[หนังโรงเรื่องที่ 193] War for the Planet of the Apes - มาพังตรงภาคจบนี่เอง by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 193] War for the Planet of the Apes - มาพังตรงภาคจบนี่เอง ; (Matt Reeves, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : B- (จากสเกล D-A)

**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ : หลังจาก "โคบา" ได้ก่อกบฏและนำกองทัพวานรบางส่วนไปรบพุ่งกับมนุษย์ จนจุดประกายสงครามของสองเผ่าพันธุ์ให้เกิดขึ้น เวลาผ่านไปหลายปี "ซีซาร์" ก็ยังคงต้องรับผลของการกระทำนั้นแหละคอยปกป้องเหล่าวานรผู้อ่อนแอตนอื่นๆ อีกทั้งต้องคอยต้านทานการโจมตีของกองทหารมนุษย์ที่นับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย  และนี่อาจจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่จะตัดสินว่า "มนุษย์" กับ "วานร" ใครจะอยู่รอดเพื่อครองผืนพิภพนี้ ...
.
.

เออ นั่นแหละ โดนอีตัวอย่างหนักหลอกมาเหมือนกันเราเข้าใจ หมดกันกับความวาดหวังที่จะได้เห็นสงครามสเกลใหญ่ๆ ดราม่าเข้มๆแบบนันสต๊อป ... ที่ไหนได้ พัง! พังไม่เป็นท่า นี่บอกเลยว่ารีวิวนี้ยินดีพลีชีพ เชื่อว่าจะพูดแทนใจหลายๆคนได้เหมือนกัน

ปัญหาแรกสุดของหนังก็คือ 'น้ำท่วมทุ่ง' ด้วยเวลาฉายแน่นตึ้บ 2ชั่วโมง20นาทียาวไล่เลี่ยกันกับ Transformer ภาคล่าสุด (ซึ่งก็ยืดเยื้อโอ้เอ้ไม่แพ้กัน) ทั้งๆที่ตัวเนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรให้เล่ามากมายขนาดนั้น ผลที่ออกมาก็คือหนังมีอาการ "ถ่วงเวลา" เยอะมากโดยเฉพาะในช่วงต้นๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องส่วนของเด็กสาวผู้เป็นใบ้, วานรสายตลกคาเฟ่ และความทำตัวเป็นหนังโร้ดทริปขี่ม้าเที่ยวแบบงงๆราวกับลืมไปแล้วว่า เฮ้ย! นี่เอ็งถ่ายมาถึงภาคจบแล้วนะ อย่าทำตัวเป็นหนังเปิดไตรภาคสิ เข้าเรื่อง-เข้าบทสรุปกันได้แล้ว!

สิ่งแรกที่ไม่ชอบก็คือการที่หนัง 'ชุ่ย' กับการใช้คำว่า War มาหลอกล่อคนดูมาก คือกลายเป็นว่าหนังสองชั่วโมงกว่าแทบไม่มีฉากแอคชั่นดีๆสเกลใหญ่ๆเลย อย่างมากก็เป็นการปะทะประปรายนิดหน่อยที่เล็กจ้อยจนแทบสังเกตไม่ออก กระทั่งฉากบู๊ที่ใหญ่ที่สุดก็ดันเป็นแค่ "ซีซาร์" ตัวเดียวบู๊ระห่ำแบบ one man show มากกว่า (แถมก็มีจิ๊ดเดียวไม่กี่ฉาก) คือถ้าใครตั้งใจไปดูอภิมหาสงครามตัดสินชะตาเผ่าพันธุ์นี่ขอให้เลี้ยวกลับบ้านยังทันเลย

เรื่องความสมจริงนี่ก็ชวนให้กุมขมับ ค่ายทหารที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนากลับมีเด็กตัวโข่งๆเดินไปสำรวจหน้ากรงนักโทษอันดับหนึ่งได้ชิวๆเลย แถมไม่ได้แอบด้วยนะ คือเดินไปเดินมาได้ชิวมาก จนกระทั่งผกก.เห็นว่าคุยกันพอแล้ว ถึงค่อยให้ทหารฝั่งนู้นเดินมาเช็ก -- หรือจะเป็นฉากที่ซีซาร์ขี่ม้า 3 ตัวไล่ขบวนรถของทหารไปในระยะ 'เผาขน' ฮัลโหลลลล นี่ม้ากับลิงวิ่งตามหลังอยู่ ใครก็ได้ช่วยที ความแนบเนียนอยู่หนใด นี่ตั้งใจจะทำหนังซีเรียสจริงรึเปล่า

อีกส่วนที่แย่ก็คืออะไรดลใจให้ผู้กำกับใส่ความแคชชวล--ความขำๆเข้ามาในช่วงฉากที่ซีเรียสแบบนั้นได้ อย่างเช่นฉากหลบหนีในคุกนั้นก็ถูกนำเสนอออกมาในลักษณะ 'หนังตลก' มากๆ ทั้งซาวแทร็กทั้งภาพมันไปในทางเดียวกันหมดเลย (นึกว่าดูทอมแอนด์เจอรี่) หรือกระทั่งบทของ Bad Ape ที่ใส่เข้ามาในบทตัวโจ๊กได้เกินเลยมาก ไม่รู้จะเอาฮาไปไหน คือถ้ามันเป็นหนังภาคแรกเราก็จะไม่รู้สึกว่ามันแย่อะไรหรอก แต่ในเมื่อรู้ตัวอยู่แล้วว่านี่เป็นหนังปิดไตรภาค prequel มันก็ควรจะมีความจริงจังมากกว่านี้รึเปล่า ทั้งการที่เสียเวลาไปกับฉากเดินทางและบทสนทนาที่ไม่มีความสำคัญ มันเลยทำให้หนังมันมีความยาวเกินความจำเป็นขนาดที่ว่าต่อให้ตัดไปซักครึ่งชั่วโมงหนังก็ยังออกมาเป็นแบบนี้ได้อยู่ดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แล้วที่เลวร้ายสุดคือในตอนจบ คือในภาคนี้ฝั่งมนุษย์มันแข็งแกร่งมากแล้ว ทั้งเทคโนโลยีมันต่างกันมากเกินที่วานรจะสู้รบได้อย่างสูสี และจำนวนก็ไม่แพ้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แล้วจะทำยังไงดีน้าให้วานรมีโอกาสชนะได้ ... เอาแบบนี้ละกัน!! สะดวกดี ล้างให้หมดกระดาน จะได้ต่อไปภาค prequel แบบไม่ต้องคิดเยอะ ลวกๆไปเลย?

อย่างเรื่องซาวน์แทร็กนี่ยิงพังใหญ่เลย โดยเฉพาะฉากพ่อลูกเจอหน้ากันในกรงนี่คือพังมาก เสียงฮาร์ปนี่ดังเด่นขึ้นมาประดุจดูหนังเจ้าหญิงดิสนีย์อยู่ และนี่ไม่ใช่แค่ซาวแทร็กอันเดียวที่มีปัญหาแต่ฉากอื่นๆก็เช่นกัน เรารู้สึกว่ามันไม่มีเซนส์เลย คือเทียบกับภาคที่แล้วเหมือนหน้ามือเป็นหลังมือ อะไรที่เคยดีก็โละทิ้งหมด มาจับทางแบบที่มันตื้นเขินขึ้นต้องการอะไรกัน

สิ่งเดียวที่ชอบก็คือ เนื้อเรื่องการพยายาม 'เปิดตัว' โรคระบาดขั้นรุนแรงชนิดหนึ่งขึ้นมาเพื่อเป็นจุดแตกหักระหว่างสองเผ่าพันธุ์--ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นวิธีการที่ดีนะ คือมันทำให้เราเห็นว่าทั้งสองฝ่ายจนตรอกขนาดไหนและสงครามคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ การรบราฆ่าฟันของทั้งฝ่ายดู 'ชอบธรรม' ขึ้นมาเพื่อการอยู่รอดของตนเอง และส่งผลให้ตัวละครร้ายมันดูไม่ evil จ๋าจนไม่เป็นธรรมชาติด้วย ก็ต้องชื่นชมบารมีของ วูดดี้ ฮาร์เรลสัน ในฐานะผู้พันจอมเหี้ยมได้อย่างแนบเนียน  ... ส่วนเนื้อเรื่องของ Bad Ape กับ โนว่านั่นตัดๆไปได้ก็ดี ใครอาจจะบอกว่ามันเป็นการ tribute ให้กับ Planet of the Ape ภาคออริจินอลก็ตาม แต่มันก็ไม่ควรมาป่วนให้หนังเสียจุดยืนขนาดนี้


คือเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องมีคอมเม้นต์จำพวกที่ว่า "ดูหนังจะจับผิดอะไรมาก จะให้มันสมจริงทุกจุดได้ยังไง" ... ก็ต้องขอตอบว่าก็หนังมันวาดตัวเองให้เป็นหนัง "จริงจัง" อ่ะครับ คนดูอย่างเราก็เลยคาดหวังว่าจะได้อะไรที่มันตึงเครียด ที่มันซีเรียสกับการอยู่รอดของวานรจริงๆ ถ้าไม่งั้นก็แปะหัวคอมเมดี้ไว้ตั้งแต่แรกก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เราจะได้เข้าใจว่าไปดูหนังโจ๊กที่มีลิงเป็นตัวประกอบเฉยๆ อะไรงี้
ถ้าให้แนะนำก็คือไหนๆก็ดูมาถึงภาคสามแล้วก็ทนๆดูไปเถอะ มันก็มีดีบ้างแย่บ้างปนกันไป แค่มันสอบตกในฐานะหนังภาคจบสำหรับผู้เขียนเฉยๆ คิดซะว่าจบแล้วจบไปเลยไม่มีอะไรต้องจำ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่