เสพสยอง | เผชิญเขี้ยวสยองใต้ผืนน้ำ..ก่อนดิ่งลึก 47 เมตร..และรีวิวหนัง | DEVA HELLBLAZER


    ครั้งหนึ่งโลกภาพยนตร์เคยเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้ายนานาชนิดที่พร้อมจะปลดปล่อยความคลั่งแล้วละเลงเลือดของเหยื่อให้ท่วมจอภาพยนตร์ ก่อนที่ความนิยมของพวกมันจะลดทอนไปตามกาลเวลาจนต้องอพยพไปอาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กๆ อย่างดีวีดี และเคเบิ้ลทีวี แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน.. ‘พวกมัน’ จะกลับมาโลกภาพยนตร์ เปลี่ยนให้เป็นแหล่งละเลงเลือดของพวกมันอีกครั้ง

    สัตว์คลั่งสายพันธุ์เหี้ยมที่ขึ้นชื่อที่สุดในโลกภาพยนตร์..พวกมันอาศัยอยู่ใต้ผืนสมุทร แต่ถ้าจะให้พูดไปถึงมังกรทะเล ปลาหมึกยักษ์ หรือสัตว์กลายพันธุ์อื่นๆ ความน่ากลัวของพวกมันคงทำได้แค่อยู่ในโลกภาพยนตร์ และพวกมันคงอยู่ลึกลงไปเกินกว่าที่เราจะพบเจอมันได้ง่ายๆ ดังนั้น เราจะขอยก 1 ในสัตว์ร้ายที่ในโลกความเป็นจริง เราเองก็สามารถพบมันได้ทั่วไปเช่นกัน..สัตว์ร้ายชนิดนั้นคือ ‘ฉลาม’ ซึ่งมีอยู่ในโลกความเป็นจริง พบเจอได้แม้เราจะอยู่เพียงผิวน้ำมหาสมุทร และที่สำคัญ มันกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์สายสยองที่ยึดครองผืนน้ำในโลกภาพยนตร์ไปแล้วเรียบร้อย โดยเราจะหยิบเอา ‘หนังฉลาม’ ที่ถือว่าเป็นสุดยอดความประทับใจตลอดความทรงจำของผมเองเท่าที่เคยดูหนังฉลามมาทั้งสิ้นถึง 10 เรื่อง โดยหวังว่า หลายๆ เรื่องใน 10 เรื่องนี้ ผู้อ่านบางท่านจะมีความประทับใจที่ตรงใจกันนะครับ..

“ฉลามมีดวงตาที่ดูไร้ชีวิต..สีดำสนิทเหมือนตุ๊กตา
เมื่อมันพุ่งตรงมาที่คุณ มันดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิต
จนมันอ้าปากขย้ำคุณนั่นแหละ..
คุณจะได้ยินแต่เสียงตัวเองกรีดร้อง น้ำทะเลรอบๆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
แต่ต่อให้คุณกรีดร้องเท่าไหร่..มันก็ไม่หยุดขย้ำคุณอยู่ดี”




โคตรเขี้ยวมฤตยู
    เดือน พฤษภาคม ปี 1974 ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ ชายหนุ่มวัย 28 ปีผู้หวังจะยกระดับการเป็นผู้ผลิตสื่อบันเทิงจากตำแหน่งผู้กำกับละครทีวี สู่ตำแหน่งผู้กำกับภาพยนตร์แห่งฮอลลีวู้ด ได้รับการติดต่อจาก ‘เดวิด บราวน์’ และ ริชาร์ด ดี. ซานุก คู่หูโปรดิวเซอร์ที่หยิบเอาหนังสือชื่อ ‘JAWS’ นวนิยายสยองขวัญเล่าถึงเหตุการณ์ที่ฉลามตัวหนึ่งหลุดเข้ามาในเขตของมนุษย์ ณ ชายหาดนิวอิงแลนด์ ทำให้เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งต้องรวมกลุ่มกันออกไปล่าฉลาม แต่กลายเป็นว่า เหล่าเจ้าหน้าที่ได้พาตัวเองไปอยู่ใจกลางอาณาเขตของมันเสียเอง จนกลายเป็นเรื่องราวการเอาชีวิตรอดของเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งจากฉลามขาวยักษ์ที่รอสังเวยชีวิตของพวกเขาไปทีละคน สปีลเบิร์กตอบตกลงไปในทันที ด้วยความยังเลือดใหม่ไฟแรง ต้องการไต่ระดับความฝัน และเคยรวมงานกับ บราวน์ และ ดี. ซานุก โดยที่สปีลเบิร์กเองก็ไม่รู้ว่าที่คู่หูโปรดิวเซอร์ติดต่อมา จะให้ไปกำกับหนังแนวไหน..รู้แค่ว่ามันคือหนังที่จะได้ฉายในโรง

“ผมยังจำได้..
ตอนที่ผมได้ไปพบกับบราวน์ และดี. ซานุก
บนโต๊ะมีกระดาษปึกหนาที่น่าจะเป็นบทหนังอยู่
บนปกมันมีว่า ‘JAWS’
ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร
ผมนึกว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับหมอฟัน”



สตีเวน สปีลเบิร์ก วัย 28 ปี

    สตีตเวน สปีลเบิร์ก ได้รับทุนการถ่ายทำหลังเสร็จสิ้นการเขียนบทจาก Universal Pictures มากว่า 8 ล้านเหรียญ ก่อนจะออกกองถ่ายด้วยความกระตือรือร้น ตื่นเต้น และไฟแรงตามวัย ทว่า ความไฟแรงนั้นไม่อาจเป็นเชื้อเพลิงให้กองถ่ายของสปีลเบิร์กดำเนินการถ่ายทำไปได้อย่างราบรื่นสักเท่าไหร่ เนื่องจากวิทยาการในยุค 70s นั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์รุ่นไหนที่จะสามารถเนรมิตฉลามสักตัวมาแหวกว่ายใต้ผืนน้ำได้อย่างสมจริง ดังนั้น สปีลเบิร์ก และทีมผู้สร้างจึงเลือกการสร้างหุ่นกลไกขึ้นมาเพื่อความเหมือนจริง ให้นักแสดงได้ต่อกรกับมันได้อย่างสมบทบาท แต่ถึงอย่างนั้น การสร้างหุ่นกลไกเองก็ใช้เวลานานพอสมควร จนสปีลเบิร์กที่มากับทีมงานได้ไกลเกินกว่าจะพักกลางทางต้องเลือกถ่ายทำฉากที่ไม่ต้องใช้หุ่นฉลามไปก่อน จนกระทั่งมาถึงคิวถ่ายที่เหล่าทีมงานและนักแสดงตัวละครสำคัญต้องออกกองถ่ายทำกลางทะเลกันแล้ว หุ่นฉลามก็ยังไม่พร้อม สปีลเบิร์กจึงต้องเค้นหาวิธีที่จะทำให้สุดท้ายแล้ว ผู้ชมจะรู้สึกกลัวได้โดยไม่จำเป็นต้องมีฉลามโผล่มาให้เห็นจะๆ จึงเกิดเป็นเทคนิค ‘Sight and Sound’ นั่นคือ การเล่นกับภาพและดนตรีประกอบ หรือเสียงของบรรยากาศค่อยๆ สร้างฐานความคิดให้กับคนดูแบบไต่ระดับความระทึกขึ้นเรื่อยๆ กรณีนี้ คือการถ่ายทอดภาพความกว้างของผืนทะเล และดนตรีประกอบจนคนดูรู้สึกว่า ทะเลคือสถานที่ที่น่ากลัว ซึ่งการดำเนินการถ่ายทำฉากสยองขวัญโดยอาศัยเทคนิค Sight and Sound ก็ทำให้สปีลเบิร์กวัย 28 ปีต้องปรับแผนการถ่ายทำกันยกใหญ่โดยทำใจล่วงหน้าแล้วว่า

“ท่าทางหนังเรื่องนี้..
คนดูจะไม่ได้เห็นฉลามเลย
แม้แต่ตัวเดียว”


    ทว่าการดำเนินการถ่ายทำด้วยเทคนิคนี้ ก็เป็นการซื้อเวลาให้ทีมงานที่รับหน้าที่สร้างหุ่นฉลาม ได้สร้างมันออกมาอย่างสมบูรณ์แบบชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะใช้มันเข้าฉากร่วมกับนักแสดงได้อย่างน่าเกรงขาม และสมจริง จนในที่สุด กองถ่ายภาพยนตร์ JAWS ก็ปิดกล้องลงไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ความเหนื่อยล้า และความท้อแท้จากครั้งจากการถ่ายทำภาพยนตร์ฉายโรงใหญ่ครั้งแรกในชีวิต มันเกินกว่าที่มือใหม่อย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก จะรับไหว จนเขาถึงประกาศกลางกองถ่ายว่า..

“เสร็จงานนี้แล้ว
ผมจะกลับไปทำละครทีวี
ไม่เอาอีกแล้วกับหนังใหญ่”




    แต่ใครเลยจะรู้เมื่อ JAWS ที่แทบจะเป็น 1 ในประสบการณ์ถ่ายทำที่แย่ที่สุดของสปีลเบิร์ก ได้ลงโรงฉายในปี 1975 กลับสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมในยุคนั้นเกินกว่าที่ใครจะนึกฝัน กับหนังฉลามตัวเดียวไล่กินคนกลางทะเลที่กวาดรายได้กว่า 260 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลอย่างไม่มีใครเทียบ แถมยังเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ถึงแม้จะชวดรางวัลสาขานั้นไป.. เจ้าฉลามวายร้ายแห่ง JAWS ก็งาบเอาสาขาตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม ,ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยมมาไว้ในครอบครองจนได้ ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่มีหนังสัตว์คลั่งเรื่องไหนอีกเลยที่สามารถเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก่อนที่ในปี 1977 อันดับรายได้สูงสุดตลอดกาลของเจ้าฉลามวายร้ายจะจมทะเลไปด้วยฝีมือของเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนวิชาภาพยนตร์อย่าง ‘จอร์จ ลูคัส’ ที่พากองทัพจักรวรรดิ และกองกำลังฝ่ายกบฎมาปะทะกันท่ามกลางหมู่ดาวด้วยปืนเลเซอร์กับกระบี่แสงในชื่อเรื่อง ‘STAR WARS’

ถึงอย่างนั้น JAWS ก็ได้กลายเป็นการต่อยอดทางแรงบันดาลใจครั้งสำคัญของเหล่าผู้สร้างหนังที่ต้องการจะส่งบรรดาสัตว์คลั่งลงสนามละเลงเลือดแห่งจอภาพยนตร์ แม้แต่เฟรนไชส์สยองขวัญระดับจักรวาลอย่าง ‘ALIEN’ ของผู้กำกับ ‘ริดลีย์ สก็อตต์’ ก็ถูกคู่หูมือเขียนบท ‘แดน โอ แบนนอน’ กับ ‘โรนัลด์ ชูเชต์’ นำเจ้า Xenomorph ไปเร่ขายคอนเซปต์ของหนังด้วยประโยคนิยามอย่างง่ายๆ ว่า “JAWS เวอร์ชั่นอวกาศ” ซึ่งก็ประสบความสำเร็จไปตามๆ กัน

นอกจากนี้บารมีของสัตว์ร้ายใต้ผืนน้ำของ JAWS ก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้อีก 1 เฟรนไชส์สัตว์น้ำพันธุ์คลั่งอันแสนจะตราตรึงในความทรงจำได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นคือ ‘Piranha’ (ปิรันย่า) และความประสบความสำเร็จของ Piranha ที่ถึงแม้จะเวิร์คแค่ 2 ภาค นั่นคือต้นฉบับในปี 1978 และรีเมคในปี 2010 แต่ก็เป็นหนังเรื่องเดียวในบรรดาหนังปลาฆ่าคนแรงบันดาลใจจาก JAWS ที่สตีเวน สปีลเบิร์ก ออกมาชมเองว่า “ดีที่สุด” ในประเภทเดียวกัน

ความสำเร็จของ JAWS ไม่ใช่แค่เพียงการเป็นหนังทำรายได้ถล่มทลาย..หนังรางวัลชั้นยอด หรือการเป็นหนังแรงบันดาลใจชั้นเยี่ยม..แม้แต่ 1 ในประโยคสั้นๆ ที่มาจากบทพูดในหนัง JAWS ก็กลายมาเป็นสำนวนที่ใช้กันอย่างสากล ความหมายของสำนวนนั้นมันหมายถึง “การประสบปัญหาที่ยากจะข้ามพ้นไปได้” แต่น้อยคนมากที่จะรู้ว่าสำนวนแสนคมคายนั้นเกิดขึ้นมาเพียงแค่การแก้บทกันสดๆ ของสตีเวน สปีลเบิร์ก และรอย ไชเดอร์ นักแสดงนำของเรื่อง ในฉากที่ตัวละคร ‘โบรดี้’ ตัวเอกของเรื่อง ได้เห็นฉลามอย่างเต็มๆ ตาครั้งแรก ด้วยขนาดอันมหึมาของมัน ทำให้โบรดี้ต้องหันมาพูดกับเจ้าหน้าที่คนอื่นว่า..

“You need a bigger boat”


และแน่นอนว่า ถ้าปล่อยให้มีหนังเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ JAWS ผลัดมือกันมาครองบัลลังก์วังบาดาลเลือด ถึงแม้ว่าบางเรื่องจะได้แรงบันดาลใจจาก JAWS เอง แต่ถ้าต้นตำหรับอย่าง JAWS เอง ไม่มีการทำ ‘ภาคต่อ’ มันก็ดูจะน้อยหน้ากันไปหน่อย ด้วยผลสำเจ็จต่างๆ ที่รวมกันมา ทาง Universal จึงกดไฟเขียวอนุมัติโปรเจ็คภาคต่อของ JAWS ให้แก่เหล่า)รดิวเซอร์ และมือเขียนบททันที แต่ทว่า..

“ผมเคยบอกไปแล้ว..
ผมจะกลับไปทำแค่ละครทีวี
ผมจะไม่ทำหนังใหญ่อีกแล้ว”


    สปีลเบิร์กในสภาพจิตใจที่ค่อนข้างเหนื่อยล้ากับการกำกับหนังใหญ่ครั้งแรกในชีวิตก็ให้คำตอบตามความรู้สึกของเขาจริงๆ จนทีมงานต้องเฟ้นตัวหาผู้กำกับคนใหม่ที่มีโปรไฟล์คล้ายกันนั่นคือ “มาจากละครทีวี” จนกระทั่ง JAWS ได้มีภาคต่อสมใจค่ายไปถึงอีก 3 ภาค รวมทั้งหมดเป็น 4 ภาค แต่ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยการดำเนินเรื่องที่ยังเดินด้วยเส้นเดิม มันทำให้ไม่มีอะไรใหม่ให้ดูสำหรับเฟรนไชส์นี้เลย ต่อให้มีตัวละครใหม่ๆ และวิธีการฆ่าฉลามที่แตกต่างกันออกไปก็ตาม..บัลลังก์บาดาลเลือดของ JAWS จึงต้องลาไปในปี 1987 ด้วยภาคที่ 4 หรือ ‘JAWS: The Revenge’

    จุดจบของเฟรนไชส์ฉลามฆ่าคนเรื่องแรกของโลกอาจจะจบลงไม่สวยงามเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่มีทางที่จะคัดค้านได้เลยว่า JAWS กลายเป็นหนังสัตว์คลั่งอันดับต้นๆ ของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไปแล้วอย่างไม่มีใครเทียบ นับจากหนังนกนางนวลฆ่าคนอย่าง The Birds ของอัลเฟรด ฮิทช์ค็อก

    แม้ว่าเวลาผ่านไปหลายสิบปี แต่ JAWS เองก็ยังเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนตัวสตีเวน สปีลเบิร์กในหลายๆ คืน..มีบางคืนที่สปีลเบิร์กในปัจจุบันฝันว่าเขาตื่นมาในวันที่ 3 ของการถ่ายทำ จนต้องสะดุ้งตื่น ปวดหัวอย่างแรง ก่อนจะนอนต่อแล้วฝันว่าตัวเองได้มาอยู่ในวันที่ 4 ของการถ่ายทำ ซึ่งมันเหลืออีก 146 วันที่สปีลเบิร์กจำเป็นต้อง ‘หาเรือใหญ่กว่านี้’ ในการถ่ายทำ JAWS

“JAWS เป็น 1 ในความภูมิใจที่สุดในชีวิต
มันเป็นหนังที่สนุกมากเมื่อได้ดู
..แต่ไม่สนุกเลยที่ต้องมาทำเอง”
- สตีเวน สปีลเบิร์ก –


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่