เส้นทางสู่ออสการ์ของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ




ผมรู้จักลีโอครั้งแรกจากหนังเรื่อง This Boy’s Life  ผมว่าเขาแสดงหนังเรื่องนี้ได้ดีมากถึงแม้จะต้องประชันกับดารามากฝีมืออย่าง โรเบิร์ต เดอ นิโร This Boy’s Life (1993) เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่จำต้องเดินทางข้ามประเทศกับแม่เพื่อตามหาอนาคตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่เมื่อแม่ของเขาตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้ง ทำให้เขาต้องเจอการกดขี่และกดดันจากพ่อเลี้ยงในแบบที่เขาเองก็คิดไม่ถึงมาก่อน ลีโอสามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างดีมาก ไม่ขาดไม่เกิน จนทำให้เป็นที่ถูกใจของนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ และทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น




ผลงานเรื่องต่อมา What’s Eating Gilbert Grape (1993) ยิ่งตอกย้ำความสำเร็จให้กับลีโอมากขึ้นไปอีก เรื่องนี้เขารับบทเป็น ตัวละครที่มีสติไม่ค่อยสมประกอบ เขาได้รับการดูแลอย่างดีจากกิลเบิร์ต ที่แสดงโดยจอห์นนี่ เดปป์ พี่น้องคู่นี้ก็ดูเหมือนกับว่าจะอยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมประกอบสักเท่าไหร่ เพราะครอบครัวของเขาขาดเสาหลักทำให้ผู้ที่เป็นแม่มีจิตใจที่ย่ำแย่และท้อแท้ ออกจะสิ้นหวังจนมีอาการซึมเศร้าด้วยซ้ำไป พี่คนโตก็หนีออกไปแล้ว ทำให้พี่น้องที่เหลืออยู่ต้องประคับประคองครอบครัวของเขาเองให้รอดผ่านไปให้ได้

ผมชอบบทละครตัวนี้ของลีโอมากๆเลยนะครับ เขาแสดงได้ดีมาก ถึงแม้เขาจะดูเหมือนสติไม่ค่อยสมประกอบ แต่เราก็ดูออกว่าเขามีจิตใจที่งดงาม การแสดงของลีโอเข้าตากรรมการจนทำให้เขาได้ชิงออสการ์สาขาสมทบชายเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งทำให้ผมดีใจมากครับ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องแพ้ให้กับ ทอมมี่ ลี โจนส์ จากภาพยนตร์เรื่อง The Fugitive









อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าผลงานภาพยนตร์เรื่อง This Boy’s Life (1993) และ What’s Eating Gilbert Grape (1993) เป็นผลงานแจ้งเกิดของลีโอที่ดีมากๆ ผมมารู้ที่หลังว่า This Boy’s Life (1993) ไม่ใช่หนังเรื่องแรกของลีโอ ก่อนหน้านี้เขาแสดงหนังมาแล้ว 2 เรื่อง แต่จนบัดนี้ผมก็ยังไม่ได้ดูหนังสองเรื่องนั้นเลยครับ ผมตกหลุมรักกับหนังสองเรื่องนี้ไปแล้ว ทั้ง This Boy’s Life (1993) และ What’s Eating Gilbert Grape (1993) ต่างเป็นหนังที่ลีโอแสดงได้ดีและตัวหนังก็ยังมีคุณภาพดีและน่าติดตามอีกด้วย ทำให้ผลงานช่วงแรกของลีโอค่อนข้างสวยหรูและน่าติดตามอย่างมากว่าเขาจะมีผลงานอะไรต่อไปในอนาคต หลายคนคิดว่ารางวัลออสการ์คงอยู่ใกล้แค่เอื้อมสำหรับลีโอ










หนังเรื่องต่อมาที่ผมได้ดูลีโอแสดงคือ The Quick and the Dead (1994) ถามว่ารู้สึกดีไหม ก็โอเคนะที่ได้เห็นลีโอในบทที่แปลกออกไป จากหนุ่มที่มีสติไม่ค่อยสมประกอบจนได้มาเป็นหนุ่มคาวบอยตะวันตก แต่ก็ดูว่าเขาไม่ค่อยโดดเด่นสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงแสดงได้ดีเหมือนเดิม ผลงานต่อมาที่ได้ดูคือ The Basketball Diaries (1995) เรื่องนี้รู้สึกว่าเขาจะรับบทเป็นจิม แครอล  เขากับเพื่อนอีกสามคนต่างเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียน พวกเขาทุกคนต่างมีอนาคตที่ดีรออยู่ แต่เพราะยาเสพติด ทำให้อนาคตของทุกคนต้องดับลง เรื่องนี้ลีโอก็ยังคงแสดงได้ดีเหมือนเดิม เพียงแต่บทอาจจะยังไม่ส่งมาก











ผลงานเรื่องต่อมาที่ได้ดูคือ Total Eclipse (1995) เป็นงานที่ตกใจเหมือนกันครับ ลีโอรับบทเป็นนักกวีหนุ่มชาวฝรั่งเศสผู้หยิ่งทะนงและดันไปมีความสัมพันธ์กับ Paul Verlaine (David Thewlis) อาจารย์ของเขา ตอนดูหนังเรื่องนี้ผมรู้สึกงงเล็กน้อยที่ลีโอตัดสินใจรับบทลักษณะนี้ในช่วงเวลาแบบนี้ ถ้าเราพิจารณาดูผลงานหลังจาก This Boy’s Life (1993) และ What’s Eating Gilbert Grape (1993) ผมอาจจะรู้สึกไปเองนะครับว่ามันดูอาร์ตมากขึ้นเรื่อยๆ จาก The Quick and the Dead (1994) มาเป็น The Basketball Diaries (1995) จนมาถึง Total Eclipse (1995) ถ้าผลงานหลังจากนี้จะอาร์ตและดาร์คมากขึ้นล่ะ มันจะเป็นยังไงต่อไป ผมจึงรออย่างใจจดใจจ่อที่จะติดตามผลงานของเขาต่อไป








ผมนึกไม่ถึงเลยนะครับว่าผลงานเรื่องต่อจาก Total Eclipse (1995)จะเป็นเรื่อง Romeo + Juliet (1996) เพราะก่อนหน้านั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยว่าเขาจะมาแสดงหนังทำนองนี้ เมื่อ Romeo + Juliet (1996) ปรากฏสู่สายตาผู้ชม ลีโอก็กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นทันที อาจจะเรียกได้ว่าเป็นขวัญใจสาวๆด้วยซ้ำไป และนั่นทำให้ผมต้องอกหักเป็นครั้งแรก เพราะแฟนที่ผมพาไปดู Romeo + Juliet (1996) ในตอนนั้นบอกว่าทำไมหุ่นผมถึงไม่เหมือนลีโอเลย อ้าว ไหงเป็นงั้น ตอนแรกนึกว่าล้อเล่น ปรากฏเป็นการบอกลาของจริง แต่ถึงผมจะอกหักครั้งแรก แต่ผมก็ไม่โกรธเขาหรอกนะ นาทีนี้ต้องยกให้เขาครับ พ่อโรมิโอ







ไม่นานนักลีโอก็กลับมากระแทกใจสาวๆไปทั่วโลกกับหนังรักโรแมนติกอย่างไททานิคในปี 1997 ตอนนี้แหละที่เรียกว่าเขากลายเป็นขวัญใจของสาวๆทั่วโลกเลย ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นแค่สามีแห่งชาติ คือเรียกได้เลยว่าเป็นสามีของโลก ซึ่งพี่ชายและแฟนคลับอย่างผมก็ต้องยินดีกับเขาไปด้วยที่น้องชายตัวเองเนื้อหอมได้ขนาดนี้ ตอนนั้นเขาพลาดการเข้าชิงออสการ์ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ผมเองพยายามจะเดาใจน้องชายคนนี้ว่าหลังจากได้ครองใจสาวๆไปทั่วโลก เจ้าน้องคนนี้น่าจะกลับไปหาหนังอย่าง Total Eclipse (1995) อีกแน่ เพราะรู้สึกว่าลึกๆแล้ว พ่อหนุ่มคนนี้มีอารมณ์อาร์ตๆดาร์คๆอยู่ภายใน







แล้วก็เป็นไปตามคาด น้องลีโอของผมได้ไปแสดงหนังเรื่อง The Man in the Iron Mask ,The Beach และภาพยนตร์ของ วู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง Celebrity ถึงอารมณ์ของหนังทั้งสามเรื่องนี้จะไม่ได้เป็นอารมณ์เดียวกับสามเรื่องนั้นคือ The Quick and the Dead (1994),The Basketball Diaries (1995) และ Total Eclipse (1995) แต่เขาก็ทำให้ผมรู้สึกว่าถึงแม้เขาจะยังคงพยายามรักษาคุณภาพการแสดงยังไงก็ตาม บทก็ยังไม่ส่งไปถึงเวทีออสการ์ แน่นอนว่าลีโอกำลังจะฉีกแนวตัวเองออกจากการเป็นขวัญใจสาวๆไปสู่การเป็นนักแสดงชายมากฝีมือ แน่นอนว่าการเลือกหนังช่วงหลังไททานิคคงจะยังไม่เป๊ะเพราะมันต้องใช้เวลาในการตกผลึกมากพอสมควร ตอนนั้นผมคาดว่าแต่หลังจากนี้ ลีโอและทีมงานของเขาน่าจะกำหนดเส้นทางของตัวเองที่ละเลือกเดินเข้าสู่ถนนที่จะนำไปสู่ออสการได้ไม่ยากเพราะทั้งเขาและทีมงานส่วนตัวต่างมีประสบการณ์ล้นเหลือที่จะนำพาตัวเองสู่เส้นทางของออสการ์






หลังจากนั้นลีโอพยายามมุ่งตรงสู้เส้นทางออสการ์ด้วยหนังคุณภาพหลายเรื่องและผู้กำกับมือดีหลายคนจนทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายจาก The Aviator ในปี 2005, Blood Diamond ในปี 2007 และ The Wolf of Wall Street ในปี 2014





จนท้ายที่สุด เขาสามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง The Revenant
หลังจากรอคอยมากว่า 22 ปี ซึ่งถือว่าคุ้มค่าการรอคอยมากๆเลยครับ
เราจะเห็นได้ว่าประสบการณ์สอนให้เขารู้ว่าควรเลือกงานอย่างไรและควรทุ่มเทให้กับการแสดงในมิติใดบ้าง
เมื่อประสบการณ์สอนเขามากถึงขนาดนี้ ออสการ์ก็พร้อมที่จะตบรางวัลให้เขาครับ.


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่