นู๋นิดจิตแจ่มใส
วิ่งไวไวไปโรงเรียน
ผองเพื่อนมาอ่านเขียน
นิดหัวเกรียน ตกบันได
นู๋นิดร้องไห้โฮ
เพื่อนไชโย ร้องเสียงใส
อื้ออึง ตึงตังไป
คุณครูไล่ เข้าห้องเรียน
ยกมาจากกระทู้ “แด่บทกวีที่ข้ารัก” ของอิอ้ายหล่อ ที่นู๋นิดเข้าไปแต่งเล่นฮาๆ คงนับว่าเป็นคำคล้องจองบทแรก ที่นู๋นิดใช้เวลาคิดไม่ถึง 3 นาที เมื่อกดส่งโพสต์ไปแล้วกลับมาอ่านใหม่ แล้วรู้สึกว่าชอบมากค่ะ เพราะมันคือตัวตนของ นู๋นิด เมื่อสมัยวัยเด็ก
เด็กหญิงนิด เด็กหญิงตัวผอมๆแกรนๆ หน้าตามอมแมมแบบเด็กบ้านนอกทั่วไป ที่ต้องรีบตื่นแต่เช้ามืด ทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคุณย่า เช่น นึ่งข้าว ล้างชาม ถูบ้าน ให้เสร็จก่อนไปโรงเรียน ดังนั้นทุกๆเช้า เด็กหญิงนิดจึงต้องกระกระวาดวิ่งไปให้ทันก่อนโรงเรียนตั้งแถวหน้าเสาธง บางครั้งไปไม่ทันเข้าแถว เพราะคุณย่าใช้ให้ไปวัดก่อน ก็ต้องรีบวิ่งขึ้นห้องเรียนจนตกบันได เพื่อนๆโผล่หน้าออกมาดู มาขำกันใหญ่ จนคุณครูต้องไล่ให้เข้าห้องเรียนไป ส่วนเด็กหญิงนิดคุณครูก็พาไปใส่ยาแดง ยาเหลือง ที่ห้องพยาบาลจนแขนขาลายพร้อยเหมือนลูกแมวมอมแมม
อย่างที่นู๋นิดเคยบอกว่า นู๋นิดเกิดท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวัน กลางทุ่งนา ป่าเขา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นู๋นิดจะเป็นเด็กแข็งแรง ซุกซน สดใส ช่างคิด ช่างฝัน พ่อกับแม่ ทำไร่ ทำนา ทำสวน สับเปลี่ยนกันไปตามฤดูกาล เสร็จจากนาก็หันหน้าเข้าไร่ เสร็จจากไร่ก็หันหน้าเข้าสวน นู๋นิดกับพี่น้องจึงพากันลั้ลลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่สิ่งเหล่านี้มันหล่อหลอมให้พวกเรา มีความคิดเป็นบวก โลกสวยงามท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวัน (พ่อปลูกทานตะวันส่งโรงงานเป็นทุ่งเหลืองอร่าม)
อันนี้ดอกเยอบีร่านะ ไม่ใช่ทานตะวัน อิอิ
แต่เด็กช่างฝันอย่างนู๋นิด ก็มีเรื่องผิดหวังเหมือนกัน นู๋นิด ฝันอยากได้จักรยานสีแดงคันเล็กๆ เอาไว้ขับไปโรงเรียนอวดเพื่อนๆตอนเปิดเทอม และจะได้ไม่ต้องรีบจนวิ่งตกกระไดโรงเรียน ให้เพื่อนๆขำกลิ้งเฮฮาอีก (ก็มันทั้งเจ็บ ทั้งอายนินา)
ด้วยความอยากได้จักรยานสีแดง นู๋นิดจึงตั้งหน้าตั้งตาช่วยพ่อแม่ทำงานอย่างแข็งขัน เพื่อที่จะได้ใช้เป็นข้อต่อรองกับพ่อที่จะซื้อจักรยาน ครั้งนั้นพ่อปลูกแตงโม นู๋นิดก็ช่วยพ่อแม่ปลูกแตงโมจนเสร็จทั้งไร่ โดยที่ไม่ได้แว่บไปเที่ยวเล่นเกเร ยิงนก ตกปลา กับพี่ชายและน้องชายเหมือนเก่า เมื่อปลูกแตงโมเสร็จแล้ว นู๋นิดก็มีความกล้าที่จะขอกับพ่อ
นู๋นิดขอให้พ่อซื้อจักรยานให้เมื่อพ่อขายแตงโมได้เงินแล้ว และ พ่อก็รับปากนู๋นิดว่าจะซื้อให้
นู๋นิดดีใจมาก ทุกๆวันนู๋นิดจะเฝ้าดูการเจริญเติบโตของต้นแตงโมตั้งแต่ งอกใบเลี้ยง ตั้งต้น ล้มเครือ แตกยอด ออกดอก ติดผล ลูกโต สีเขียวอ่อน สีเขียวเข้ม จนกระทั่งเก็บลูกแตงโมขนขึ้นรถ .... เฝ้าดูด้วยใจจดใจจ่อ อย่างมีความหวังและ รอคอย
ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่นู๋นิดนอนไม่หลับทั้งคืนด้วยความตื่นเต้นดีใจ พรุ่งนี้แล้วสินะที่พ่อจะไปขายแตงโม และจะซื้อจักรยานให้ คอยดูนะนู๋นิดจะไม่แกะห่อจักรยานเลยจนกว่าจะถึงวันเปิดเทอม เพราะกลัวมันจะเก่าไปเสียก่อนที่ไอ้ป้อมจะเห็น (ป้อมเป็นเด็กผู้ชายคู่ปรับกับนู๋นิด) เมื่อไหร่มันจะถึงพรุ่งนี้เช้าเสียที .....
วันนั้นนู๋นิดไม่เป็นอันทำอะไร คอยเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่พ่อจะกลับมาพร้อมจักรยาน .... รอ รอ รอ จนเย็น และในที่สุดพ่อก็กลับมา
“เย้ๆๆๆๆ พ่อมาแล้ว พ่อแล้วไหนจักรยานของนางล่ะจ๊ะ”
“นาง ............................................. ............. .......... ....... ฟังพ่อนะ ................. ....... ... ครั้งนี้พ่อยังไม่ได้ซื้อจักรยานให้ เพราะเงินเราไม่พอใช้หนี้ ธกส. ไว้ครั้งหน้าเราขายดอกทานตะวัน แล้วพ่อจะซื้อจักรยานให้นาง ให้พี่แมว ให้... ใ ... “
หูมันอื้อ ตามันลาย หัวมันหมุนวิ๊ง วิ๊ง น้ำตาไหลมาจากไหนไม่รู้ เอาโอ่งมาใส่ซักล้านโอ่งก็ไม่พอ
นู๋นิดหันหลังได้ ก็วิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง วิ่งกระเซอะกระเซิงเข้าดงต้นดอกทานตะวันที่สูงท่วมหัวลิบๆไม่รู้ทิศทาง วิ่งไปจนเหนื่อยหอบ และนั่งลงร้องไห้จนสาแก่ใจ ก่อนที่จะหลับไปใต้ต้นทานตะวัน
จากความเสียใจครั้งนี้ นู๋นิดไม่คุยกับพ่ออยู่เป็นเดือน ๆ แม้พ่อจะพยายามมาพูดอธิบายอะไร นู๋นิดก็ไม่ฟัง แม้กลับจากโรงเรียนจะไหว้พ่อแม่ นู๋นิดก็จะไหว้เฉยๆจะไม่พูดอะไรกับพ่อทั้งนั้น ในหัวมันมีแต่ความสงสัยว่า ทำไมพ่อถึงโกหกเรา ถ้าเป็นนู๋นิด นู๋นิดจะไม่โกหก เพราะการโกหกมันทำให้อีกฝ่ายเสียใจ
ตั้งแต่นั้นมาคำว่า “สัจจะ” มันจึงฝังลึกเข้าไปใน DNA ของนู๋นิด จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ คำๆนี้ มันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แม้ต่อมา ...
วันหนึ่ง นู๋นิดก็แอบได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน พ่อบอกว่า พ่อขายดอกทานตะวันชุดนี้แล้ว พ่อจะต้องซื้อจักรยานให้ลูกๆอย่างที่บอกไว้ให้ได้ จะยังไงก็ต้องซื้อ พ่อจะทำให้ลูกต้องเสียใจอย่างนั้นอีกไม่ได้เป็นอันขาด เงินที่ขายแตงโมคราวก่อนก็ใช้หนี้เค้าไปหมดแล้ว คงจะพอมีเงินซื้อจักรยานให้ลูกได้
นู๋นิดเดินออกมาจากมุมมืด เข้าไปกอดพ่อไว้แน่น พ่อน้ำตาไหลออกมาอาบแก้มด้วยความดีใจ กอดนู๋นิดไว้แน่นราวกับกลัวว่านู๋นิดจะหายไปในดงดอกทานตะวัน
+ + + การคาดหวัง การรอคอย .... ความผิดหวัง ภาค 1 + + +
นู๋นิดจิตแจ่มใส
วิ่งไวไวไปโรงเรียน
ผองเพื่อนมาอ่านเขียน
นิดหัวเกรียน ตกบันได
นู๋นิดร้องไห้โฮ
เพื่อนไชโย ร้องเสียงใส
อื้ออึง ตึงตังไป
คุณครูไล่ เข้าห้องเรียน
ยกมาจากกระทู้ “แด่บทกวีที่ข้ารัก” ของอิอ้ายหล่อ ที่นู๋นิดเข้าไปแต่งเล่นฮาๆ คงนับว่าเป็นคำคล้องจองบทแรก ที่นู๋นิดใช้เวลาคิดไม่ถึง 3 นาที เมื่อกดส่งโพสต์ไปแล้วกลับมาอ่านใหม่ แล้วรู้สึกว่าชอบมากค่ะ เพราะมันคือตัวตนของ นู๋นิด เมื่อสมัยวัยเด็ก
เด็กหญิงนิด เด็กหญิงตัวผอมๆแกรนๆ หน้าตามอมแมมแบบเด็กบ้านนอกทั่วไป ที่ต้องรีบตื่นแต่เช้ามืด ทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคุณย่า เช่น นึ่งข้าว ล้างชาม ถูบ้าน ให้เสร็จก่อนไปโรงเรียน ดังนั้นทุกๆเช้า เด็กหญิงนิดจึงต้องกระกระวาดวิ่งไปให้ทันก่อนโรงเรียนตั้งแถวหน้าเสาธง บางครั้งไปไม่ทันเข้าแถว เพราะคุณย่าใช้ให้ไปวัดก่อน ก็ต้องรีบวิ่งขึ้นห้องเรียนจนตกบันได เพื่อนๆโผล่หน้าออกมาดู มาขำกันใหญ่ จนคุณครูต้องไล่ให้เข้าห้องเรียนไป ส่วนเด็กหญิงนิดคุณครูก็พาไปใส่ยาแดง ยาเหลือง ที่ห้องพยาบาลจนแขนขาลายพร้อยเหมือนลูกแมวมอมแมม
อย่างที่นู๋นิดเคยบอกว่า นู๋นิดเกิดท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวัน กลางทุ่งนา ป่าเขา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นู๋นิดจะเป็นเด็กแข็งแรง ซุกซน สดใส ช่างคิด ช่างฝัน พ่อกับแม่ ทำไร่ ทำนา ทำสวน สับเปลี่ยนกันไปตามฤดูกาล เสร็จจากนาก็หันหน้าเข้าไร่ เสร็จจากไร่ก็หันหน้าเข้าสวน นู๋นิดกับพี่น้องจึงพากันลั้ลลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่สิ่งเหล่านี้มันหล่อหลอมให้พวกเรา มีความคิดเป็นบวก โลกสวยงามท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวัน (พ่อปลูกทานตะวันส่งโรงงานเป็นทุ่งเหลืองอร่าม)
อันนี้ดอกเยอบีร่านะ ไม่ใช่ทานตะวัน อิอิ
แต่เด็กช่างฝันอย่างนู๋นิด ก็มีเรื่องผิดหวังเหมือนกัน นู๋นิด ฝันอยากได้จักรยานสีแดงคันเล็กๆ เอาไว้ขับไปโรงเรียนอวดเพื่อนๆตอนเปิดเทอม และจะได้ไม่ต้องรีบจนวิ่งตกกระไดโรงเรียน ให้เพื่อนๆขำกลิ้งเฮฮาอีก (ก็มันทั้งเจ็บ ทั้งอายนินา)
ด้วยความอยากได้จักรยานสีแดง นู๋นิดจึงตั้งหน้าตั้งตาช่วยพ่อแม่ทำงานอย่างแข็งขัน เพื่อที่จะได้ใช้เป็นข้อต่อรองกับพ่อที่จะซื้อจักรยาน ครั้งนั้นพ่อปลูกแตงโม นู๋นิดก็ช่วยพ่อแม่ปลูกแตงโมจนเสร็จทั้งไร่ โดยที่ไม่ได้แว่บไปเที่ยวเล่นเกเร ยิงนก ตกปลา กับพี่ชายและน้องชายเหมือนเก่า เมื่อปลูกแตงโมเสร็จแล้ว นู๋นิดก็มีความกล้าที่จะขอกับพ่อ
นู๋นิดขอให้พ่อซื้อจักรยานให้เมื่อพ่อขายแตงโมได้เงินแล้ว และ พ่อก็รับปากนู๋นิดว่าจะซื้อให้
นู๋นิดดีใจมาก ทุกๆวันนู๋นิดจะเฝ้าดูการเจริญเติบโตของต้นแตงโมตั้งแต่ งอกใบเลี้ยง ตั้งต้น ล้มเครือ แตกยอด ออกดอก ติดผล ลูกโต สีเขียวอ่อน สีเขียวเข้ม จนกระทั่งเก็บลูกแตงโมขนขึ้นรถ .... เฝ้าดูด้วยใจจดใจจ่อ อย่างมีความหวังและ รอคอย
ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่นู๋นิดนอนไม่หลับทั้งคืนด้วยความตื่นเต้นดีใจ พรุ่งนี้แล้วสินะที่พ่อจะไปขายแตงโม และจะซื้อจักรยานให้ คอยดูนะนู๋นิดจะไม่แกะห่อจักรยานเลยจนกว่าจะถึงวันเปิดเทอม เพราะกลัวมันจะเก่าไปเสียก่อนที่ไอ้ป้อมจะเห็น (ป้อมเป็นเด็กผู้ชายคู่ปรับกับนู๋นิด) เมื่อไหร่มันจะถึงพรุ่งนี้เช้าเสียที .....
วันนั้นนู๋นิดไม่เป็นอันทำอะไร คอยเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่พ่อจะกลับมาพร้อมจักรยาน .... รอ รอ รอ จนเย็น และในที่สุดพ่อก็กลับมา
“เย้ๆๆๆๆ พ่อมาแล้ว พ่อแล้วไหนจักรยานของนางล่ะจ๊ะ”
“นาง ............................................. ............. .......... ....... ฟังพ่อนะ ................. ....... ... ครั้งนี้พ่อยังไม่ได้ซื้อจักรยานให้ เพราะเงินเราไม่พอใช้หนี้ ธกส. ไว้ครั้งหน้าเราขายดอกทานตะวัน แล้วพ่อจะซื้อจักรยานให้นาง ให้พี่แมว ให้... ใ ... “
หูมันอื้อ ตามันลาย หัวมันหมุนวิ๊ง วิ๊ง น้ำตาไหลมาจากไหนไม่รู้ เอาโอ่งมาใส่ซักล้านโอ่งก็ไม่พอ
นู๋นิดหันหลังได้ ก็วิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง วิ่งกระเซอะกระเซิงเข้าดงต้นดอกทานตะวันที่สูงท่วมหัวลิบๆไม่รู้ทิศทาง วิ่งไปจนเหนื่อยหอบ และนั่งลงร้องไห้จนสาแก่ใจ ก่อนที่จะหลับไปใต้ต้นทานตะวัน
จากความเสียใจครั้งนี้ นู๋นิดไม่คุยกับพ่ออยู่เป็นเดือน ๆ แม้พ่อจะพยายามมาพูดอธิบายอะไร นู๋นิดก็ไม่ฟัง แม้กลับจากโรงเรียนจะไหว้พ่อแม่ นู๋นิดก็จะไหว้เฉยๆจะไม่พูดอะไรกับพ่อทั้งนั้น ในหัวมันมีแต่ความสงสัยว่า ทำไมพ่อถึงโกหกเรา ถ้าเป็นนู๋นิด นู๋นิดจะไม่โกหก เพราะการโกหกมันทำให้อีกฝ่ายเสียใจ
ตั้งแต่นั้นมาคำว่า “สัจจะ” มันจึงฝังลึกเข้าไปใน DNA ของนู๋นิด จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ คำๆนี้ มันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แม้ต่อมา ...
วันหนึ่ง นู๋นิดก็แอบได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน พ่อบอกว่า พ่อขายดอกทานตะวันชุดนี้แล้ว พ่อจะต้องซื้อจักรยานให้ลูกๆอย่างที่บอกไว้ให้ได้ จะยังไงก็ต้องซื้อ พ่อจะทำให้ลูกต้องเสียใจอย่างนั้นอีกไม่ได้เป็นอันขาด เงินที่ขายแตงโมคราวก่อนก็ใช้หนี้เค้าไปหมดแล้ว คงจะพอมีเงินซื้อจักรยานให้ลูกได้
นู๋นิดเดินออกมาจากมุมมืด เข้าไปกอดพ่อไว้แน่น พ่อน้ำตาไหลออกมาอาบแก้มด้วยความดีใจ กอดนู๋นิดไว้แน่นราวกับกลัวว่านู๋นิดจะหายไปในดงดอกทานตะวัน