เราคนยุคใหม่ เจนใหม่ ที่โตมากว่าความรู้ กับวิทยาศาสตร์ กับใบปริญญา กับกูเกิ้ล จะเข้าถึง ศาสนาได้อย่างไร ....
นรก สวรรค์ พระเจ้า บุญบาป มีจริงหรือเปล่าก็ ไม่รู้ แล้วจะทำดีเพื่อรอขึ้นสวรรค์ไปทำไม ...
❌ เราไม่เชื่อในชาตินี้ – ชาติหน้า
🥃 เราเชื่อว่า ชีวิตมันสั้น ต้องใช้ให้คุ้มในชาติเดียว โลกนี้เป็นของเราใช้ซะ
❌ เราไม่เชื่อในว่ามีนรก-สวรรค์ นางฟ้ามีปีก เทวดามีวงบนหัว 😇อสุรกาย เปรต มีจริง 👻👹👽
❌ เราเป็นคนไม่มีศาสนา แต่ตัดสินใจว่าอะไรดี ไม่ดี และ เราสามารถหาความสุขได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งอะไร
🎉 เราเป็น สุขนิยม เราวัดความสำเร็จในชีวิตของเราได้ด้วยการได้ครอบครองสิ่งที่อยากได้ ได้ทำอะไรที่เราอยากทำ
🛐 เราไม่เห็นว่า พิธีกรรมทางศาสนา อย่าง การสวดมนต์ เวียนเทียน เข้าวัดทำบุญ ใส่บาตร จะทำให้เราได้บุญและขึ้นสวรรค์ไปได้อย่างไร
❌ เราเสื่อมศรัทธาในพระสงฆ์ไทย
🔬 เราเป็น Activist ไม่ใช่พวก Day Dreamer เราเป็นคนชอบพิสูจน์ และลงมือทำ ไม่ฝันกลางวันวาดวิมารในอากาศ เราเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้เท่านั้น
🕯 เราเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่บางอย่างทำให้เราคิดว่าหลายๆอย่างมันงมงาย
🎯 เราเชื่อใน กฎแห่งกรรม ว่าทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เพราะ มี Action จึงมี Reaction มี Reason ก็มี Result
🙄 เราสงสัยว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร มีชีวิตอยู่ไปทำไม มีคุณค่าอะไรบ้าง ทำไมเหมือนชีวิตยังขาดอะไรไป ?
ผมสงสัย จึงเดินหน้าหาคำตอบ จากการเข้าไปปฏิบัติด้วยตนเอง และนี่คือ สิ่งที่ผมค้นพบ ....
++
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า "ไม่มีสสารใดหายไปจากโลกและจักรวาล"
ผมเชื่อในเรื่องนี้ และขอนำเสนอด้วย ทฤษฎีโอเลี้ยง 1 แก้ว ที่ก็เป็นเรื่องสุดแสนธรรมดา แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจทุกอย่างได้ในปิ๊งเดียว
ผมขอลองให้คุณนำโอเลี้ยงมา 1แก้ว แล้วลองดื่มมันให้หมด ผมขอถามว่า น้ำโอเลี้ยงแก้วมนั้น หมดไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า …?
ถ้าคุณตอบ ว่า หมด ถูกครับ มันหมดไปจากแก้ว
แต่ อีกมุมหนึ่ง คุณก็ตอบผิด เพราะ จริงๆ โอเลี้ยงแก้วนั้นมันยังอยู่ อยู่ในกระเพาะอาหารของคุณนั่นไง ....
แล้วยังไงต่อ ? อนุภาคของโอเลี้ยงนั้น กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของเซลในร่างกายคุณ เมื่อคุณขับถ่ายออกมา ส่วนหนึ่งของของระบบบำบัดน้ำ ถูกส่งต่อ หมุนเวียนกลายเป็นส่วนหนึ่งของทั้งสิ่งมีชีวิต และ สิ่งไม่มีชีวิต
น้ำโอเลี้ยวแก้วนั้น ยังไม่หมดไป ไม่ได้หายไป แต่ยังอยู่อยู่เป็นส่วนหนึ่งทุกสิ่งในโลกและจักรวาล
ดังนั้น ทุกอย่างในโลกและจักวาล ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ต่างเชื่อมโยงกัน (inter-connected) โดยมีอนุภาคที่เล็กที่สุด ทำปฎิกริยาต่อกัน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่ง หมุนเวียนกันในระบบนิเวศน์ เมื่อมีอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนหายไปจากที่หนึ่ง ไปอีกที่หนึ่ง จริงๆแล้วมันก็จะไปปรากฏอยู่ในอีกส่วนของวงจร คือ เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ ต่อเนื่องไม่จบสิ้น แต่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน คุ้นๆไหมครับ ว่ามันเหมือนหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา เรื่อง วัฏสงสาร …
คำถาม ก็คือ อะไรที่ทำให้ น้ำโอเลี้ยงแก้วนั้น มันย้ายจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ได้ ... ??
นักวิทยาศาสตร์อาจบอกว่า มันคือ แรง หรือ Force ซึ่งเกิดจากการทำปฏิกิริยาของอนุภาคต่างๆที่เรามองไม่เห็นยังไงล่ะ
แต่ ถ้ามีแต่คุณเจอคนบ้าพลังไฮเปอร์สุดๆ มีแรงมากมาย แต่แล้วไม่มีที่ให้เค้าระบายพลังละ แรงนั้นก็ไม่มีความหมายใช่ไหมและ อะไรละที่ ที่ทำให้ทุกอย่างเคลื่อนที่ได้ เคลื่อนไหวได้
ใช่แล้วครับ ทุกสิ่งในจักรวาลเคลื่อนย้าย เคลื่อนไหวได้ เพราะ มี พื้นที่ให้เหลือให้เขยิบ ให้ขยับ พื้นที่นั้น ก็คือ พื้นที่ว่าง ถ้าไม่มีพื้นที่ว่าง อะไรๆก็ไม่ขยับได้ ให้เราลองถอยหลังออกมาอีกสักก้าว แล้วคุณจะพบว่า ความว่างเปล่า อยู่ข้างหลัง คุณถอยหลังได้ เพราะมีที่ว่างให้คุณถอย
ใช่แล้ว สิ่งนั้น คือ ความว่างเปล่า หรือ ภาวะสุญญากาศสมบูรณ์ ที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค้นพบและยังไม่ให้การยอมรับ นั่นเอง
แต่… เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว คนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาบนโลก มีโครงสร้างทางกายภาพเช่นเดียวกับเรา ที่ได้ชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" ได้ตื่น ได้รู้ และได้ตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่แล้ว และนำมาเผยแพร่ ว่า "ความว่างเปล่า หรือ สุญญตา" นี่เอง คือ สิ่งที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น เป็นความจริงและเป็นกฎของจักรวาลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ โดยใช้คำว่า อิทัปปัจยตา หรือ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด เพราะมีความว่างเปล่า จึงมี ตัวตน
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเพียงคนเดียวในโลกที่นำความจริงของของธรรมชาติที่ลึกล้ำที่สุด มาเล่าและหาทางให้คนเราเข้าใจและอยู่ร่วมกับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลได้ พระพุทธศาสนา สอนเราให้เข้าใจตัวตน เพื่อการไม่มีตัวตน สองให้เราเข้าใจว่า มีความว่างเปล่าที่แท้จริงอยู่ในทุกสรรพสิ่งของจักรวาล เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด ค้นพบสิ่งที่วิทยาศาสตร์หาคำตอบไม่ได้มาเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
ทว่า .... นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ควอนตัม ที่เชื่อกันว่า สรรพสิ่งทุกสิ่งในโลกและจักรวาลนี้เกิดมาจาก สิ่ง 1 สิ่ง ที่มีอนุภาคมูลฐานที่เล็กที่สุดแทรกอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ไม่มีความว่างเปล่า หรือ ภาวะสุญญากาศที่แท้จริง (Ultimate Vacuum/ Ultimate Emptiness) เป็นต้นกำเนิดของทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต หรือเรียกว่า “อนุภาคพระเจ้า” (God Particle) นั่นคือ วิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นนิรันดร์ และมีอยู่จริง ทว่า ยิ่งค้นหาเท่าไหร่ พวกเขาก็ยังเจออนุภาคที่เล็กมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทางตัน ..... และหันมาถาม องค์ดาไลลามะ ว่า แท้จริงแล้วอะไรที่พวกเขาพลาดไป แต่คำตอบก็ยังดูเหมือนคลุมเครือ ....
ผมขอนำเสนอแบบนี้ละกันครับ .... ว่าา
ถ้าทุกอย่างในจักรวาลนี้ มีสิ่งที่มีตัวตนที่แน่นอนแฝงอยู่ในทุกอนู หรือเรียกว่า ทุกอนุภาค มีอนุภาคย่อย มี สิ่ง 1 สิ่งอยู่เสมอ เท่ากับว่าทุกสิ่งในโลกและจักวาลจะแน่นไปหมด ไม่เหลือพื้นที่ว่างใดๆให้ขยับให้เคลื่อนที่ได้เลย ไม่มีทางที่จะไหลจากจุดใดไปจุดหนึ่งได้ ไม่สามารถวิ่งไปชนกันและเกิดหรือไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆได้ ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงสถานภาพได้ ไม่เกิดคลื่นไฟฟ้า ไม่เกิดคลื่นเสียง ไม่เกิดสนามแม่เหล็ก ไม่เกิดดวงดาวชนกัน ไม่เกิดบิ๊กแบง ไม่เกิดฤดูกาล ไม่เกิดกาลเวลาที่หมุนเวียนไป ไม่เกิดอะไรเลย เพราะทุกอย่างมันแน่นไปหมดแล้ว มันเต็มไปหมดแล้ว
หมายความว่าอะไรนะเหรอ ?? ก็หมายความว่า เพราะ สิ่งนี้ คือ ความว่างเปล่า อีกสิ่ง จึงมีคือตัวตน
จักรวาลและโลกนี้ ต้องมีสองสิ่งนี้ ควบคู่กันไปเสมอ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด คือ หลักแห่งเหตุผล (Action - Reaction) การมีตัวตน (matter) และ การไม่มีตัวตน (emptiness)
" อิทัปปัจจยตา คือ ทฤษฎีสัมพันธภาพที่แท้จริง" ถูกต้องแม่นยำกว่าแนวคิดที่นักวิทยาศาสตร์คนใดเคยนำเสนอมา
+++++
ดูแหมือนนักวิทยาศาสตร์ กำลังวิ่งไล่จับ “ตัวตน” หรือ อนุภาคพระเจ้า หรือ Matter แต่แล้วก็พบทางตัน
และดูเหมือน นักวิทยาศาสตร์ เหล่านักควอนตัมฟิสิกซ์ จะลืม พื้นฐานของคณิตศาสตร์ เกี่ยวกับ “จำนวนธรรมชาติ”
ว่า ไม่ได้มีแค่จำนวนเต็มบวก 1 2 3 4 5 6 7 8 9 และ จำนวนเต็มลบ -1 -2 -3 -4 -5 -6 -7 -8 -9
แต่มนุษย์ในยุคเมโสโปเตเมียโบราณ ได้ค้นพบเลข 0 ตัวเลขมหัศจรรย์ ใช้แทนคำว่า “ไม่มี”
0 เป็นได้ทั้งจำนวน และ เลขโดด
นิยามของเลขศูนย์คือ สามารถอยู่ได้ตัวเองโดดๆ และจะไม่มีค่า
แต่เมื่อไปตามหลังเลขตัวอื่นหรืออยู่หน้าตัวอื่น จะมีค่าในตัวของมัน ก่อให้เกิดค่ามาก ค่าน้อย หรือ ไม่มีค่า คือ เท่ากับ 0 ก็ได้
ถ้าไม่มีเลข 0 เราจะไม่มีอาจรับรู้ได้เลย ว่า เลข 1 หรือ เลขตัว อื่นๆมีค่าเท่าไหร่ เรายังมี ทฤษฎีเซท กำหนดให้ 0 := เซทว่าง
นั่นคือ ตัวเลขที่ไม่มีค่าเชิงปริมาณ แต่มีคุณสมบัติ ต้องมีอยู่ และทำให้เรารู้ว่า เลข 1 มีค่ามากขึ้น เลข -1 มีค่าน้อยลง หากวัดจาก 0
แล้วในเมื่อ ขนาดคณิตศาสตร์ ยังมีเลข 0
ทำไม ฟิสิกซ์ควอนตัม ถึงมัวแต่สนใจจำนวนเต็ม จำนวนที่นับได้แต่ลืม คิดถึงจำนวนโดด ที่อยู่ของมัน นับไม่ได้ แต่มีค่า
หากนักวิทยาศาสตร์เลิกตามหา ตัวตนของอนภาคมูลฐานที่เล็กที่สุด จนพบทางตันเช่นในปัจจุบัน
ทำไมพวกคุณไม่ลองค้นหาให้พบความจริงว่า ความว่างเปล่าที่แท้จริง หรือ สุญญากาศสมบูรณ์ หรือ สุญญตา นั่นมีอยู่จริงๆ ไม่แน่นะครับว่า Dark Energy หรือ Dark Matter ซึ่งเป็นสิ่งที่มวลมากที่สุดในจักรวาล อาจจะเป็นกุญแจให้เราตามหาเจ้าความเปล่าที่แท้จริงนี้เจอในเร็ววันก็ได้นะครับ
พวกคุณเท่านั้นที่เก่งในเรื่องนี้ ผมเชื่อว่า มันเหมือนเส้นผมบังภูเขา เพราะตลอดเวลา ชีวิตและการศึกษาของชาวตะวันตกและชาวตะวันออกรุ่นใหม่ ยึดถือแต่กับ สิ่งมีค่าที่จับต้องได้ นับค่าได้ จนเคยชิน
ผมขอฝากให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ช่วยกันเปลี่ยน paradigm ในการค้นหา Matter ไปสู่การหา Ultimate Vacuum หรือ Emptiness ให้เห็นกันไปเลย เปิดตาของคนทั้งโลกให้สว่างไปเลยไหมครับ เพื่อที่คนทั่วโลกจะได้แทงตลอด ไม่สงสัยในคำสอนทุกศาสนา อีกต่อไป ไม่ต้องมางมงายกับพิธีกรรม และ เรื่องเล้นรับเหนือธรรมชาติ
+++++++++++++
ในพระคัมภีร์ กล่าวว่า “พระเจ้า สร้างทุกอย่างขึ้นจากความว่างเปล่า” ศาสนาคริสต์และอิสลาม ซึ่งเกิดภายหลังศาสนาพุทธกว่า 500 ปี และ มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า พระเยซูคริสต์ก็ได้รับเอาความรู้จากพระพุทธศาสนามาปรับใช้และพัฒนาเป็นอีกศาสนาหนึ่ง ที่เชื่อในพระเจ้า
แต่นักวิทยาศาสตร์ยุคเก่าและยุคใหม่ ต่างยืนกรานเสียงแข็ง และ เถียงว่า ความว่างเปล่า ไม่มีอยู่จริงในห้วงอวกาศ อืม มันน่าคิด ......
หากเป็นเช่นนั้น ที่กล่าวไปแล้วว่า ทุกสิ่งในโลกและจักรวาลไม่ได้หายไปไหน แต่ยังวนเวียน เปลี่ยนสถานะ จากของแข็ง เป็นของเหลว จากสิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งไม่มีชีวิต
อยู่ในเขตที่นิยามว่า “เขตนี้มีตัวตน” ตัวตน ที่เกิดจาก ธาตุและอนุภาคต่างๆมาประชุมรวมกัน กลายเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ทั้งสิ่งมีชิวต และ สิ่งไม่มีชีวิต โดยมีความว่างเปล่า หรือ สุญญตา เป็นพื้นที่ว่างให้ทุกอย่างที่มีตัวตนได้ขับเคลื่อนเปลี่ยนสถานะ
อยากเห็นภาพชัดที่สุด ผมขอแนะนำ ให้คุณนึกถึง สัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นลัทธิหนึ่งในพระพุทธศาสนา คำว่า เต๋า แปลว่า มรรค หรือ หนทางแห่งการดับทุกข์ นั่นก็คือ การเข้าใจโลกและจักรวาลอย่างแตกฉานแทงตลอด มาเป็น สัญลักษณ์ของความจริงสูงสุดของจักรวาลครับ เพราะจะทำให้เราเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายที่สุด “ในขาว มีดำ ในดำ มีขาว”แต่ถ้าให้พิจารณาในเชิงพุทธศาสนา คือ เพราะมีความว่างเปล่า จึงมีตัวตน เพราะมีตัวตน จึงมีความว่างเปล่า
และ นั่นเท่ากับ ความเชื่อที่ว่า เมื่อคนเราพอตายไปแล้วสุดท้ายจะไปรวมกับพระเจ้า หรือ ปรมัตต์ ตัวตนอันเป็นที่สุดเมื่อดับสูญแล้ว ทุกสิ่งจะกลับไปรวมกับสิ่งหนึ่งเพียงหนึ่งเดียว ที่เป็นที่สุด ใช่แล้ว นั่นคือ สิ่งที่เราเชื่อว่า พระเจ้า ปรมัตต์ ในศาสนาคริสต์ และ อิสลาม เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
ปรมัตต์ หรือ พระเจ้า คือ การที่อนุภาคจาก ทั้ง คน สัตว์ สิ่งของ และ อนุภาคมูลฐาน ไปจนถึงอนุภาคที่มีขนาดเล็กสุดในจักรวาลมาหลอมรวมกัน กลายเป็น “ตัวตนที่สุดของธรรมชาติ” หรือ พระเจ้าที่เราเคยเชื่อกัน
แล้วที่ศาสนาพุทธ สอนเรื่อง อนัตตา ความไม่มีตัวตนละ ? เอ๊ะ หรือว่ามันผิด
อ่านต่อ ....
V
V
V
กลัวตายแล้วไม่ได้โพสต์..... ศาสนาใหม่ของคนไร้ศาสนา และ โอเลี้ยง 1แก้ว
นรก สวรรค์ พระเจ้า บุญบาป มีจริงหรือเปล่าก็ ไม่รู้ แล้วจะทำดีเพื่อรอขึ้นสวรรค์ไปทำไม ...
❌ เราไม่เชื่อในชาตินี้ – ชาติหน้า
🥃 เราเชื่อว่า ชีวิตมันสั้น ต้องใช้ให้คุ้มในชาติเดียว โลกนี้เป็นของเราใช้ซะ
❌ เราไม่เชื่อในว่ามีนรก-สวรรค์ นางฟ้ามีปีก เทวดามีวงบนหัว 😇อสุรกาย เปรต มีจริง 👻👹👽
❌ เราเป็นคนไม่มีศาสนา แต่ตัดสินใจว่าอะไรดี ไม่ดี และ เราสามารถหาความสุขได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งอะไร
🎉 เราเป็น สุขนิยม เราวัดความสำเร็จในชีวิตของเราได้ด้วยการได้ครอบครองสิ่งที่อยากได้ ได้ทำอะไรที่เราอยากทำ
🛐 เราไม่เห็นว่า พิธีกรรมทางศาสนา อย่าง การสวดมนต์ เวียนเทียน เข้าวัดทำบุญ ใส่บาตร จะทำให้เราได้บุญและขึ้นสวรรค์ไปได้อย่างไร
❌ เราเสื่อมศรัทธาในพระสงฆ์ไทย
🔬 เราเป็น Activist ไม่ใช่พวก Day Dreamer เราเป็นคนชอบพิสูจน์ และลงมือทำ ไม่ฝันกลางวันวาดวิมารในอากาศ เราเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้เท่านั้น
🕯 เราเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่บางอย่างทำให้เราคิดว่าหลายๆอย่างมันงมงาย
🎯 เราเชื่อใน กฎแห่งกรรม ว่าทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เพราะ มี Action จึงมี Reaction มี Reason ก็มี Result
🙄 เราสงสัยว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร มีชีวิตอยู่ไปทำไม มีคุณค่าอะไรบ้าง ทำไมเหมือนชีวิตยังขาดอะไรไป ?
ผมสงสัย จึงเดินหน้าหาคำตอบ จากการเข้าไปปฏิบัติด้วยตนเอง และนี่คือ สิ่งที่ผมค้นพบ ....
++
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า "ไม่มีสสารใดหายไปจากโลกและจักรวาล"
ผมเชื่อในเรื่องนี้ และขอนำเสนอด้วย ทฤษฎีโอเลี้ยง 1 แก้ว ที่ก็เป็นเรื่องสุดแสนธรรมดา แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจทุกอย่างได้ในปิ๊งเดียว
ผมขอลองให้คุณนำโอเลี้ยงมา 1แก้ว แล้วลองดื่มมันให้หมด ผมขอถามว่า น้ำโอเลี้ยงแก้วมนั้น หมดไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า …?
ถ้าคุณตอบ ว่า หมด ถูกครับ มันหมดไปจากแก้ว
แต่ อีกมุมหนึ่ง คุณก็ตอบผิด เพราะ จริงๆ โอเลี้ยงแก้วนั้นมันยังอยู่ อยู่ในกระเพาะอาหารของคุณนั่นไง ....
แล้วยังไงต่อ ? อนุภาคของโอเลี้ยงนั้น กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของเซลในร่างกายคุณ เมื่อคุณขับถ่ายออกมา ส่วนหนึ่งของของระบบบำบัดน้ำ ถูกส่งต่อ หมุนเวียนกลายเป็นส่วนหนึ่งของทั้งสิ่งมีชีวิต และ สิ่งไม่มีชีวิต
น้ำโอเลี้ยวแก้วนั้น ยังไม่หมดไป ไม่ได้หายไป แต่ยังอยู่อยู่เป็นส่วนหนึ่งทุกสิ่งในโลกและจักรวาล
ดังนั้น ทุกอย่างในโลกและจักวาล ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ต่างเชื่อมโยงกัน (inter-connected) โดยมีอนุภาคที่เล็กที่สุด ทำปฎิกริยาต่อกัน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่ง หมุนเวียนกันในระบบนิเวศน์ เมื่อมีอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนหายไปจากที่หนึ่ง ไปอีกที่หนึ่ง จริงๆแล้วมันก็จะไปปรากฏอยู่ในอีกส่วนของวงจร คือ เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ ต่อเนื่องไม่จบสิ้น แต่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน คุ้นๆไหมครับ ว่ามันเหมือนหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา เรื่อง วัฏสงสาร …
คำถาม ก็คือ อะไรที่ทำให้ น้ำโอเลี้ยงแก้วนั้น มันย้ายจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ได้ ... ??
นักวิทยาศาสตร์อาจบอกว่า มันคือ แรง หรือ Force ซึ่งเกิดจากการทำปฏิกิริยาของอนุภาคต่างๆที่เรามองไม่เห็นยังไงล่ะ
แต่ ถ้ามีแต่คุณเจอคนบ้าพลังไฮเปอร์สุดๆ มีแรงมากมาย แต่แล้วไม่มีที่ให้เค้าระบายพลังละ แรงนั้นก็ไม่มีความหมายใช่ไหมและ อะไรละที่ ที่ทำให้ทุกอย่างเคลื่อนที่ได้ เคลื่อนไหวได้
ใช่แล้วครับ ทุกสิ่งในจักรวาลเคลื่อนย้าย เคลื่อนไหวได้ เพราะ มี พื้นที่ให้เหลือให้เขยิบ ให้ขยับ พื้นที่นั้น ก็คือ พื้นที่ว่าง ถ้าไม่มีพื้นที่ว่าง อะไรๆก็ไม่ขยับได้ ให้เราลองถอยหลังออกมาอีกสักก้าว แล้วคุณจะพบว่า ความว่างเปล่า อยู่ข้างหลัง คุณถอยหลังได้ เพราะมีที่ว่างให้คุณถอย
ใช่แล้ว สิ่งนั้น คือ ความว่างเปล่า หรือ ภาวะสุญญากาศสมบูรณ์ ที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค้นพบและยังไม่ให้การยอมรับ นั่นเอง
แต่… เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว คนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาบนโลก มีโครงสร้างทางกายภาพเช่นเดียวกับเรา ที่ได้ชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" ได้ตื่น ได้รู้ และได้ตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่แล้ว และนำมาเผยแพร่ ว่า "ความว่างเปล่า หรือ สุญญตา" นี่เอง คือ สิ่งที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น เป็นความจริงและเป็นกฎของจักรวาลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ โดยใช้คำว่า อิทัปปัจยตา หรือ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด เพราะมีความว่างเปล่า จึงมี ตัวตน
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเพียงคนเดียวในโลกที่นำความจริงของของธรรมชาติที่ลึกล้ำที่สุด มาเล่าและหาทางให้คนเราเข้าใจและอยู่ร่วมกับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลได้ พระพุทธศาสนา สอนเราให้เข้าใจตัวตน เพื่อการไม่มีตัวตน สองให้เราเข้าใจว่า มีความว่างเปล่าที่แท้จริงอยู่ในทุกสรรพสิ่งของจักรวาล เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด ค้นพบสิ่งที่วิทยาศาสตร์หาคำตอบไม่ได้มาเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
ทว่า .... นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ควอนตัม ที่เชื่อกันว่า สรรพสิ่งทุกสิ่งในโลกและจักรวาลนี้เกิดมาจาก สิ่ง 1 สิ่ง ที่มีอนุภาคมูลฐานที่เล็กที่สุดแทรกอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ไม่มีความว่างเปล่า หรือ ภาวะสุญญากาศที่แท้จริง (Ultimate Vacuum/ Ultimate Emptiness) เป็นต้นกำเนิดของทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต หรือเรียกว่า “อนุภาคพระเจ้า” (God Particle) นั่นคือ วิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นนิรันดร์ และมีอยู่จริง ทว่า ยิ่งค้นหาเท่าไหร่ พวกเขาก็ยังเจออนุภาคที่เล็กมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทางตัน ..... และหันมาถาม องค์ดาไลลามะ ว่า แท้จริงแล้วอะไรที่พวกเขาพลาดไป แต่คำตอบก็ยังดูเหมือนคลุมเครือ ....
ผมขอนำเสนอแบบนี้ละกันครับ .... ว่าา
ถ้าทุกอย่างในจักรวาลนี้ มีสิ่งที่มีตัวตนที่แน่นอนแฝงอยู่ในทุกอนู หรือเรียกว่า ทุกอนุภาค มีอนุภาคย่อย มี สิ่ง 1 สิ่งอยู่เสมอ เท่ากับว่าทุกสิ่งในโลกและจักวาลจะแน่นไปหมด ไม่เหลือพื้นที่ว่างใดๆให้ขยับให้เคลื่อนที่ได้เลย ไม่มีทางที่จะไหลจากจุดใดไปจุดหนึ่งได้ ไม่สามารถวิ่งไปชนกันและเกิดหรือไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆได้ ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงสถานภาพได้ ไม่เกิดคลื่นไฟฟ้า ไม่เกิดคลื่นเสียง ไม่เกิดสนามแม่เหล็ก ไม่เกิดดวงดาวชนกัน ไม่เกิดบิ๊กแบง ไม่เกิดฤดูกาล ไม่เกิดกาลเวลาที่หมุนเวียนไป ไม่เกิดอะไรเลย เพราะทุกอย่างมันแน่นไปหมดแล้ว มันเต็มไปหมดแล้ว
หมายความว่าอะไรนะเหรอ ?? ก็หมายความว่า เพราะ สิ่งนี้ คือ ความว่างเปล่า อีกสิ่ง จึงมีคือตัวตน
จักรวาลและโลกนี้ ต้องมีสองสิ่งนี้ ควบคู่กันไปเสมอ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด คือ หลักแห่งเหตุผล (Action - Reaction) การมีตัวตน (matter) และ การไม่มีตัวตน (emptiness)
" อิทัปปัจจยตา คือ ทฤษฎีสัมพันธภาพที่แท้จริง" ถูกต้องแม่นยำกว่าแนวคิดที่นักวิทยาศาสตร์คนใดเคยนำเสนอมา
+++++
ดูแหมือนนักวิทยาศาสตร์ กำลังวิ่งไล่จับ “ตัวตน” หรือ อนุภาคพระเจ้า หรือ Matter แต่แล้วก็พบทางตัน
และดูเหมือน นักวิทยาศาสตร์ เหล่านักควอนตัมฟิสิกซ์ จะลืม พื้นฐานของคณิตศาสตร์ เกี่ยวกับ “จำนวนธรรมชาติ”
ว่า ไม่ได้มีแค่จำนวนเต็มบวก 1 2 3 4 5 6 7 8 9 และ จำนวนเต็มลบ -1 -2 -3 -4 -5 -6 -7 -8 -9
แต่มนุษย์ในยุคเมโสโปเตเมียโบราณ ได้ค้นพบเลข 0 ตัวเลขมหัศจรรย์ ใช้แทนคำว่า “ไม่มี”
0 เป็นได้ทั้งจำนวน และ เลขโดด
นิยามของเลขศูนย์คือ สามารถอยู่ได้ตัวเองโดดๆ และจะไม่มีค่า
แต่เมื่อไปตามหลังเลขตัวอื่นหรืออยู่หน้าตัวอื่น จะมีค่าในตัวของมัน ก่อให้เกิดค่ามาก ค่าน้อย หรือ ไม่มีค่า คือ เท่ากับ 0 ก็ได้
ถ้าไม่มีเลข 0 เราจะไม่มีอาจรับรู้ได้เลย ว่า เลข 1 หรือ เลขตัว อื่นๆมีค่าเท่าไหร่ เรายังมี ทฤษฎีเซท กำหนดให้ 0 := เซทว่าง
นั่นคือ ตัวเลขที่ไม่มีค่าเชิงปริมาณ แต่มีคุณสมบัติ ต้องมีอยู่ และทำให้เรารู้ว่า เลข 1 มีค่ามากขึ้น เลข -1 มีค่าน้อยลง หากวัดจาก 0
แล้วในเมื่อ ขนาดคณิตศาสตร์ ยังมีเลข 0
ทำไม ฟิสิกซ์ควอนตัม ถึงมัวแต่สนใจจำนวนเต็ม จำนวนที่นับได้แต่ลืม คิดถึงจำนวนโดด ที่อยู่ของมัน นับไม่ได้ แต่มีค่า
หากนักวิทยาศาสตร์เลิกตามหา ตัวตนของอนภาคมูลฐานที่เล็กที่สุด จนพบทางตันเช่นในปัจจุบัน
ทำไมพวกคุณไม่ลองค้นหาให้พบความจริงว่า ความว่างเปล่าที่แท้จริง หรือ สุญญากาศสมบูรณ์ หรือ สุญญตา นั่นมีอยู่จริงๆ ไม่แน่นะครับว่า Dark Energy หรือ Dark Matter ซึ่งเป็นสิ่งที่มวลมากที่สุดในจักรวาล อาจจะเป็นกุญแจให้เราตามหาเจ้าความเปล่าที่แท้จริงนี้เจอในเร็ววันก็ได้นะครับ
พวกคุณเท่านั้นที่เก่งในเรื่องนี้ ผมเชื่อว่า มันเหมือนเส้นผมบังภูเขา เพราะตลอดเวลา ชีวิตและการศึกษาของชาวตะวันตกและชาวตะวันออกรุ่นใหม่ ยึดถือแต่กับ สิ่งมีค่าที่จับต้องได้ นับค่าได้ จนเคยชิน
ผมขอฝากให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ช่วยกันเปลี่ยน paradigm ในการค้นหา Matter ไปสู่การหา Ultimate Vacuum หรือ Emptiness ให้เห็นกันไปเลย เปิดตาของคนทั้งโลกให้สว่างไปเลยไหมครับ เพื่อที่คนทั่วโลกจะได้แทงตลอด ไม่สงสัยในคำสอนทุกศาสนา อีกต่อไป ไม่ต้องมางมงายกับพิธีกรรม และ เรื่องเล้นรับเหนือธรรมชาติ
+++++++++++++
ในพระคัมภีร์ กล่าวว่า “พระเจ้า สร้างทุกอย่างขึ้นจากความว่างเปล่า” ศาสนาคริสต์และอิสลาม ซึ่งเกิดภายหลังศาสนาพุทธกว่า 500 ปี และ มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า พระเยซูคริสต์ก็ได้รับเอาความรู้จากพระพุทธศาสนามาปรับใช้และพัฒนาเป็นอีกศาสนาหนึ่ง ที่เชื่อในพระเจ้า
แต่นักวิทยาศาสตร์ยุคเก่าและยุคใหม่ ต่างยืนกรานเสียงแข็ง และ เถียงว่า ความว่างเปล่า ไม่มีอยู่จริงในห้วงอวกาศ อืม มันน่าคิด ......
หากเป็นเช่นนั้น ที่กล่าวไปแล้วว่า ทุกสิ่งในโลกและจักรวาลไม่ได้หายไปไหน แต่ยังวนเวียน เปลี่ยนสถานะ จากของแข็ง เป็นของเหลว จากสิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งไม่มีชีวิต
อยู่ในเขตที่นิยามว่า “เขตนี้มีตัวตน” ตัวตน ที่เกิดจาก ธาตุและอนุภาคต่างๆมาประชุมรวมกัน กลายเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ทั้งสิ่งมีชิวต และ สิ่งไม่มีชีวิต โดยมีความว่างเปล่า หรือ สุญญตา เป็นพื้นที่ว่างให้ทุกอย่างที่มีตัวตนได้ขับเคลื่อนเปลี่ยนสถานะ
อยากเห็นภาพชัดที่สุด ผมขอแนะนำ ให้คุณนึกถึง สัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นลัทธิหนึ่งในพระพุทธศาสนา คำว่า เต๋า แปลว่า มรรค หรือ หนทางแห่งการดับทุกข์ นั่นก็คือ การเข้าใจโลกและจักรวาลอย่างแตกฉานแทงตลอด มาเป็น สัญลักษณ์ของความจริงสูงสุดของจักรวาลครับ เพราะจะทำให้เราเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายที่สุด “ในขาว มีดำ ในดำ มีขาว”แต่ถ้าให้พิจารณาในเชิงพุทธศาสนา คือ เพราะมีความว่างเปล่า จึงมีตัวตน เพราะมีตัวตน จึงมีความว่างเปล่า
และ นั่นเท่ากับ ความเชื่อที่ว่า เมื่อคนเราพอตายไปแล้วสุดท้ายจะไปรวมกับพระเจ้า หรือ ปรมัตต์ ตัวตนอันเป็นที่สุดเมื่อดับสูญแล้ว ทุกสิ่งจะกลับไปรวมกับสิ่งหนึ่งเพียงหนึ่งเดียว ที่เป็นที่สุด ใช่แล้ว นั่นคือ สิ่งที่เราเชื่อว่า พระเจ้า ปรมัตต์ ในศาสนาคริสต์ และ อิสลาม เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
ปรมัตต์ หรือ พระเจ้า คือ การที่อนุภาคจาก ทั้ง คน สัตว์ สิ่งของ และ อนุภาคมูลฐาน ไปจนถึงอนุภาคที่มีขนาดเล็กสุดในจักรวาลมาหลอมรวมกัน กลายเป็น “ตัวตนที่สุดของธรรมชาติ” หรือ พระเจ้าที่เราเคยเชื่อกัน
แล้วที่ศาสนาพุทธ สอนเรื่อง อนัตตา ความไม่มีตัวตนละ ? เอ๊ะ หรือว่ามันผิด
อ่านต่อ ....
V
V
V