เราป่วยเป็นไบโพล่าคะ ถามว่ารู้ได้ใง จิตแพทย์ บอกคะ รักษาที่โรงพยาบาล เราขอเล่าคราวๆ เรื่องของเราก่อนนะคะว่าทำไมเราจึงป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และกลายเป็นไบโพล่าไปได้
หมอคิดว่า เราน่าจะป่วยตั้งแต่เราดูแลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายด้วยตัวคนเดียว แถมแม่เป็นอัมไซเมอร์ หลงๆลืมๆ บางทีก็จำไม่ได้ว่าเราเป็นลูกเค้า ตอนนั้นเราไม่ค่อยใส่ใจตัวเองเท่าไร แต่ยอมรับว่าเครียดมากคะ บางครั้งบางที ก็มีความคิดที่น่ากลัว นั่นก็คือ อยากจะฆ่าแม่แล้วฆ่าตัวเองตายตาม แต่เราไม่ได้ทำนะคะ เรารู้ว่าความคิดแบบนี้มันผิด แต่มันเป็นวูบหนึ่งที่มีเสียงบางอย่างบอกเราอย่างนั้น แต่เรามองหน้าแม่ทีไร เราก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าต้องสู้คะ จนวันสุดท้ายที่แม่จากเราไป หลายคนบอกดีเเล้ว เราจะได้สบาย แต่เชื่อใหมคะ มันทุกข์ทรมานมาก คิดถึง นึกถึง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเจอใคร พยายามฝืนไปทำงาน ทำหน้าที่ ทำให้ดูเป็นปกติที่สุด แต่เพื่อนสนิทเราหลายคนดูออก จึงแนะนำเราให้พบจิตแพทย์ดู
เราโชคดีที่ได้หมอที่เข้าใจ และหมอทำให้เราเปิดใจ อุ่นใจ หมอรักษาเราดูแลเราเหมือนเพื่อนมากกว่าผู้ป่วย อันนี้ไม่รู้ว่าเทคนิคหมอ หรืออย่างใงนะคะ เพื่อนสนิทหลายคนยอมรับ แต่พอบอกคนอื่น สิ่งที่ได้รับคือเราว่างไป คิดไปเอง หาไรทำสิ หมอหลอกแกเเล้ว แล้วเราก็เชื่อ (อ้าว !! ) มีคนแนะนำให้เราออกกำลังกาย ตอนคุยกับหมอ หมอก็เห็นด้วย แต่รู้ใหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น เราบ้าออกกำลังกาย บ้าเพาะกล้าม ไปแทบทุกวัน เรียกว่ากล้ามขึ้นจริง จน Over Training และบาดเจ็บทางร่างกาย พอพบหมอเล่าให้หมอฟัง หมอสั่งหยุดเลยคะ ไม่ให้ทำแบบเดิม ออกกำลังกายได้แต่เอาแต่พอดี นั้นทำให้หมอรู้ว่าเราน่าจะมีอาการแมเนีย หมอแนะนำให้ทำกิจกรรมให้หลากหลาย แต่พอดี เราทำตามที่หมอบอก กินยาตามหมอสั่ง ทุกอย่างดูดีตามท้องเรื่อง
จนกระทั่งเราป่วยต้องแอดมิทนอน รพ. คนเดียว ซึ่งทำให้เราซึมนึกถึงแม่ตอนแม่อยู่ รพ. ความซึมเศร้าเข้ามารบกวนจิตใจร่ากายก็ป่วย จนเราพบหมอเจ้าของไข้ เราแจ้งกับหมอว่าเราเป็นโรคซึมเศร้านะ เราขาดยานานไม่ได้ สิ่งที่เราได้รับกลับมาคือ หมอบอกเราคิดไปเอง ทุกคนก็เศร้าได้หมด ให้หาอะไรที่เราทำแล้วสนุก มีความสุข เติมความสุขให้กับตัวเอง ทิ้งยาที่กินอยู่ไปซะ แล้วเราก็เชื่อ (อีกแล้ว ก็หมอบอกนะ ต้องเชื่อหมอสิ ) งานนี้สุนกเลยคะ เพราะด้วยร่างกายและจิตใจที่บอกบาง เจอแบบนี้เข้าไป เตลิดคะ ผลานเงินเป็นว่าเล่น ซื้อของ ทำสวย เรียนคอร์สแพงๆ เจ้าแม่โปรเจ็กยักษ์ (ที่ไม่เคยทำไรสำเร็จ) ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน เราใช้เงินหมดไปเป็นแสนๆ พร้อมหนี้ติดตัวเกือบแสน เดชะบุญที่จิตแพทย์ โทรตามเพราะเราขาดยาไปนาน
การกลับไปเจอหมอครั้งนี้เราไม่เหมือนเดิม สับสน งงว่าทำไรต้องมาหาหมอ เรายังป่วยอยู่หรอ เมื่อได้คุยกับหมอจึงพบว่าเราขาดยาทำให้เราแมเนียอย่างรุนแรง กลับมาใช้ยาใหม่ (จิตแพทย์ค่อนข้างโมโหที่แพทย์ที่รักษาเราพูดอย่างนั้นกับเรา ไม่สนใจอาการทางจิตของเรา เพราะเราเกือบจะดีเเล้ว) การกลับมาใช้ยาใหม่ บำบัดใหม่ ทำให้เราสงบขึ้น ไม่แมเนีย แต่ซึมเศร้า เพราะเราสำนึกผิดในสิ่งที่ทำ ร้องไห้ บ้าบอ นอนไม่หลับ จนต้องวนลูปไปเริ่มต้นกันใหม่กับจิตแพทย์ ครั้งนี้เราไม่ขาดยา ทำตามคำแนะนำของจิตแพทย์ พยายามควบคุมสติ และอารมณ์ ทานยาอย่างต่อเนื่อง เราสงบขึ้น แต่ก็มีขึ้นมีลงบ้าง ดีที่มีเพื่อนกลุ่มที่สนิทเข้าใจและพร้อมรับฟังและเตื่อนสติเรายามเตลิด
กลับมาสู่การที่หลายคนคิดว่า การบอกผู้ป่วยไม่ได้เศร้า การใช้คำพูดที่รุนแรง การชี้นำที่ผิดๆ อาจพาชีวิตเค้าไปในทางที่ผิดอย่างไม่รู้ตัว โรคซึมเศร้ามีโอกาศเป็นไบโพล่าได้อย่างเรา การบอกเราไม่ป่วย การยุให้เราทำอะไรก็ตาม มันอาจจะส่งผลเสียต่อเราอย่างที่หมอคนนั้นทำ หรือการบอกว่าเราไม่ป่วย คิดไปเอง ก็ทำให้เราคิดหนักและรู้สึกตัวเองด้อยค่าลง หรือการใช้คำพูดแรงๆ เช่น ไปตายเลย อยากตายก็เชิญ ไม่อยากอยู่ก็ไป อย่ามาทำตัวไร้ค่า ถ้าจิตใจเค้าไม่มั่นคงพอ สิ่งที่ตามมาอาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากตั้งใจให้เกิด เช่นฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเอง (อันหลังเราเคยเป็น เพราะญาติใช้คำพูดพวกนี้กับเรา) โรคนี้ไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจ ไม่ใช่ว่าอยากให้ใครมาปลอบ หรือเป้็นข้ออ้าง เราเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นหรอกคะ ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้โอกับการเป็นโรคนี้ เพียงแต่ เราต้องยอมรับ และรักษา ดูแลตัวเอง ได้โปรด อย่าบอกผู้ป่วยว่าไม่ป่วย หรือคิดไปเอง เพราะมันไม่ได้ช่วยจริงๆ
อะไรจึงทำให้หลายๆคนคิดว่า การบอกคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าว่า ไม่ได้ป่วย คิดไปเอง จะช่วยให้หายได้
หมอคิดว่า เราน่าจะป่วยตั้งแต่เราดูแลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายด้วยตัวคนเดียว แถมแม่เป็นอัมไซเมอร์ หลงๆลืมๆ บางทีก็จำไม่ได้ว่าเราเป็นลูกเค้า ตอนนั้นเราไม่ค่อยใส่ใจตัวเองเท่าไร แต่ยอมรับว่าเครียดมากคะ บางครั้งบางที ก็มีความคิดที่น่ากลัว นั่นก็คือ อยากจะฆ่าแม่แล้วฆ่าตัวเองตายตาม แต่เราไม่ได้ทำนะคะ เรารู้ว่าความคิดแบบนี้มันผิด แต่มันเป็นวูบหนึ่งที่มีเสียงบางอย่างบอกเราอย่างนั้น แต่เรามองหน้าแม่ทีไร เราก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าต้องสู้คะ จนวันสุดท้ายที่แม่จากเราไป หลายคนบอกดีเเล้ว เราจะได้สบาย แต่เชื่อใหมคะ มันทุกข์ทรมานมาก คิดถึง นึกถึง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเจอใคร พยายามฝืนไปทำงาน ทำหน้าที่ ทำให้ดูเป็นปกติที่สุด แต่เพื่อนสนิทเราหลายคนดูออก จึงแนะนำเราให้พบจิตแพทย์ดู
เราโชคดีที่ได้หมอที่เข้าใจ และหมอทำให้เราเปิดใจ อุ่นใจ หมอรักษาเราดูแลเราเหมือนเพื่อนมากกว่าผู้ป่วย อันนี้ไม่รู้ว่าเทคนิคหมอ หรืออย่างใงนะคะ เพื่อนสนิทหลายคนยอมรับ แต่พอบอกคนอื่น สิ่งที่ได้รับคือเราว่างไป คิดไปเอง หาไรทำสิ หมอหลอกแกเเล้ว แล้วเราก็เชื่อ (อ้าว !! ) มีคนแนะนำให้เราออกกำลังกาย ตอนคุยกับหมอ หมอก็เห็นด้วย แต่รู้ใหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น เราบ้าออกกำลังกาย บ้าเพาะกล้าม ไปแทบทุกวัน เรียกว่ากล้ามขึ้นจริง จน Over Training และบาดเจ็บทางร่างกาย พอพบหมอเล่าให้หมอฟัง หมอสั่งหยุดเลยคะ ไม่ให้ทำแบบเดิม ออกกำลังกายได้แต่เอาแต่พอดี นั้นทำให้หมอรู้ว่าเราน่าจะมีอาการแมเนีย หมอแนะนำให้ทำกิจกรรมให้หลากหลาย แต่พอดี เราทำตามที่หมอบอก กินยาตามหมอสั่ง ทุกอย่างดูดีตามท้องเรื่อง
จนกระทั่งเราป่วยต้องแอดมิทนอน รพ. คนเดียว ซึ่งทำให้เราซึมนึกถึงแม่ตอนแม่อยู่ รพ. ความซึมเศร้าเข้ามารบกวนจิตใจร่ากายก็ป่วย จนเราพบหมอเจ้าของไข้ เราแจ้งกับหมอว่าเราเป็นโรคซึมเศร้านะ เราขาดยานานไม่ได้ สิ่งที่เราได้รับกลับมาคือ หมอบอกเราคิดไปเอง ทุกคนก็เศร้าได้หมด ให้หาอะไรที่เราทำแล้วสนุก มีความสุข เติมความสุขให้กับตัวเอง ทิ้งยาที่กินอยู่ไปซะ แล้วเราก็เชื่อ (อีกแล้ว ก็หมอบอกนะ ต้องเชื่อหมอสิ ) งานนี้สุนกเลยคะ เพราะด้วยร่างกายและจิตใจที่บอกบาง เจอแบบนี้เข้าไป เตลิดคะ ผลานเงินเป็นว่าเล่น ซื้อของ ทำสวย เรียนคอร์สแพงๆ เจ้าแม่โปรเจ็กยักษ์ (ที่ไม่เคยทำไรสำเร็จ) ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน เราใช้เงินหมดไปเป็นแสนๆ พร้อมหนี้ติดตัวเกือบแสน เดชะบุญที่จิตแพทย์ โทรตามเพราะเราขาดยาไปนาน
การกลับไปเจอหมอครั้งนี้เราไม่เหมือนเดิม สับสน งงว่าทำไรต้องมาหาหมอ เรายังป่วยอยู่หรอ เมื่อได้คุยกับหมอจึงพบว่าเราขาดยาทำให้เราแมเนียอย่างรุนแรง กลับมาใช้ยาใหม่ (จิตแพทย์ค่อนข้างโมโหที่แพทย์ที่รักษาเราพูดอย่างนั้นกับเรา ไม่สนใจอาการทางจิตของเรา เพราะเราเกือบจะดีเเล้ว) การกลับมาใช้ยาใหม่ บำบัดใหม่ ทำให้เราสงบขึ้น ไม่แมเนีย แต่ซึมเศร้า เพราะเราสำนึกผิดในสิ่งที่ทำ ร้องไห้ บ้าบอ นอนไม่หลับ จนต้องวนลูปไปเริ่มต้นกันใหม่กับจิตแพทย์ ครั้งนี้เราไม่ขาดยา ทำตามคำแนะนำของจิตแพทย์ พยายามควบคุมสติ และอารมณ์ ทานยาอย่างต่อเนื่อง เราสงบขึ้น แต่ก็มีขึ้นมีลงบ้าง ดีที่มีเพื่อนกลุ่มที่สนิทเข้าใจและพร้อมรับฟังและเตื่อนสติเรายามเตลิด
กลับมาสู่การที่หลายคนคิดว่า การบอกผู้ป่วยไม่ได้เศร้า การใช้คำพูดที่รุนแรง การชี้นำที่ผิดๆ อาจพาชีวิตเค้าไปในทางที่ผิดอย่างไม่รู้ตัว โรคซึมเศร้ามีโอกาศเป็นไบโพล่าได้อย่างเรา การบอกเราไม่ป่วย การยุให้เราทำอะไรก็ตาม มันอาจจะส่งผลเสียต่อเราอย่างที่หมอคนนั้นทำ หรือการบอกว่าเราไม่ป่วย คิดไปเอง ก็ทำให้เราคิดหนักและรู้สึกตัวเองด้อยค่าลง หรือการใช้คำพูดแรงๆ เช่น ไปตายเลย อยากตายก็เชิญ ไม่อยากอยู่ก็ไป อย่ามาทำตัวไร้ค่า ถ้าจิตใจเค้าไม่มั่นคงพอ สิ่งที่ตามมาอาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากตั้งใจให้เกิด เช่นฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเอง (อันหลังเราเคยเป็น เพราะญาติใช้คำพูดพวกนี้กับเรา) โรคนี้ไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจ ไม่ใช่ว่าอยากให้ใครมาปลอบ หรือเป้็นข้ออ้าง เราเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นหรอกคะ ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้โอกับการเป็นโรคนี้ เพียงแต่ เราต้องยอมรับ และรักษา ดูแลตัวเอง ได้โปรด อย่าบอกผู้ป่วยว่าไม่ป่วย หรือคิดไปเอง เพราะมันไม่ได้ช่วยจริงๆ