MV ทำดีไม่เคยจำ - Cocktail วิจารณ์และตีความ

สวัสดีครับ วันนี้กลับมารีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์และตีความ MV เพลงอีกครั้งครับ
คราวนี้มาฝั่งเพลงไทยบ้าง ออกตัวก่อนว่า ผมเป็นแฟนเพลง COCKTAIL มาเนิ่นนานมาก
อาจจะเอนเอียงไปทางบวกให้กับวงก็เป็นได้ ฟังหูไว้หู เอาสนุกสนานละกันนะครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

โอเคครับ เริ่มกันที่ตัวเพลง ผมไม่ใช่นักดนตรีที่เก่งกาจหรือเชี่ยวชาญอะไร เอาเป็นว่าหูบ้านๆละกันครับ
ส่วนตัวคิดว่า ทั้งซาวด์ดนตรีและการเรียบเรียงท่อนเพลง น่าสนใจมากครับสำหรับเพลงนี้ และก็หนักแน่นครอบคลุมโอเคแล้วสำหรับผม
อีกทั้งยังมีการเอากลิ่นอายความเป็นลูกทุ่งเข้ามาใส่ในเพลง Rock และมีจังหวะสนุกๆให้โยก กระโดดกันไปอย่างพอดี
มีท่อนช้าเร็วสลับที่ดูสมูธดี โดยเฉพาะท่อนหลังฮุคแรก ที่มีจังหวะชวนพิศวง พลันไปนึกถึงเพลง Mama - My Chemical Romance
ซึ่งผมชอบมาก แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าก๊อปนะครับจังหวะแบบนี้เยอะแยะ 555555
มีท่อนที่หนักหน่วง มีการว๊ากเล็กน้อย พอกลมกล่อมกันไป

เนื้อเพลง จิกกัดสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม คมคายสละสลวยตามสไตล์พี่โอม โดยเฉพาท่อนที่แทนตัวเองว่า "น้อง" และแทนสังคมว่า "พี่"
ท่อนนี้ ไม่แน่ใจว่าพี่โอมคิดมาลึกแค่ไหน แต่พื้นฐานแน่ๆ คือเป็นการใช้คำแบบลูกทุ่งบ้านเรา และยังเป็นการจิกกัดประชดประชันสังคม
ที่รุมประนามกับการกระทำความผิดเพียงครั้งเดียวหรือผิดไม่มากมาย
และถูกตัดสินโดยสังคม จึงแทนตัวเองว่า "น้อง" เพื่อให้ดูต่ำลง และ "พี่" เพื่อให้ดูสูงขึ้น
ซึ่งเป็นได้ทั้งการยินยอมหมดหนทาง และเป็นการประชดประชันได้อย่างแสบๆคันๆกันไป แบบ จ้าแล้วแต่พี่เลยค้าบบบ
แถมยังเอาคำว่า "รู้ไม่เท่าถึงการณ์" มาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม
อาจเป็นการประชดในอีกมุมของคนที่ทำผิดที่กำลังปกป้องตัวเองเช่นกัน พูดง่ายๆ จิกกัดกันไปทั้งสองฝ่าย

โดยรวมชอบมากครับสำหรับเพลง

มาต่อกันที่ MV ครับ MV กำกับโดย คุณ คลัง เคล้าภูไท ที่ทำงานกับ COCKTAIL มาหลายครั้งแล้ว เรียกได้ว่าน่าจะรู้ใจกันดี
สำหรับ MV นี้ไม่ได้ตีความกันยากหรือลึกอะไรหลายๆคนเข้าใจอยู่แล้ว แต่ผมแค่มาทำเพราะว่าสนุกตัวเอง ได้พิม ได้พูด 5555555555
MV นี้เป็นเหมือนโลกที่ล่มสลายไปแล้วทั้งทางความคิด การปกครอง จริยธรรม ศีลธรรมต่างๆนา หรืออีกแง่นึงเป็นเหมือนโมเดลสมมติ
ของโลก Social Media ที่ทุกคนมีอาวุธและช่องทางในมือ และคล้อยตามกันไปได้อย่างง่ายได้

  เปิด MV มาด้วยผู้คุมลากตัวนักโทษผิวขางเผือกทั้งตัวรวมทั้งหนวดเคราและผม มีเพียงชนักติดหลังเป็นกากบาทสีแดงเท่านั้น
แน่นอนว่า สีขาว เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ซึ่งคนคนนี้มีรอบด่างพร้อยเล็กน้อย กลับโดนมัดมือมัดเท้าลากมาประจาน
ท่ามกลางผู้คนที่แต่งตัวด้วยสีดำ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นด้านตรงข้ามของ สีขาว และจะเห็นได้ว่า มวลชนตรงนั้น ค่อนข้างขาดสติ
และคล้อยตามกันไปอย่างง่ายดาย ทำอะไรด้วยอารมณ์และความสะใจ ทั้งด่าทอ รุมประนาม ทำร้ายร่างกาย ปาข้าวของใส่
และบนเวที มีผู้นำอยู่สี่ห้าคน (ส่วนนี้จะมาพูดถึงทีหลัง) จะเห็นได้ว่า มันเหมือนโมเดลของสังคมทุกวันนี้ หรือโมเดลของ Social Media
ที่ผู้คนคล้อยตามกัน และตัดสินคนอื่นอย่างง่ายดาย โดยมีผู้ชักจูงไม่กี่คน กับคนที่ผิดไม่กี่ครั้งก็ทำลายชีวิตคนคนนึงอย่างง่ายดาย
ด้วยลมปากและปลายนิ้ว ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆง่ายๆเช่น เรื่องคนที่รองเท้าเก่าขาดๆ โดนหาว่าโรคจิต ประมานนั้นครับ ใช่มั้ยนะ 555
ผมจำได้ว่า สุดท้ายเขาไม่ผิด เขาแค่รองเท้าเก่า แต่สังคมกลับรุมประนามทำร้ายชีวิตเขาไปอย่างสาหัส จากกลุ่มคนที่ "รู้เท่าไม่ถึงการณ์"



มากันที่ผู้นำ สี่ห้าคนบนเวที ถ้าผมตีความไม่ผิด แต่ละคนเป็นสัญลักษณ์แทนคนในสังคม

1. ผู้นำสูงสุด - คนนี้อาจเปรียบเหมือนคนชักจูง ตัดสินต่างๆนาๆ จะใส่หมวกที่ดูเหมือนศาสนาหรือลัทธิ เป็นตัวแทนของ ศาสนาและลัทธิต่างๆที่ชักจูงผู้คนให้คล้อยตามเพื่อสนองความต้องการตัวเองหรือผลประโยชน์ และผู้คนก็มักจะคล้อยไม่ยากนัก

2. คนบ้า? พราหมณ์?ขอทาน? - คนสี่ห้อยดอกไม้หรืออะไรไว้เต็มตัวเขียนหน้า คนคนนี้อาจเป็นเหมือนเป็นตัวแทนของ คนที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีอะไร หรือมีสติสตังครบถ้วนอะไร หรือคนที่ยกตัวเองสูงกว่าคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองไม่มีอะไร คนพวกนี้เองก็มีอาวุธในมือในทุกวันนี้ ด้วยการตัดสินคนไปทั่วและ Social Media ที่ยากต่อการคัดกรองคนและการควบคุมการพูด

3. คนชั้นสูง? - ผู้ชายที่ใส่สูทแต่งตัวดูดีที่สุด อาจเป็นตัวแทนของคนมีการศึกษา คนมีฐานะ นักการเมือง นักธุรกิจ ที่การศึกษา ชาติตระกูล หรือชนชั้นสูงๆนั้นก็ไม่ได้ส่งเสริมให้คนเรานั้นเป็นคนดีขึ้นเลย นอกเสียจากตัวเองจะทำมันเอง

4. ผู้หญิง? - แน่นอนว่าพื้นฐานเป็นตัวแทนของผู้หญิง ที่เมื่อก่อนนั้นขาดสิทธิ์ไปมากมาย แต่โลกทุกวันเปลี่ยนไป ผู้หญิงมีสิทธิ์มากขึ้นแต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะทำให้เป็นคนดีขึ้น ในผู้หญิงก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปมีดีเลวปะปนกัน ถึงแม่เป็นฝ่ายถูกกระทำมาก่อน แต่ก็ยังเคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์และอำนาจ(ปลอมๆ)ไปทำร้ายคนอื่นได้เช่นกัน อีกแง่นึงที่ผมคิดเองคือ "โสเภณี" ดูจากการแต่งตัวต่างๆมีความคล้ายคลึงกับอาชีพนี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ค่อนข้างไม่ดีนัก

5. เด็ก - เด็กนั้นเป็นตัวแทนของความไม่รู้ และเป็นอนาคตของสังคม เด็กๆทุกวันนี้ เข้าถึงสื่อต่างๆได้ง่าย และโลกเองก็ไปไวมากๆเด็กๆนั้นขาดความรู้ ความเข้าใจ ความฉลาดทางการตัดสินใจ แต่โลกทุกวันนี้ เด็กๆเองก็ออกมามีปากเสียง ทั้งๆที่ยังขาดวุฒิภาวะ โอเคการให้โอกาสเด็กพูดนั้นดี แต่จะมีเด็กสักกี่คนที่คิดได้ และไม่คล้อยตามอารมณ์ของตนเองและสังคม เด็กพวกนี้เองก็ออกมาตัดสินคนทำร้ายคนได้เช่นกัน
และโตไปเขาจะเป็นคนแบบไหนกันล่ะในสังคมแบบนี้?


และทั้งห้าคนนี้จะเห็นได้ว่า มันไม่ได้มีใครที่เหมาะสมหรือดีไปกว่าใครที่จะมาตัดสิน ทำลายชีวิตคนอื่น ชักจูงคนให้คล้อยตามและทำลาย
คนคนนึงไป ทั้งๆที่ยังต้องตั้งคำถามว่า คนพวกนี้ดีพร้อมหมดจรดแล้วเหรอถึงต้องทำกันขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครดีหมดหรือเลวหมด
เพราะงั้น MV นี้จึงจิกกัดสังคมได้อย่างแสบสัน คิดง่ายๆเช่น คุณทำผิดแค่เผลอไปทำอะไรไม่ดี แต่สังคมที่มีทั้ง โสเภณี เด็ก คนบ้า
รอประนามตัดสินคุณ มันเจ็บแค่ไหน และพอมาถึงช่วงกลางที่มีแดนเซอร์ออกมาเต้น ก็เป็นเหมือน การโดนพูดด่าทอ ใส่ความ ขุดคุ้ย
ประนามจนคนคนนั้น เริ่มสับสนและเคลิ้มตามไปว่า เออ เรามันแย่ว่ะ หรือ เราผิดขนาดนั้นจริงๆเหรอ


จนวงขึ้นมาเล่นดนตรีข้างหลังเหตุการณ์ทั้งหมด เป็นเหมือนการกล่อมเกลา เร้าอารมณ์ให้สะใจของสังคม คนข้างล่างเต้นกันอย่างเมามัน
บนความทุกข์ของคนอื่น ซึ่งวงดนตรีเป็นทั้งสองด้านคือ เร้าอารมณ์สังคมให้สะใจนั่นแหละ แต่บางทีเนื้อเพลงนั้นกลับตรงกันข้าม มีคนพยายามบอกว่า "อย่าทำ" ตามเนื้อเพลง แต่ไม่เลย สังคมไม่เคยฟังช่วยกัน "สาดสี" สีดำกันอย่างเมามันและสะใจ เคลิบเคลิ้มไปกับอำนาจปลอมๆ และความสะใจของตัวเอง ทั้งๆที่คนที่เคยขาวบริสุทธิ์ที่มีรอยสีแดงกลางหลังเล็กน้อย โดยสาดสี ย้อมเสียจนดำสนิท และเมื่อหมดหน้าที่ของเสียงเพลง ดนตรี ความเมามัน สะใจหมดลง คนพวกนี้กลับทิ้งคนคนนั้นให้ล้มลงกับสีดำที่พวกเขาช่วยกัน "สาดสี" เพียงลำพังและกลายเป็นคนแบบ"พวกเขา"ที่ดำไปทั้งตัว ไม่มีการสงสาร หรือมารับผิดชอบกับอะไรทั้งสิ้น กลับหายไปในพริบตา
คนเรามีรอยด่างเพียงเล็กน้อย แต่กลับดำไปทั้งตัวได้ด้วยสังคม...


เป็นไงกันบ้างครับจิกกัดสังคมกันแสบๆคันๆ ต้องมีหน้าชากันไปบ้างแหละ 5555
ซึ่งถ้าให้พูดกันให้ลึกกว่านี้มันจะยาวกว่านี้แน่นอนและเป็นเรื่องที่ค่อนข้างพูดลึกๆยากมาก โดยรวมทั้งเพลงและ MV นั้นต้องการสะท้อนสังคมออกมาและยังเป็นการเตือนสติผู้คนในสังคม "เราควรมองตัวเองก่อนจะไปตัดสินคนอื่น" การตัดสินคนไม่ใช่เรื่องผิดแต่มันมีขอบเขตและกระบวณการของมัน
และคนผิดก็ว่าไปตามผิด อย่าใช้อารณ์ทำลาย หรือทำร้ายใครเอาสะใจเรา บางทีคนเราไม่รู้หรอกว่ากำลังทำเพื่ออารมณ์ตัวเอง หรือเพื่อสังคม เราควรมี "สติ" และค่อยๆคิดและตัดสิน ผมว่านี่คือสานส์ที่ COCKTAIL ต้องการจะสื่อครับ


พิมยาวมาก 55555555
เท่าที่ผมคิดและวิเคราะห์ก็ประมานนี้แหละครับ แน่นอนว่ายืนยันคำเดิมว่า ผมอาจคิดเกินเลยจากที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อก็ได้
แต่นั่นแหละคือสีสันของการคิด วิเคราะห์อะไรแบบนี้ ผมอาจคิดผิด ฟังหูไว้หู อ่านเอาสนุก คิดซะว่าเป็นนิยายก็ได้ครับ
ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบครับผม

อย่าลืมติดตามสนับสนุนวงดีๆแบบนี้กันนะครับ

** ขออนุญาตแก้ข้อความเล็กน้อย เขียนไปเขียนมา อ่านแล้วรู้สึกเหมือนพูดเกินไปในบางส่วน 555
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่