ขอแชร์ประสบการณ์การจ่ายยา และการคุยกับเภสัชกร ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อให้เกิดความระมัดระวังมากขึ้นค่ะ

เรื่องยาวหน่อยนะคะ แต่อยากแชร์ให้ได้อ่านค่ะ

เนื่องจากเมื่อคืน (13 กรกฎาคม) เราดันยกของหนักเลยเกิดอาการเจ็บหน้าอกฝั่งขวา และหายใจไม่สะดวก นั่งซักพักก็ยังไม่หายเลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลที่ทำประกันสังคมเอาไว้ เพราะว่ามันใกล้บ้านที่สุด

ไปถึงก็ได้พบคุณหมอ เล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็ไปเอ็กซ์เรย์ปอด และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ผลปรากฎว่าปกติหมดทุกอย่าง คุณหมอเลยวินิจฉัยว่าอาจเป็นเพราะกระดูกซี่โครงอักเสบ คุณหมอก็จ่ายยาให้และให้ทำนัดเพื่อ follow up ต่อไป

ประเด็นมันอยู่ตอนรับไปยาค่ะ

พอเภสัชกรเรียกชื่อเราให้ไปรับยา ขอเรียกเค้าว่าพี่แล้วกันนะคะ เพราะว่าเค้าก็ดูมีอายุหน่อย พี่เค้าก็ถามชื่อเรา เราก็ตอบไปทั้งชื่อและนามสกุล พี่เค้าก็หยิบยามา 2 ซอง ซองที่ 1. คือ นอร์จิสิค อันนี้เราเข้าใจได้ เพราะหมอเคยจ่ายมาแล้ว แต่ไอ้ซองที่ 2 นี่แหละคะที่มีปัญหา พี่เค้าก็หยิบซองที่ 2 มา อธิบายว่าถ้าเกิดอาการเจ็บหน้าอกอีก ให้อมยานี้ 1 เม็ด อมใต้ลิ้น (ตอนนั้นเราก็เอ๊ะใจแล้วว่า เฮ้ย! นี่มันเป็นยาอมใต้ลิ้นของคนเป็นโรคหัวใจรึเปล่าว่ะ เราเป็นโรคหัวใจเหรอ แต่หมอบอกว่าเราปกตินะ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้พูดแทรกอะไรออกไปรอให้พี่เค้าพูดจบก่อน) พี่เค้าก็อธิบายไปเรื่อย ๆ ว่าอมทีละเม็ด ถ้า 5 นาทีไม่ดีขึ้นให้อมได้อีก 1 เม็ด แต่ไม่เกิน 3 เม็ด พอถึงตรงนี้ เราก็ได้เวลาถามกลับ การสนทนาก็เกิดขึ้น

เรา : ยาตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่ใช้คนเป็นโรคหัวใจป่ะคะ อมใต้ลิ้น

เภสัชกร : คุณรู้ได้ไงว่าเป็นรูปหัวใจ ยังไม่ได้ฉีกยาออกมาดูเลย

เรา  : ไม่ใช่รูปหัวใจค่ะ โรคหัวใจค่ะ (เริ่มเสียงดังขึ้น เพราะคิดว่าพี่เค้าคงไม่ค่อยได้ยิน)

เภสัชกร : ไม่ต้องห่วง ยามันเม็ดเล็กมาก (ทำมือว่ามันเล็ก)

เรา : ไม่ใช่ค่ะ แล้วคือมันใช่ยาตัวเดียวกับที่ใช้กับคนเป็นโรคหัวใจป่ะคะ (เริ่มหงุดหงิด ถามอย่าง ตอบอย่าง)

เภสัชกร : ยาตัวนี้เป็นตัวที่โรงพยาบาลเราใช้เยอะที่สุด คุณไม่ต้องห่วง เม็ดมันเล็กติ๊ดเดียว

เรา  : ไม่ใช่ค่ะ คือ อยากรู้ว่า มันเป็นยาสำหรับคนเป็นโรคหัวใจรึเปล่า เพราะหมอบอกเราว่าไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แล้วทำไมถึงจ่ายยาตัวนี้ ถ้ามันเป็นตัวเดียวกับคนที่เป็นโรคหัวใจใช้ (เสียงเริ่มดังขึ้น ตอนนั้นเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นและค่ะ เพราะพี่เค้าไม่ได้ตอบคำถามที่เราอยากรู้เลย พี่เค้าแค่อยากจะพูดอะไรก็พูด

เภสัชกร  : คงจะคนละตัวกันมั้งคะ เพราะตัวนี้เราจ่ายให้ผู้ป่วยเยอะที่สุด

เรา : ใช้คำว่า มั้ง เหรอคะ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่ามันคือตัวยาที่ออกฤทธิ์แบบเดียวกัน

เภสัชกร  : คุณไม่ต้องกังวล เม็ดมันเล็กติ๊ดเดียว (ยังคงตอบแบบเดิม)

ตอนที่เราสนทนาทกับพี่เภสัชคนนี้ ข้าง ๆ มีเภสัชกรอีกคนนึง และมีคนที่อยู่ข้างหลังห้องจ่ายยาอีก เราคิดว่าเภสัชคนข้าง ๆ ซึ่งดูเด็กกว่าต้องได้ยินที่เราถามแน่ ๆ แต่ก็ไม่มีใครจะช่วยเข้ามาตอบอะไรทั้งสิ้น อาจคิดว่าเป็นหน้าที่ของพี่เค้ามั้งค่ะ เราเริ่ม ไม่โอเคและ ไม่อยากคุยต่อ อยากกลับบ้าน เลยรับยาและไปรับใบนัดและกลับบ้าน ตอนรับยาก็ดูหน้าซองแล้วว่าเป็นชื่อเราทั้ง 2 ซอง

พอกลับมาถึง ก็ search google ตามชื่อยาที่แปะไว้หน้าซองชื่อยา Isosorbide ปรากฎว่ามันก็ยาอมใต้ลิ้นสำหรับคนเป็นโรคหัวใจจริง ๆ ด้วยค่ะ เราก็เลยโทรกลับไปที่โรงพยาบาล ขอคุยกับคุณหมอว่า ตกลงยังไงกันแน่ ก็คุณหมอบอกไม่ได้เป็นโรคหัวใจ และทำไมกลับจ่ายยาโรคหัวใจมา หรือยังไง

พอได้คุยกับคุณหมอ คุณหมอบอกว่า ผมไม่ได้จ่าย Isosorbide นะ ผมจ่าย Tramadol เราก็ตกใจเลยค่ะ บอกคุณหมอว่า เราได้ถามเภสัชกรแล้วนะว่ามันเป็นยาอมใต้ลิ้นโรคหัวใจรึเปล่า ทำไมเป็นแบบนี้ คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวให้คุยกับเภสัช

มีคนรับเรื่องไว้และขอเบอร์โทรเรา ซักพักก็โทรกลับมา เป็นเภสัชอีกคนนะคะ ไม่ใช่คนเดียวกับที่จ่ายยาเรา เค้าก็บอกว่าพอดีลายมือคุณหมอมันอ่านออกมาได้ 2 อย่าง เป็น Isosorbide ก็ได้ เป็น Tramadol ก็ได้ แล้วเภสัชเห็นว่าเรามีอาการเจ็บหน้าอก เลยจ่าย Isosorbide มาให้ เราบอกมันไม่ถูกต้องนะคะ คือถ้าคุณไม่มั่นใจที่คุณหมอเขียน คุณควรจะเดินไปถามหมอไหมว่าคุณหมอจ่ายยาอะไร ไม่ใช่มานึกเอาเองแบบนี้

นี่มันเป็นเรื่อง ความเป็น ความตายของผู้ป่วยเลยนะคะ หน้าซองก็ชื่อเรา แต่ยาดันไม่ใช้ที่คุณหมอจ่าย คืออะไร คือตอนนั้นเราโมโหมากเลยค่ะกับคำตอบแบบนี้ มันสับเพร่าสุด ๆ แต่เภสัชคนนี้ก็บอกว่า มันไม่ถูกต้องที่ทำแบบนี้ เราก็เล่าเรื่องให้ฟังอีกว่า เราพยายามถามยากับเภสัชคนนั้นแล้ว เค้าก็ตอบแบบข้างบน เราไม่ใช่ไม่ถามนะ แล้วสรุปก็คือจ่ายยาผิดจริง ๆ จะทำยังไงดีค่ะ เพราะตอนนี้ก็กลับถึงบ้านแล้ว สรุป เภสัชคนที่รับเรื่องไว้ก็ขอโทษเรา และก็จะเอายามาให้เราที่บ้าน แต่เราให้มาตอนเช้าจะดีกว่า เช้ามาก็มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมา 2 คน มาคืนยาและมาขอโทษเราถึงบ้านเลยค่ะ เค้ารับปากว่าจะทำเรื่องนี้แจ้งไปทางผู้บริหารโรงพยาบาลเพื่อปรับปรุงกันต่อไป และต้องขอบคุณเรามาก ๆ ที่เป็นคนรอบคอบมากๆ  แล้วเราก็พูดย้ำอีกว่า เรื่องนี้สำคัญนะคะคุณต้องเข้าใจผู้ป่วยนะคะ

อยากจะบอกว่า เรารับไม่ได้กับการจ่ายผิดและการตอบคำถามของเภสัชกรคนนั้นมาก ๆ เรื่องยาเป็นเรื่องสำคัญ จ่ายยาโดยใช้ความรู้สึกตัวเองมันไม่ถูก แล้วถ้าเกิดยาสลับซองกับผู้ป่วยคนอื่น หรือยานั้นเกิดทำให้แพ้ขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ

เลยอยากมาแชร์เรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านค่ะ ว่าการรับยานั้นสำคัญมาก นอกจากดูชื่อ นามสกุล ให้ถูก้องแล้ว ต้องฟังให้เข้าใจ มีอะไรก็ถาม เภสัชเป็นคนที่รู้จักยามากกว่าหมออีก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้สำคัญมาก ๆ ค่ะ

ถ้าถามว่า ทำไมตอนนั้น เราไม่เดินไปถามคุณหมอซะจะได้หมดเรื่อง เพราะเราไม่ได้คิดว่าเภสัชกรจะจ่ายยาผิดแบบคิดเองแบบนี้ และเราก็เหนื่อยอยากกลับบ้านมาก ๆ ก็เลยไม่ได้รอถามคุณหมออีกที
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่