กฎ FFP ของยูฟ่า กับกฎข้อจำกัดทางการเงินของพรีเมียร์ลีก ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของลิเวอร์พูลหรือไม่?

กฎเพื่อความแฟร์ทางการเงิน (Financial fair play) ของยูฟ่า กับกฎข้อจำกัดทางการเงินของพรีเมียร์ลีก ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของลิเวอร์พูลหรือไม่?

ยากมากครับ

เอกสารทางการของทางยูฟ่าและพรีเมียร์ลีกที่พูดถึงเรื่องกฎการเงินทั้งสองนั้นยาวมาก (เกือบ 100 หน้าอะไรแบบนั้น) ทั้งยังมีการใช้ภาษาที่อ่านแล้วก็มึนๆ (โยงกลับไปกลับมา) ทำให้ผมขอออกตัวก่อนว่าในส่วนของกฎทั้งสองนี้ผมอ่านสรุปมาอีกที ซึ่งมันอาจจะตกลงรายละเอียดปลีกย่อยไปบ้าง ก็ขอรบกวนทุกท่านช่วยเสริมและเติมกันได้เต็มที่ครับ

เป็นอีกครั้งที่กฎของยูฟ่าเข้มงวดกว่าในขณะที่พรีเมียร์ลีกนั้นผ่อนปรนกว่า ของยูฟ่านั้นบังคับใช้กับทีมที่จะเข้าร่วมแชมเปี้ยนลีกซึ่งลิเวอร์พูลน่าจะต้องโดนบังคับด้วยแน่ๆ ในขณะที่ของพรีเมียร์ลีกนั้นก็บังคับใช้กับทีมในอังกฤษตั้งแต่ลีก 2 ขึ้นมายันพรีเมียร์ลีก แต่มีข้อบังคับที่แตกต่างกันออกไป

.
.

ของยูฟ่านั้นมีข้อจำกัดเดียว
1. ในช่วงการประเมิน* ทีมหนึ่งนั้นจะขาดทุนได้ไม่เกิน 30 ล้านยูโร และ ส่วนเกินมาจากการขาดทุน 5 ล้านยูโรทั้งหมดนั้นจะต้องถูกชดเชยโดยเงินของเจ้าของทีม โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านสนาม สนามซ้อม การลงทุนในบอลเยาวชน และ ฟุตบอลหญิงออกไปไม่นำมาคิดได้

เช่น ตัวเลขแสดงออกมาว่าขาดทุนไป 30 ล้านยูโรในช่วง 3 ปี เจ้าของทีมก็ต้องเอาเงินตัวเองมาอัดฉีดเข้าไปให้กับสโมสร 25 ล้านยูโรเป็นต้น

*การประเมินนั้นประเมินในทุกปีโดยจะตรวจสอบย้อนหลังไปรวมปีนั้นๆด้วยเป็นช่วง 3 ปี เช่นปี 2015-2016 2016-2017 และ 2017-2018
.
.

ในขณะที่พรีเมียร์ลีกนั้นมีสองส่วน
2.1 ในช่วงการประเมิน* ทีมหนึ่งจะขาดทุนได้ไม่เกิน 105 ล้านปอนด์ และ ส่วนเกินมาจากการขาดทุน 15 ล้านปอนด์ทั้งหมดนั้นจะต้องถูกชดเชยโดยเจ้าของทีม โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านสนาม สนามซ้อม การลงทุนในบอลเยาวชน และ ฟุตบอลหญิงออกไปไม่นำมาคิดได้

2.2 ปีที่ประเมินนั้นค่าเหนื่อยของนักเตะเกิน 74 ล้านปอนด์หรือไม่? ถ้าหากไม่เกินก็ไม่จำเป็นต้องสนใจข้อนี้ ถ้าหากเกินสโมสรจำเป็นต้องเลือกวิธีประเมินหนึ่งในสองดังต่อไปนี้เพื่อประเมินสโมสรตนเอง

2.2.1 สโมสรมีค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นจากปี 2012-2013 ไม่เกิน 26 ล้านปอนด์ ถ้าหากเกิน สโมสรต้องชี้แจงให้ได้ว่าส่วนที่เกินมานั้นสามารถชดเชยได้ด้วยรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นของสโมสร**

2.2.2 สโมสรมีค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ไม่เกิน 7 ล้านปอนด์ ถ้าหากเกิน สโมสรต้องชี้แจงให้ได้ว่าส่วนที่เกินมานั้นสามารถชดเชยได้ด้วยรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นของสโมสร**

**รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ต้องเกิดจากการขายนักเตะ สปอนเซอร์ รายได้จากวันแข่ง รายได้เงินรางวัลจากยูฟ่า โดยตัดเงินค่าลิขสิทธิ์โทรทัศน์ของพรีเมียร์ลีกออกไปไม่เอามารวมด้วย
.
.

กำไรขาดทุนของลิเวอร์พูลในช่วงหลังเป็นดังนี้ครับ
2013-2014: +0.9 ล้านปอนด์
(กำไรครั้งแรกในรอบ 7 ปี ซื้อนักเตะติดลบ 20 ล้านปอนด์)
2014-2015: +60 ล้านปอนด์
(ไปแชมเปี้ยนลีก ซื้อนักเตะติดลบ 40 ล้านปอนด์)
2015-2016: -19.8 ล้านปอนด์
(เข้าชิงยูโรป้า ปลดร็อดเจอร์ ซื้อนักเตะติดลบ 30 ล้านปอนด์)
2016-2017: ประกาศเดือนมีนาคมปี 2018
(ดีลทีวีใหม่ ซื้อขายนักเตะเป็นบวก 6-10 ล้าน)
2017-2018: ประกาศเดือนมีนาคมปี 2019
(แต่ต้องส่งเอกสารคาดการณ์ให้แก่ยูฟ่าและพรีเมียร์ลีกเพื่อประเมิน ในช่วงปี 2018)

ปีที่สำคัญที่ต้องนำมาร่วมประเมินคือ 2017-2018, 2016-2017, 2015-2016

มันจะประเมินได้ยากมากๆในเรื่องของค่าใช้จ่ายของสโมสรเนื่องจากค่าใช้จ่ายอย่างในเรื่องค่าตัวนักเตะ สโมสรก็จะทยอยตัดบัญชี เช่น ซาลาห์ (หรือเซาะลาห์) มีมูลค่า 40 ล้านปอนด์ มีสัญญา 5 ปี ก็จะทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายของสโมสรปีละ 8 ล้าน

อย่างปี 2015-2016 นั้นสโมสรมีการนำเข้านักเตะมูลค่ารวมราว 101 ล้านปอนด์ แต่มีค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวเพียง 64 ล้านปอนด์ (ซึ่งเราไม่รู้ว่ามีนักเตะคนใดบ้างที่สโมสรเอามาคิดค่าใช้จ่ายนี้ เพราะมันมีนักเตะที่เซ็นเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วคอยทยอยตีเป็นค่าใช้จ่ายด้วย) เอาเป็นว่าถึงแม้จะซื้อนักเตะมูลค่ารวมกว่า 200-300 ล้านจริง ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ (ตีว่า 200 ล้าน สัญญา 5 ปี) ก็อยู่ที่ราว 40 ล้านเท่านั้น
.
.

ปี 2015-2016 นั้นไม่มีปัญหาเพราะว่าเรามีตัวเลขขาดทุนของสโมสรแล้ว ส่วนปี 2016-2017 ที่จบไปแล้วนั้นเรายังไม่มีข้อมูล ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าถ้าปีปีนึงนั้นไม่มีอะไรเป็นเงื่อนไขพิเศษเข้ามา (เช่นไปเตะแชมเปี้ยนลีกหรืออะไรแบบนั้น) สโมสรก็น่าจะทำกำไรขาดทุนได้ใกล้เคียงกับปี 2013-2014

ปีที่ผ่านมาเรามีดีลทีวีใหม่รายได้เพิ่มจากเดิมราว 40-50 ล้านปอนด์ เราซื้อขายนักเตะเป็นบวก เราไม่ได้ใช้จ่ายเพื่อยกเลิกสัญญาใคร ผมคิดว่าอย่างน้อยๆ ปี 2016-2017 ก็น่าจะกำไรแน่ๆ อาจจะในระดับ 40-50 ก็มีความเป็นไปได้

ยูฟ่าให้เราขาดทุนได้ตามกฎที่ 5 ล้านยูโร (กรณีมองว่าเสี่ยเฮนรี่ไม่อยากควักแม้แต่แดงเดียว) ทำให้ลิเวอร์พูลยังทำบัญชีติดลบในปี 2017-2018 ได้อีกราว 20 ล้าน (เอาติดลบ 20 ล้านของปี 2015-2016 + กำไร 40 ล้าน ที่คาดการณ์ในปี 2016-2017)

จากที่กล่าวไปว่าการซื้อนักเตะ 200 ล้านทำให้เราจะมีค่าใช้จ่ายราว 40 ล้านทางบัญชี การที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากดีลทีวีพรีเมียร์ลีกนั้นก็หักลบกลบหนี้กันไปหมด (ยังไม่รวมส่วนของค่าเหนื่อย)

ทำให้พอประมาณหรือคาดการณ์ได้ว่าสโมสรไม่น่ามีปัญหากับกฎของ ยูฟ่า และไม่จำเป็นต้องพิจารณากฎการเงินข้อแรกของพรีเมียร์ลีกอีก
.
.

ในส่วนของกฎข้อที่ 2 ของพรีเมียร์ลีกนี้นั้น แน่นอนว่าลิเวอร์พูลมีค่าเหนื่อยเกินจาก 74 ล้านปอนด์แน่ๆ และคาดกันว่าน่าจะอยู่ที่ราวๆ 150-160 ล้านปอนด์ หลังจากที่ปล่อยบาโลเตลลี่ออกไปจากทีม โดยบัญชีสโมสรปี 2015-2016 ลงว่า 185 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากปี 2014-2015 ที่จ่ายอยู่ที่ 145 ล้านปอนด์ แต่ค่าเหนื่อยในส่วนนี้นั้นรวมไปถึงทุกฝ่ายในสโมสร ผมไม่มั่นใจแต่คาดว่าตัวเลขนี้ยังไม่ใช่ตัวเลขที่นำไปใช้กับทางกฎของพรีเมียร์ลีกโดยตรง (อาจจะหักทีมงานแม่บ้าน คนดูแลสนาม หรือผู้บริหารออกไปอะไรทำนองนั้นครับ คือที่ค่าเหนื่อยส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาก็เพราะว่าลิเวอร์พูลเองจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นถึงราว 70 รายในปีก่อน)

แต่ค่าเหนื่อยเก่าจะมีตัวเลขเท่าไหร่ สิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญคือ มันจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกินกว่า 7 ล้านปอนด์หรือไม่?

ตอบ: เกินแน่นอนครับ ซึ่งมันเป็นปัญหาที่อาเซนอลน่าจะกำลังประสบปัญหาในฤดูกาลหน้าที่รายได้ของเขาจะลดลงเนื่องจากไม่ได้เตะแชมเปี้ยนลีก อีกทั้งยังไม่สามารถคิดหาวิธีที่จะหาเงินเพิ่มได้
.
.

ว่าแต่ทำไมค่าเหนื่อยลิเวอร์พูลถึงจะเกินแน่นอน?

เรามีดีลค่าเหนื่อยที่จะปรับใช้ใหม่ในฤดูกาลหน้าไปแล้วทั้งสิ้น 4 รายหลักๆ (ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) คือ
1. โจ โกเมซ เดิมรับอยู่ที่ราว 10,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเซ็นใหม่ครั้งนี้ก็น่าจะได้เพิ่มขึ้นอีกราว 10,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
2. เดยัน ลอฟเรน เดิมรับอยู่ราว 65,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเซ็นใหม่รอบนี้จะได้เพิ่มขึ้นอีกราว 35,000 ปอนต่อสัปดาห์
3. คูตินโญ่ เดิมรับอยู่ราว 75,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ทำให้จะได้รับเพิ่มขึ้นอีกราว 75,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
4. มูฮาหมัด เซาะลาห์ นักเตะหน้าใหม่ที่จะรับค่าเหนื่อยที่ 90,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

(เขียนแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืม โชลังเก้ด้วยครับ 😂😂😂 เอาเป็นว่าเอา 4 คนไปก่อน)

เราจะมีค่าใช้จ่ายด้านค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นทั้งสิ้นราว 10 ล้านปอนด์ (อ้าวเกินแล้วนี่!)
.
.

ยังไม่จบครับสมมติว่าเรามีการเซ็นสัญญาใหม่อีกคร่าวๆประมาณนี้
1. เคอิต้า เนื่องจากเป็นดีลระดับ 70 ล้านปอนด์ ผมขอประเมินสูงๆไว้ก่อนที่ราวๆ 100,000-150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
2. ฟานไดจก์ เนื่องจากเป็นดีลระดับ 70 ล้านปอนด์เช่นกัน ผมขอประเมินในระดับเดียวกัน (ซึ่งน่าจะต้องสูงกว่าลอฟเรน) ที่ 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
3. แบ็คซ้าย ใครไม่รู้สักคนหนึ่ง ส่วนตัวแล้วผมคาดว่าเป็นนักเตะที่ไม่ใช่ระดับท็อปมาก และน่าจะเป็นระดับดาวรุ่งเฉยๆ ผมประเมินที่ราวๆ 40,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์แบบเผื่อๆไว้ครับ
4. สมมติแชมเบอร์เลนย้ายมาอีกคนนึง เดิมแชมเบอร์เลนได้อยู่ที่ 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และคงไม่ได้เยอะกว่าเซาะลาห์แน่ๆ แต่คงได้มากขึ้นกว่าเดิม เลยขอเป็นที่ราวๆ 70,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ครับ
5. สมมติชานเกิดต่อสัญญาขึ้นมาแล้วบังคับใช้เลยในฤดูกาลนี้ โดยที่ค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นราว 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์มารับที่ 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

แล้วสมมติว่าไม่มีคนย้ายออกเลย (ซึ่งถ้าตามดูโพสต์เก่าๆ ในกรณีที่เสริม 5 คนนั้นลิเวอร์พูลจะต้องปล่อยนักเตะออก ไม่รวมนักเตะอย่าง ซาโก้ มาโควิช ลูคัส โมเรโน่ หรือ สจ๊วต เพิ่มอีก 2 คน) เราจะต้องจ่ายค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 24 ล้านปอนด์ในกรณีเลวร้ายที่สุด
.
.

ทำให้รวมทั้งสิ้นแล้ว จากการประเมินกรณีเลวร้ายสุดๆ เราจะมีค่าใช้จ่ายทางด้านค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นที่ราว 34 ล้านปอนด์ในปีหน้า

อ้าวแล้วทำยังไง? แบบนี้มันผิดกฎการเงินของพรีเมียร์ลีกนี่!

ยังครับ เพราะพรีเมียร์ลีกเปิดช่องไว้ครับว่าค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นมาจากส่วน 7 ล้านปอนด์นั้น (27 ล้านปอนด์) สโมสรสามารถจ่ายได้ด้วยรายได้ของสโมสรที่เพิ่มขึ้น
.
.

เรามีรายได้อะไรที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วบ้าง?

เราจะได้เงินจากแชมเปี้ยนลีกครับ ถ้าหากทีมสามารถเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้เป็นอย่างน้อย และสมมติประเมินขั้นต่ำเลยคือตกรอบแบ่งกลุ่ม เราจะได้เงินที่ราวๆ 30-40 ล้านปอนด์ (ตีว่าเท่าๆกับปี 2014-2015 ซึ่งเงินรางวัลนี้มีมูลค่าเท่าๆกับการเข้าชิงยูโรป้าลีกในปี 2015-2016) ซึ่งก็จะเห็นว่าเราหลบหลีกจากกฎดังกล่าวไปได้

ทั้งเราน่าจะยังมีดีลสปอนเซอร์ที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการลงเตะที่เพิ่มขึ้นอื่นๆอีก

ทำให้สามารถมองอย่างคร่าวๆได้ว่า ลิเวอร์พูลจะไม่มีปัญหากับกฎการเงิน แม้จะใช้จ่ายในซัมเมอร์ในระดับ 200-300 ล้านปอนด์เพื่อนำเข้านักเตะเข้ามาก็ตามครับ

ป.ล. ยาวมากเลยครับ ถ้าหากขาดตกบกพร่องตรงไหน ทุกท่านแนะนำได้เลยนะครับ
ป.ล.2 คนมีตังค์!
ป.ล.3 สามารถติดตามกันเพิ่มเติมได้ที่ https://facebook.com/scousebastard/ ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่