแต่หัวไหล่ลงไปถึงหลังมือ
แต่เข้าใจว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ไม่ได้คงรูปแบบการสักทั้งแขนอย่างโบราณไว้แล้ว เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายว่า "ไพร่หลวงล้อมวังสักที่รักแร้แปลกกว่าไพร่กรมอื่นๆ" จึงเข้าใจว่าสมัยหลังเปลี่ยนมาสักที่รักแร้
รายละเอียดอ่านได้ตามลิ้งค์ครับ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1462484530481679
แสดงความคิดเห็น
ที่มาของคำเรียก"กองทหารแขนลาย"
1. สักแขนเป็นลายๆ
2. สวมเสื้อแขนยาวที่มีเป็นริ้วขวางตลอดแขน
เคยเข้าใจว่าแบบที่ 1. แต่ไปดูหนังสือภาพของเนเธอร์แลนด์(เป็นการเล่าเรื่องของ ฟอร์บัง) วาดออกมาเป็นแบบที่ 2 คือ ทหารที่ใส่เครื่องแบบแล้วแขนเสื้อลายๆ สวมหมวกยอดแหลมเหมือนชฎา
แต่รู้สึกเลยว่าหนังสือภาพเพี้ยนไปเยอะ เพราะ หลายๆอย่างไม่ค่อยตรง อย่างข้าราชการกรุงศรีอยุธยาที่แต่งตัวด้วยชุดขุนนางแมนจู...กับท้องพระโรงที่เหมือนอาหรับ