สวัสดีค่ะก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนนะค่ะ เราเป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงามตามสไตส์ผู้หญิงทั่วไปค่ะ ชอบแต่งตัวแต่งหน้า เคยผ่านการฉีดโบท๊อกซ์อยู่หลายครั้ง เพราะกังวลรูปหน้าของตัวเอง เพราะเป็นคนมีหน้าที่มีมุมกรามชัดเจน
เวลาถ่ายรูปหน้าจึงมักจะบานอยู่เสมอ พยายามเอาผมมาปิดมุมกราม แต่ก็อยากรัดผม ถักเปียโชว์รูปหน้าบ้าง แต่ยังไม่มีโอกาส ตัวเราก็อัดโบท๊อกซ์มุมกรามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เรียวสักที ลองใช้โบท๊อกซ์ หลายยี่ห้อตั้งแต่ Bolulinum toxin type A ก็ไม่ได้ผล ก็ลงก็ลงนิดเดียวหน้าก็ยังมีมุมชัดอยู่ดี เลยศึกษาหาข้อมูลดูเพิ่งรู้ว่าเค้ามี Bolulinum toxin type B ด้วย ซึ่งเป็นโปรตีนบริสุทธิ์กว่าชนิดแรก ก็เลยสนใจตัดสินใจไปฉีด Type B แต่ก็ลงนิดเดียว เพราะคุณหมอบอกว่าไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อ แต่เป็นโครงกระดูกกรามที่ใหญ่
เอ้า แล้ว สรุป ที่เปลืองตังค์ฉีดโบท๊อกซ์ ตลอดก็แป๊กซินะ !!!
เลยตั้งหลักหาข้อมูลจริงจัง เกี่ยวกับการกำจัดมุมกรามนี้ มโนว่าฉันจะบินไปเกาหลี เตรียมลางานไปสวยที่เกาหลีล่ะกัน และหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ไปมาหลายคลินิก ขอไม่บอกชื่อนะค่ะ ก็ถึงทราบว่าการผ่ากรามนั้น มีทั้งในช่องปาก และ นอกช่องปาก ถ้านอกช่องปากคุณหมอบอกว่าจะเป็นแผลประมาณ 5-7 ซม. โห ยาวนะนั้น Conceler ยังกลบไม่พอเลยค่ะ เลยกลับลำ จะหาข้อมูลแต่ ผ่าตัดในช่องปากล่ะกันเนื่องจากไม่มีแผลภายนอกให้กวนใจตลอดชีวิต ไม่งั้นรักษาแผลกันอีกไม่จบไม่สิ้น
พอได้หาข่อมูลไปปรึกษาแพทย์หลายที่ ปรึกษาเรื่องการผ่ากราม คุณหมอบอกว่า ก็จะทำการตัดกระดูกออกไป โดยดูจากฟิลม์เอ๊กซ์เรย์ คำนวณเส้นประสาทกับมุมกรามที่จะเอาออก เราก็เลยถามหมอว่า การผ่าตัดที่เสี่ยงของการผ่าตัดกรามคืออะไร คุณหมอบอกว่าอาจจะทับโดนเส้นประสาททำให้ปากเบี้ยว หรือปากชาได้ !!!!กรรมเอาแล้วซิ ตกใจนะนั้น เลยคิดว่าไม่เสี่ยงดีกว่า อยู่ไปอย่างหน้าบานอย่างนี้ก็ได้ แต่เราก็ชื่นชมในความจริงใจของคุณหมอนะค่ะ
กลับมาบ้านหาข้อมูลต่อเจอข่าวพริตตี้ ตัดกรามตาย ตกใจเลย อุ้ย น่ากลัวไปนะ
หลังจากวันนั้นเราเลิกเรื่องผ่าตัดกรามไปเลยเป็นระยะเวลา 1 ปี ใช้ bronzer ไปก่อน
วันหนึ่งเราดูรายการ Let me in Thailand แล้วก็เกิดไอเดีย ที่เห็นรายการมีผ่าตัดขากรรไกร เหลาคาง และ ผ่ากราม ทำออกมาสวยๆทั้งนั้น แถมฟื้นตัวเร็วด้วย คิดว่านี่แหละ ฉันเจอทางแสงสว่างแล้ว อาจจะมีเทคโนโลยีเหมือนในทีวีที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ก็เลยหาข้อมูล เห็นทีมแพทย์ไทย ทำเคสหลายๆเคสแล้ว อึ้งมาก หมอไทยก็เก่งนิ สุดท้ายเราก็กล้าที่จะไปปรึกษาแพทย์อีกครั้งกับ คุณหมออมรพงษ์ เรารู้จักคุณหมอจากรายการ Let Me In Thailand ก็ทำการกูเกิ้ล ก็ไปพบคุณหมอที่คลินิก คุณหมอจบ Maxillofacial Surgery ชื่อยาวๆอะไรขนาดนั้น ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็เลย ดูใน Wikipedia ต่อ ชื่อแปลกนี้คือ ศัลกรรมช่องปากใบหน้าและใบหน้าขากรรไกร โอ้ย ยาวมาก คุณหมอรักษาอยู่คลินิกแห่งหนึ่ง เลยนัดหมายเพื่อเข้าไปพบแพทย์ คุณหมอจับกรามแล้วบอกว่า โหกระดูกกรามใหญ่จัง !!! เราเลยถามถึงความเสี่ยง คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ระบบ Computer 3D นำร่องการผ่าตัดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความแม่นยำที่สุดซึ่งระบบนี้สามารถระบุเส้นประสาท ว่าอยู่ตรงไหนได้อย่างแม่นยำ โดยคุญหมอสามารถปรินกระโหลกเราออกมาให้ดูจริงๆ เพื่ออธิบายให้คนไข้เห็นภาพชิ้นส่วนที่จะตัดออก เพื่อที่จะอธิบายให้เราเข้าใจ ก่อนตัดสินใจทำการรักษา ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราก็เลยให้คุณหมอวางแผนดู เอ้า แล้วเดี๋ยวค่อยคิดว่าจะทำไหม ไม่มีอะไรต้องเสียนิเนอะ เดี๋ยวกระทู้หน้าจะมาอัพเดทให้ฟังนะค่ะ ว่าคุณหมอวางแผนอะไรให้บ้าง กระโหลกจำลอง 3D ที่ปรินออกมาขนาดเท่าหัวเราจริงๆเป็นอย่างไร จะอัพเดทให้ฟังเรื่อยๆนะค่ะ
รูปที่เห็นมุมกรามชัดออกมาค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไปพบคุณหมอค่ะ Xray ช่องปาก
จะเห็นว่ากระดูกรามแหลมออกมาทั้งสองข้าง เราเห็นไซส์เรายังตกใจเลย
แต่เราก็ยังกังวลว่าผลจะออกมาดีไหม และรับกับใบหน้าไหมต้องตัดออกเยอะไหม ทั้งหน้าโครงสร้างออกมาเป็นยังไง ขั้นต่อไป คุณหมอนัดให้เราไป TC SCAN เพื่อดูโครงสร้างทั้งใบหน้า แล้วเอาผล TC Scan ให้คุณหมอ เรากลับมาใหม่ตามนัด เพื่อดูโครงสร้างกระดูกและใบหน้า คุณหมอจำลองการปรินแบบ 3D เท่าขนาดหัวเราจริงๆ
กระโหลกในระบบคอมพิวเตอร์
ด้านข้าง
ด้านกรามมุมขากรรไกร
เราเห็นแบบนี้เราถึงบางอ้อ เลยว่าทำไมหน้าเราถึงมาเป็นสี่เหลี่ยม 5555 ยิ่งเห็นภาพแบบนี้ความมั่นใจที่อยากมีหน้า V Shape ก็มากขึ้นทุกวินาที
เราเข้าไปปรึกษาคุณหมอครั้งที่ 3 กับการจำลองชิ้นส่วนในการตัดมุมกรามออกไป เพราะจริงๆแล้วเราก็หวั่นว่าหน้าจะเล็กไป คุณหมอจึงทำการวัดขนาดบนใบหน้าเราด้วยระบบ Computer 3D ซึ่งคุณหมอบอกว่าขนาดหน้าไม่เท่ากันด้านขวามุมใหญ่กว่าด้านซ้าย จึงต้องจำเป็นตัดทั้งสองข้างให้มีขนาดเท่ากันเพื่อสัดส่วนของใบหน้าที่ควรจะเป็นโดยรวม คุณหมอวางแผนกับคนไข้ในการวัดมุมกรามที่จะกำจัดออกไป
โดยวางแผนในระบบคอมพิวเตอร์หมดค่ะ ซึ่งคุณหมอบอกว่า มีความแม่นยำ และก็ปลอดภันมากๆ เพราะ เส้นสีแดงที่เห็นคือเส้นประสาทที่เราควรไม่ไปยุ่งกับมันเด็ดขาด
พอเราได้สื่อสารในการวางแผนการรักษากับคุณหมอเราก็ได้ความรู้มากขึ้น และ ตัดสินใจในการทำศัลกรรมครั้งแรก ในการตัดกราม จากช่องปากข้างในค่ะ หลังจากนั้นเราก็ไปตรวจร่างกาย ร่างกายแข็งแรงดี แต่ความดันต่ำ และนัดวันพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดค่ะ
คุณหมอใช้เวลาในการผ่า 1 ชม ดมยาสลบ พอตื่นขึ้นมาเราไม่รู้สึกมึนเลย รู้แต่ว่าหิว และคุณหมอนำกระดูกรามมาให้ดู ใหญ่ไหม
ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดเลย ก่อนกลับบ้านเราก็แวะเข้าเซเว่นทั้งผ้าพันแผล
Day 1 : เอาผ้าพันแผลออก รู้สึกเลนว่าไม่มีกรามแล้ว ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่มีความบวม และมีรอยถลอกแถวริมฝีปาก
Day 2- 4 : หน้าบวม กว่าวันแรก เริ่มจิตตก ที่รอยถลอกที่ริมฝีปากเริ่มดีขึ้น
Day 5- 7 : หน้ายังบวม อาการบวมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มเขียนคิ้ว แต่งหน้าบ้างแล้ว ครบหนึ่งอาทิตย์พอดี ไม่มีใครรู้ว่าไปผ่าตีดมา เหมือนผ่าฟันคุดเท่านั้นเอง ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดใดๆ
8-15 : อาการบวมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วันที่ 16 : ภาพปัจจุบันค่ะ
กระทู้พลีชีพ ….ครั้งแรกกับการทำศัลยกรรม ตัดกราม
เอ้า แล้ว สรุป ที่เปลืองตังค์ฉีดโบท๊อกซ์ ตลอดก็แป๊กซินะ !!! เลยตั้งหลักหาข้อมูลจริงจัง เกี่ยวกับการกำจัดมุมกรามนี้ มโนว่าฉันจะบินไปเกาหลี เตรียมลางานไปสวยที่เกาหลีล่ะกัน และหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ไปมาหลายคลินิก ขอไม่บอกชื่อนะค่ะ ก็ถึงทราบว่าการผ่ากรามนั้น มีทั้งในช่องปาก และ นอกช่องปาก ถ้านอกช่องปากคุณหมอบอกว่าจะเป็นแผลประมาณ 5-7 ซม. โห ยาวนะนั้น Conceler ยังกลบไม่พอเลยค่ะ เลยกลับลำ จะหาข้อมูลแต่ ผ่าตัดในช่องปากล่ะกันเนื่องจากไม่มีแผลภายนอกให้กวนใจตลอดชีวิต ไม่งั้นรักษาแผลกันอีกไม่จบไม่สิ้น
พอได้หาข่อมูลไปปรึกษาแพทย์หลายที่ ปรึกษาเรื่องการผ่ากราม คุณหมอบอกว่า ก็จะทำการตัดกระดูกออกไป โดยดูจากฟิลม์เอ๊กซ์เรย์ คำนวณเส้นประสาทกับมุมกรามที่จะเอาออก เราก็เลยถามหมอว่า การผ่าตัดที่เสี่ยงของการผ่าตัดกรามคืออะไร คุณหมอบอกว่าอาจจะทับโดนเส้นประสาททำให้ปากเบี้ยว หรือปากชาได้ !!!!กรรมเอาแล้วซิ ตกใจนะนั้น เลยคิดว่าไม่เสี่ยงดีกว่า อยู่ไปอย่างหน้าบานอย่างนี้ก็ได้ แต่เราก็ชื่นชมในความจริงใจของคุณหมอนะค่ะ
กลับมาบ้านหาข้อมูลต่อเจอข่าวพริตตี้ ตัดกรามตาย ตกใจเลย อุ้ย น่ากลัวไปนะ
หลังจากวันนั้นเราเลิกเรื่องผ่าตัดกรามไปเลยเป็นระยะเวลา 1 ปี ใช้ bronzer ไปก่อน
วันหนึ่งเราดูรายการ Let me in Thailand แล้วก็เกิดไอเดีย ที่เห็นรายการมีผ่าตัดขากรรไกร เหลาคาง และ ผ่ากราม ทำออกมาสวยๆทั้งนั้น แถมฟื้นตัวเร็วด้วย คิดว่านี่แหละ ฉันเจอทางแสงสว่างแล้ว อาจจะมีเทคโนโลยีเหมือนในทีวีที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ก็เลยหาข้อมูล เห็นทีมแพทย์ไทย ทำเคสหลายๆเคสแล้ว อึ้งมาก หมอไทยก็เก่งนิ สุดท้ายเราก็กล้าที่จะไปปรึกษาแพทย์อีกครั้งกับ คุณหมออมรพงษ์ เรารู้จักคุณหมอจากรายการ Let Me In Thailand ก็ทำการกูเกิ้ล ก็ไปพบคุณหมอที่คลินิก คุณหมอจบ Maxillofacial Surgery ชื่อยาวๆอะไรขนาดนั้น ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็เลย ดูใน Wikipedia ต่อ ชื่อแปลกนี้คือ ศัลกรรมช่องปากใบหน้าและใบหน้าขากรรไกร โอ้ย ยาวมาก คุณหมอรักษาอยู่คลินิกแห่งหนึ่ง เลยนัดหมายเพื่อเข้าไปพบแพทย์ คุณหมอจับกรามแล้วบอกว่า โหกระดูกกรามใหญ่จัง !!! เราเลยถามถึงความเสี่ยง คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ระบบ Computer 3D นำร่องการผ่าตัดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความแม่นยำที่สุดซึ่งระบบนี้สามารถระบุเส้นประสาท ว่าอยู่ตรงไหนได้อย่างแม่นยำ โดยคุญหมอสามารถปรินกระโหลกเราออกมาให้ดูจริงๆ เพื่ออธิบายให้คนไข้เห็นภาพชิ้นส่วนที่จะตัดออก เพื่อที่จะอธิบายให้เราเข้าใจ ก่อนตัดสินใจทำการรักษา ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราก็เลยให้คุณหมอวางแผนดู เอ้า แล้วเดี๋ยวค่อยคิดว่าจะทำไหม ไม่มีอะไรต้องเสียนิเนอะ เดี๋ยวกระทู้หน้าจะมาอัพเดทให้ฟังนะค่ะ ว่าคุณหมอวางแผนอะไรให้บ้าง กระโหลกจำลอง 3D ที่ปรินออกมาขนาดเท่าหัวเราจริงๆเป็นอย่างไร จะอัพเดทให้ฟังเรื่อยๆนะค่ะ
รูปที่เห็นมุมกรามชัดออกมาค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไปพบคุณหมอค่ะ Xray ช่องปาก
จะเห็นว่ากระดูกรามแหลมออกมาทั้งสองข้าง เราเห็นไซส์เรายังตกใจเลย แต่เราก็ยังกังวลว่าผลจะออกมาดีไหม และรับกับใบหน้าไหมต้องตัดออกเยอะไหม ทั้งหน้าโครงสร้างออกมาเป็นยังไง ขั้นต่อไป คุณหมอนัดให้เราไป TC SCAN เพื่อดูโครงสร้างทั้งใบหน้า แล้วเอาผล TC Scan ให้คุณหมอ เรากลับมาใหม่ตามนัด เพื่อดูโครงสร้างกระดูกและใบหน้า คุณหมอจำลองการปรินแบบ 3D เท่าขนาดหัวเราจริงๆ
กระโหลกในระบบคอมพิวเตอร์
ด้านข้าง
ด้านกรามมุมขากรรไกร
เราเห็นแบบนี้เราถึงบางอ้อ เลยว่าทำไมหน้าเราถึงมาเป็นสี่เหลี่ยม 5555 ยิ่งเห็นภาพแบบนี้ความมั่นใจที่อยากมีหน้า V Shape ก็มากขึ้นทุกวินาที
เราเข้าไปปรึกษาคุณหมอครั้งที่ 3 กับการจำลองชิ้นส่วนในการตัดมุมกรามออกไป เพราะจริงๆแล้วเราก็หวั่นว่าหน้าจะเล็กไป คุณหมอจึงทำการวัดขนาดบนใบหน้าเราด้วยระบบ Computer 3D ซึ่งคุณหมอบอกว่าขนาดหน้าไม่เท่ากันด้านขวามุมใหญ่กว่าด้านซ้าย จึงต้องจำเป็นตัดทั้งสองข้างให้มีขนาดเท่ากันเพื่อสัดส่วนของใบหน้าที่ควรจะเป็นโดยรวม คุณหมอวางแผนกับคนไข้ในการวัดมุมกรามที่จะกำจัดออกไป
โดยวางแผนในระบบคอมพิวเตอร์หมดค่ะ ซึ่งคุณหมอบอกว่า มีความแม่นยำ และก็ปลอดภันมากๆ เพราะ เส้นสีแดงที่เห็นคือเส้นประสาทที่เราควรไม่ไปยุ่งกับมันเด็ดขาด
พอเราได้สื่อสารในการวางแผนการรักษากับคุณหมอเราก็ได้ความรู้มากขึ้น และ ตัดสินใจในการทำศัลกรรมครั้งแรก ในการตัดกราม จากช่องปากข้างในค่ะ หลังจากนั้นเราก็ไปตรวจร่างกาย ร่างกายแข็งแรงดี แต่ความดันต่ำ และนัดวันพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดค่ะ
คุณหมอใช้เวลาในการผ่า 1 ชม ดมยาสลบ พอตื่นขึ้นมาเราไม่รู้สึกมึนเลย รู้แต่ว่าหิว และคุณหมอนำกระดูกรามมาให้ดู ใหญ่ไหม
ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดเลย ก่อนกลับบ้านเราก็แวะเข้าเซเว่นทั้งผ้าพันแผล
Day 1 : เอาผ้าพันแผลออก รู้สึกเลนว่าไม่มีกรามแล้ว ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่มีความบวม และมีรอยถลอกแถวริมฝีปาก
Day 2- 4 : หน้าบวม กว่าวันแรก เริ่มจิตตก ที่รอยถลอกที่ริมฝีปากเริ่มดีขึ้น
Day 5- 7 : หน้ายังบวม อาการบวมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มเขียนคิ้ว แต่งหน้าบ้างแล้ว ครบหนึ่งอาทิตย์พอดี ไม่มีใครรู้ว่าไปผ่าตีดมา เหมือนผ่าฟันคุดเท่านั้นเอง ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดใดๆ
8-15 : อาการบวมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วันที่ 16 : ภาพปัจจุบันค่ะ