.
Liverpool คือหนึ่งทีมที่เคยมีผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าชั้นยอดมากมาย ถ้านับเฉพาะช่วงฟุตบอลสมัยใหม่ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก ฟาวเลอร์ โอเว่น ตอเรส หรือว่าซัวเรซ แน่ๆ ถ้าไม่ทะลึ่งออกเสียงเรียกชื่อเป็นสำเนียงเยอรมัน รายชื่อนักเตะเหล่านี้ คือ
กองหน้าชั้นแนวหน้าของโลกในช่วงเวลาที่พีคที่สุดของตนเอง ในสีเสื้อแดงเพลิงของทีม Red Machine
แต่ก็มีความจริงที่ต้องยอมรับว่า แม้ในยามที่ลิเวอร์พูลมียอดศูนย์หน้าดังกล่าวอยู่ภายในทีม พวกเขาก็ไม่เคยได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของฟุตบอลลีคเลย ซึ่งสาเหตุหลักๆก็คือ กำลังสนับสนุนภายในทีมในตอนนั้นไม่ดีพอ ที่จะร่วมกันพาทีมไปสู่จุดหมายที่ทุกคนคาดหวัง จุดสุดท้าย จนในที่สุดบรรดาศูนย์หน้าตัวเก่งที่มีก็เลือกที่จะจากไป เพื่อไล่ตามความสำเร็จที่ตนอยากได้ในสีเสื้อทีมอื่น ที่พร้อมมากกว่าในการสนับสนุนทุกๆด้านเพื่อไล่ตามความสำเร็จ
นั้นเป็นความจริงที่น่าเศร้า และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆราวกับเป็นคำสาปที่แก้ไม่ได้ของทีม
ตอนนี้นับเวลาได้เกือบ 3 ปีเต็มแล้วขาดไปเพียงไม่กี่วัน ที่ยอดศูนย์รายสุดท้ายอย่าง หลุย ซัวเรซ ก้าวออกจากทีมไป เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 และลิเวอร์พูลก็ได้แต่ลองผิดลองถูกกับการหาคนมาทำหน้าที่แทน King Louis ที่บทสรุปคือเสียเวลาและเงินไปไม่น้อย แต่ก็ยังหาศูนย์หน้าที่ไว้วางใจได้ไม่เจอ
คล้ายกับเชื้อสายหรือทายาทยอดกองหน้าของทีมนั้น....ได้สิ้นสุดลงแล้ว
มองดู ณ ปัจจุบัน ผู้จัดการทีมอย่างคล็อปนั้น แม้จะปลุกปั้นให้ทีมกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ด้วยเกมส์รุกที่สุดแสนจะ “บ้าคลั่ง” แต่ทว่า JK ก็ยังไร้เงายอดกองหน้าทำหน้าที่ล่าตาข่ายให้กับเขา ถึงตอนนี้มีแค่ โดมินิค โซลันเก้ เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นกองหน้าแท้ๆและเขาเป็นคนซื้อมาร่วมทีมด้วยตัวเอง ส่วนกองหน้าคนอื่นๆในทีมนั้น เป็นผู้จัดการคนเดิมอย่าง BR จัดหามา ไม่ว่าจะเป็น สเตอร์ริดจ์ โอริกี้ อิงค์ แม้กระทั้งเฟอร์มิโน่ ก็อยู่ในข่ายนี้ทั้งสิ้น
ว่ากันตามตรงก็ไม่แปลก ที่คล้อปจะเลือกทำเช่นนี้ เพราะด้วยบุคลิกลักษณะที่ชอบทำทีมแบบปั้นผู้เล่นมากกว่าซื้อใหม่ ระยะเวลาเกือบปีครึ่งที่เขาก้าวเข้ามาคุมทีม จึงออกแนวปรับปรุงของเก่าหรือนักเตะเดิมให้มีประสิทธิภาพพอสำหรับแผนการเล่นใหม่ ที่เขาใส่ระบบ Gegenpressing เข้ามาเป็นแกนขับเคลื่อนการเล่นของทีม
และหนึ่งในนักเตะเดิมอย่าง
โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ ก็ตอบสนองความต้องการของเจ้านายใหม่ ในบทบาทการเล่นแบบ False 9 ที่ทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองและเล่นร่วมกับทีมมากกว่าจะยืนค้ำประจำตำแหน่งเป็นหน้าเป้าทำหน้าที่ตัวจบสกอร์อย่างเดียว
ผลงาน 10 ประตู 7 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2016/2017 ที่ผ่านมา อาจจะดูน้อยไปหน่อยสำหรับกองหน้าตัวความหวัง แต่หากเทียบกับผลงานฤดูกาลก่อนหน้านี้ 2015/2016 ก็จะเห็นว่ามีการพัฒนาอย่างมีนัยยะสำคัญ กับผลงาน 11 ประตู 1 แอสซิสต์
จะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมาเขาได้เริ่มเป็นกองหน้าประเภทตัวป้อนให้เพื่อนมากกว่ากองหน้าตัวเป้า
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่นด้วย เฟอร์มิโน่คนนี้ มีประโยชน์อย่างยิ่งกับเกมส์รุกสไตล์ที่คล้อปต้องการ อย่างการไล่เพลสซิ่งสูง เขาก็เป็นนักเตะที่ขยันทำหน้าที่ตรงนี้มากที่สุดในแนวรุก 3 คน ขยับขึ้นลงตามเกมส์รุกและเกมส์รับตลอดเวลา จนมีสถิติที่น่าเหลือเชื่อเมื่อเขาวิ่งรวมระยะทาง 379 km ในเกมส์พรีเมียร์ลีคปีก่อน
และเฟอร์มิโน่ถูกจัดอันดับให้เป็นนักเตะที่วิ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของลีค ทั้งๆที่เล่นกองหน้า
ดังนั้นการที่ Liverpool ไม่มีข่าวจะหาผู้เล่นกองหน้าแบบพร้อมใช้งาน ที่ไม่ต้องรอโตแบบโซลันเก้เข้ามาร่วมทีม ผมจึงไม่ค่อยแปลกใจเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่า ความไว้วางใจของนายใหญ่อย่างคล้อปที่มีต่อเฟอร์มิโน่นั้นมีมากแค่ไหน และยิ่งมั่นใจไปอีกเมื่อการมอบหมายเสื้อหมายเลข 9 ให้เฟอร์มิโน่สวมใส่ นั้นแสดงว่าอนาคตทีมที่คล้อปกำลังสร้างขึ้นนั้น เฟอร์มิโน่ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยต่อยอดไปให้ถึงฝันให้ได้
ผมสารภาพตรงๆว่า ตามความคิดของผม ก็ยังมีศูนย์หน้าอีกมากมายที่มีความเฉียบคมการทำประตูมากกว่าเฟอร์มิโน่ และมีศูนย์หน้ารายชื่ออีกเป็นโหลที่จัดว่าเป็นศูนย์หน้าชั้นแนวหน้าของโลกยืนขวางกั้น เฟอร์มิโน่ให้ห่างไกลจากคำๆนั้นสุดกู่ แต่ถึงรู้เช่นนั้น ผมก็ยังเชื่อใจกับกองหน้าเบอร์ 9 คนใหม่แต่หน้าเก่าของทีมรายนี้ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เขามีสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้แน่นอน แม้จำนวนประตูที่เขาทำได้จะดูน้อยไปก็ตาม
เพราะ Liverrpool ในยุคของเจอร์เก้น คล้อป ไม่ใช่ทีมแบบ One For All ที่ต้องมีผู้เล่นซุปเปอร์สตาร์มาแบกทีมไว้คนเดียว
แต่เป็นทีมแบบ All For One ที่ผู้เล่นทุกคนจะต้องทุ่มเททำงานหนักด้วยกัน เพื่อไปสู่ความสำเร็จ ถึงเฟอร์มิโน่ จะยิงไม่ได้ ก็ยังมี คูติณโญ่ มาเน่ ลัลลาน่า ไวนาดุม เฮนเดอร์สัน หรือชาน เข้ามาช่วยกันทำหน้าที่ตรงนี้ ทดแทนด้วยการเล่นแบบทีมเวิร์ค และนั่นคือนิยามความหมายของคำว่า “ทีม”
แหม...ช่างเป็นข้อเขียนที่จบได้สวยงามท่ามกลางทุ่งดอกลาเวนเดอร์เสียจริง 555+
ก็อ่านกันไปเพลินๆนะครับ กับวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่ผมพยายามเขียนหรือหาเรื่องราวในทีมที่ผมรักและเชียร์มาตั้งกะทู้ ก็เพราะว่าอยากให้บรรยากาศการสนทนาแลกเปลี่ยนกันในห้องพรีเมียร์ มีเรื่องราวของฟุตบอลจริงๆบ้าง แม้บางครั้งอาจจะเป็นมุมมองที่มาจากพื้นฐานการเชียร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้การวิจารณ์ไม่ครบถ้วนรอบด้านทุกแง่มุม ไม่เกาะกุมประเด็นสำคัญๆที่ควรวิเคราะห์วิจารณ์ได้ จากการนำเสนอข้อมูลแบบไม่ครบถ้วนทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งก็อย่างที่บอกนั้นแหละครับ เพราะคำว่า “เชียร์” คำเดียวนั้นแหละครับ ที่ยังทำให้ผมเป็นแฟนบอลธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนกับทุกคนในที่แห่งนี้
*แก้ไขคำผิด
Liverpool เบอร์ 9 คนใหม่กับศูนย์หน้าคนเดิม โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ คุณค่าที่มีมากกว่าการยิงประตู
Liverpool คือหนึ่งทีมที่เคยมีผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าชั้นยอดมากมาย ถ้านับเฉพาะช่วงฟุตบอลสมัยใหม่ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก ฟาวเลอร์ โอเว่น ตอเรส หรือว่าซัวเรซ แน่ๆ ถ้าไม่ทะลึ่งออกเสียงเรียกชื่อเป็นสำเนียงเยอรมัน รายชื่อนักเตะเหล่านี้ คือ กองหน้าชั้นแนวหน้าของโลกในช่วงเวลาที่พีคที่สุดของตนเอง ในสีเสื้อแดงเพลิงของทีม Red Machine
แต่ก็มีความจริงที่ต้องยอมรับว่า แม้ในยามที่ลิเวอร์พูลมียอดศูนย์หน้าดังกล่าวอยู่ภายในทีม พวกเขาก็ไม่เคยได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของฟุตบอลลีคเลย ซึ่งสาเหตุหลักๆก็คือ กำลังสนับสนุนภายในทีมในตอนนั้นไม่ดีพอ ที่จะร่วมกันพาทีมไปสู่จุดหมายที่ทุกคนคาดหวัง จุดสุดท้าย จนในที่สุดบรรดาศูนย์หน้าตัวเก่งที่มีก็เลือกที่จะจากไป เพื่อไล่ตามความสำเร็จที่ตนอยากได้ในสีเสื้อทีมอื่น ที่พร้อมมากกว่าในการสนับสนุนทุกๆด้านเพื่อไล่ตามความสำเร็จ
ตอนนี้นับเวลาได้เกือบ 3 ปีเต็มแล้วขาดไปเพียงไม่กี่วัน ที่ยอดศูนย์รายสุดท้ายอย่าง หลุย ซัวเรซ ก้าวออกจากทีมไป เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 และลิเวอร์พูลก็ได้แต่ลองผิดลองถูกกับการหาคนมาทำหน้าที่แทน King Louis ที่บทสรุปคือเสียเวลาและเงินไปไม่น้อย แต่ก็ยังหาศูนย์หน้าที่ไว้วางใจได้ไม่เจอ คล้ายกับเชื้อสายหรือทายาทยอดกองหน้าของทีมนั้น....ได้สิ้นสุดลงแล้ว
มองดู ณ ปัจจุบัน ผู้จัดการทีมอย่างคล็อปนั้น แม้จะปลุกปั้นให้ทีมกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ด้วยเกมส์รุกที่สุดแสนจะ “บ้าคลั่ง” แต่ทว่า JK ก็ยังไร้เงายอดกองหน้าทำหน้าที่ล่าตาข่ายให้กับเขา ถึงตอนนี้มีแค่ โดมินิค โซลันเก้ เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นกองหน้าแท้ๆและเขาเป็นคนซื้อมาร่วมทีมด้วยตัวเอง ส่วนกองหน้าคนอื่นๆในทีมนั้น เป็นผู้จัดการคนเดิมอย่าง BR จัดหามา ไม่ว่าจะเป็น สเตอร์ริดจ์ โอริกี้ อิงค์ แม้กระทั้งเฟอร์มิโน่ ก็อยู่ในข่ายนี้ทั้งสิ้น
ว่ากันตามตรงก็ไม่แปลก ที่คล้อปจะเลือกทำเช่นนี้ เพราะด้วยบุคลิกลักษณะที่ชอบทำทีมแบบปั้นผู้เล่นมากกว่าซื้อใหม่ ระยะเวลาเกือบปีครึ่งที่เขาก้าวเข้ามาคุมทีม จึงออกแนวปรับปรุงของเก่าหรือนักเตะเดิมให้มีประสิทธิภาพพอสำหรับแผนการเล่นใหม่ ที่เขาใส่ระบบ Gegenpressing เข้ามาเป็นแกนขับเคลื่อนการเล่นของทีม
และหนึ่งในนักเตะเดิมอย่าง โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ ก็ตอบสนองความต้องการของเจ้านายใหม่ ในบทบาทการเล่นแบบ False 9 ที่ทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองและเล่นร่วมกับทีมมากกว่าจะยืนค้ำประจำตำแหน่งเป็นหน้าเป้าทำหน้าที่ตัวจบสกอร์อย่างเดียว
ผลงาน 10 ประตู 7 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2016/2017 ที่ผ่านมา อาจจะดูน้อยไปหน่อยสำหรับกองหน้าตัวความหวัง แต่หากเทียบกับผลงานฤดูกาลก่อนหน้านี้ 2015/2016 ก็จะเห็นว่ามีการพัฒนาอย่างมีนัยยะสำคัญ กับผลงาน 11 ประตู 1 แอสซิสต์ จะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมาเขาได้เริ่มเป็นกองหน้าประเภทตัวป้อนให้เพื่อนมากกว่ากองหน้าตัวเป้า
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่นด้วย เฟอร์มิโน่คนนี้ มีประโยชน์อย่างยิ่งกับเกมส์รุกสไตล์ที่คล้อปต้องการ อย่างการไล่เพลสซิ่งสูง เขาก็เป็นนักเตะที่ขยันทำหน้าที่ตรงนี้มากที่สุดในแนวรุก 3 คน ขยับขึ้นลงตามเกมส์รุกและเกมส์รับตลอดเวลา จนมีสถิติที่น่าเหลือเชื่อเมื่อเขาวิ่งรวมระยะทาง 379 km ในเกมส์พรีเมียร์ลีคปีก่อน และเฟอร์มิโน่ถูกจัดอันดับให้เป็นนักเตะที่วิ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของลีค ทั้งๆที่เล่นกองหน้า
ดังนั้นการที่ Liverpool ไม่มีข่าวจะหาผู้เล่นกองหน้าแบบพร้อมใช้งาน ที่ไม่ต้องรอโตแบบโซลันเก้เข้ามาร่วมทีม ผมจึงไม่ค่อยแปลกใจเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่า ความไว้วางใจของนายใหญ่อย่างคล้อปที่มีต่อเฟอร์มิโน่นั้นมีมากแค่ไหน และยิ่งมั่นใจไปอีกเมื่อการมอบหมายเสื้อหมายเลข 9 ให้เฟอร์มิโน่สวมใส่ นั้นแสดงว่าอนาคตทีมที่คล้อปกำลังสร้างขึ้นนั้น เฟอร์มิโน่ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยต่อยอดไปให้ถึงฝันให้ได้
ผมสารภาพตรงๆว่า ตามความคิดของผม ก็ยังมีศูนย์หน้าอีกมากมายที่มีความเฉียบคมการทำประตูมากกว่าเฟอร์มิโน่ และมีศูนย์หน้ารายชื่ออีกเป็นโหลที่จัดว่าเป็นศูนย์หน้าชั้นแนวหน้าของโลกยืนขวางกั้น เฟอร์มิโน่ให้ห่างไกลจากคำๆนั้นสุดกู่ แต่ถึงรู้เช่นนั้น ผมก็ยังเชื่อใจกับกองหน้าเบอร์ 9 คนใหม่แต่หน้าเก่าของทีมรายนี้ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เขามีสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้แน่นอน แม้จำนวนประตูที่เขาทำได้จะดูน้อยไปก็ตาม
เพราะ Liverrpool ในยุคของเจอร์เก้น คล้อป ไม่ใช่ทีมแบบ One For All ที่ต้องมีผู้เล่นซุปเปอร์สตาร์มาแบกทีมไว้คนเดียว แต่เป็นทีมแบบ All For One ที่ผู้เล่นทุกคนจะต้องทุ่มเททำงานหนักด้วยกัน เพื่อไปสู่ความสำเร็จ ถึงเฟอร์มิโน่ จะยิงไม่ได้ ก็ยังมี คูติณโญ่ มาเน่ ลัลลาน่า ไวนาดุม เฮนเดอร์สัน หรือชาน เข้ามาช่วยกันทำหน้าที่ตรงนี้ ทดแทนด้วยการเล่นแบบทีมเวิร์ค และนั่นคือนิยามความหมายของคำว่า “ทีม”
มันก็เรื่องที่สวยงาม ตามแบบฉบับที่กีฬาประเภททีมควรเป็น จริงไหมครับ...?
แหม...ช่างเป็นข้อเขียนที่จบได้สวยงามท่ามกลางทุ่งดอกลาเวนเดอร์เสียจริง 555+
ก็อ่านกันไปเพลินๆนะครับ กับวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่ผมพยายามเขียนหรือหาเรื่องราวในทีมที่ผมรักและเชียร์มาตั้งกะทู้ ก็เพราะว่าอยากให้บรรยากาศการสนทนาแลกเปลี่ยนกันในห้องพรีเมียร์ มีเรื่องราวของฟุตบอลจริงๆบ้าง แม้บางครั้งอาจจะเป็นมุมมองที่มาจากพื้นฐานการเชียร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้การวิจารณ์ไม่ครบถ้วนรอบด้านทุกแง่มุม ไม่เกาะกุมประเด็นสำคัญๆที่ควรวิเคราะห์วิจารณ์ได้ จากการนำเสนอข้อมูลแบบไม่ครบถ้วนทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งก็อย่างที่บอกนั้นแหละครับ เพราะคำว่า “เชียร์” คำเดียวนั้นแหละครับ ที่ยังทำให้ผมเป็นแฟนบอลธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนกับทุกคนในที่แห่งนี้
*แก้ไขคำผิด