ทริปแล่นเรือใบมหาสมุทรแอตแลนติก (โปรตุเกส) จาก Lisbon ไปหมู่เกาะ Madeira


**photo credit http://www.guiageo-portugal.com/english/map.htm

ก่อนเริ่มเล่าถึงการเดินทางทริปนี้ ขอย้อนความหลังไปเพื่อให้เราได้รู้จักกันมากขึ้นนะคะ เมื่อหลายปีก่อนสามีและดิฉันวางแผนเดินเรือรอบโลกโดยกำหนดเวลาคร่าวๆ ไว้ 3 ปีโดยมีเรือคู่ใจคือ  Asalei เป็นเรือใบที่ออกแบบโดยชาวฝรั่งเศสชื่อ  Provin ตั้งแต่ปี 1991 ตัวเรือทำจากเหล็กกล้า หนัก 12 ตัน เราซื้อต่อมาจากเจ้าของคนแรกซึ่งเป็นชาวเยอรมันเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตั้งใจจะใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่บนเรือ

หลังจากเคลียร์งานและหน้าที่ทางบ้านได้แล้ว ดิฉันวางแผนพาสามีและเรือสุดที่รักไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันในเดือนมิถุนายน ประมาณ 3 อาทิตย์ โดยวางแผนเดินเรือล่องใต้จากเมืองหลวงของประเทศโปรตุเกสไปใต้สุดทวีปยุโรปแวะเที่ยว  Algarve, Portuguese Riviera หาเวลาเรียน free diving และทดลองเล่น SUP ที่วัยรุ่นแถวนี้เขาฮิตกัน แจว SUP ไปชมถ้ำ Benagil ก็น่าสนุกอยู่ อิอิอิ  

จากนั้นจะหันหัวเรือไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ผ่านอัฟริกาเหนือ ตรงไปยังหมู่เกาะมาเดร่า แหล่งท่องเที่ยวท็อปฮิตแห่งหนึ่งในยุโรป เป็น 1 ใน 4 หมู่เกาะของมหาสมุทรแอตแลนติกฝั่งนี้ ถึงแม้จะอยู่ละติจูดใกล้เคียงกับเมือง Casablanca ของโมร็อคโค แต่ก็เป็นเขตปกครองของโปรตุเกส รวมระยะทางประมาณ 650 ไมล์ทะเล.... แค่คิดก็ตื่นเต้นกับฮอลิเดย์ทริปนี้มากมาย
พอมาถึง Shipyard เห็นเรือแล้วถึงกับคิดในใจว่า ship หายแล้ว เรือยังซ่อมไม่เสร็จ อาซาเลแปรสภาพเป็นเรือ  open air ไม่มีหน้าต่างสักบาน ทำไงดีล่ะทีนี้ วีนแตกก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น สุดท้ายก็ต้องยอมรับสภาพรอวันเธอเสร็จฉันไป

เพื่ออรรถรสความสุขระหว่างรอ เราก็ปั่นจักรยานเที่ยว หาที่ซุกหัวนอนรายวันกันไปก่อน

โชคดีที่ซื้อจักรยานใหม่ติดเรือมาด้วย ได้ใช้ประโยชน์มาก ถึงมากที่สุด
รอนนหลายวันก็ปั่นข้ามฝั่งไปลิสบอนกันค่ะ

ทริปนี้เราเตร่กันแถวริมแม่น้ำค่ะ ไม่ได้เจาะลึกลิสบอนกันเพราะเดินทางกันมาทุกปี

สำรวจตลาด อิอิอิ

หุหุ เจอขวดนี้ในซุปเปอร์ เมืองท่องเที่ยวของไทยดังไปทั่วโลกจริงๆ

จนสุดท้ายดิฉันทนไม่ได้ เร่งจนรนรานกันไปทั้งบ่าวทั้งนาย วันที่ใช้เครนยกเรือลงน้ำช่างก็ยังเร่งทำงาน ติดหน้าต่างกันจนนาทีสุดท้าย
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ซิลิโคนยังไม่ทันแห้ง วัยรุ่นอย่างเราๆ ใจร้อนก็ออกเรือกันไปก่อนน้ำทะเลหนุน ถึง Oeiras marina ก่อนพลบค่ำพอดี เราเสียเวลารอกันไป 5 วันแต่ลมฟ้าอากาศกลับไม่รอเรา ช่วงเรือเสร็จคลื่นลมแรงพอดี อะไรจะแจ๊คพ็อตขนาดนั้น สุดท้ายต้องเปลี่ยนแผนทั้งหมดอีกครั้ง ตัดการเดินทางไป  algarve มุ่งตรงไปมหาสมุทรแอตแลนติกสู่หมู่เกาะมาเด-ร่า

เมื่อลมฟ้าอำนวยเราแล่นใบกันไปเมือง Sines ห่างจากลิสบอนไปทางตอนใต้ประมาณ 50 ไมล์ทะเล เป็นเมืองท่าเล็กๆ สำหรับหลบมรสุมหรือรอลม บรรยากาศโรแมนติกดีค่ะ

บรรยากาศยามพลบค่ำบริเวณมารีน่า

ท้องทะเลเขาอุดมสมบูรณ์จริงๆ ขนาดในมารีน่า ปลาน้อยใหญ่เวียนว่ายมาทักทายตลอด ปลาสองตัวนี้ว่ายด้วยครีบด้านบนแปลก สวยดีค่ะ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ช่วงนี้จนถึงตุลาคมเหมาะสำหรับเดินเรือจากประเทศตอนเหนือของยุโรปลงมาทางใต้ จุดหมายต่อไปคือเกาะPorto Santo ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ก่อนถึงเกาะมาเดร่า ห่างจากเมืองซีเนสไปประมาณ 470 ไมล์ทะเล ระยะทางพอๆ กับพัทลุง-กรุงเทพฯ แต่เราจะเดินทางกันไปด้วยความเร็วเท่าจักรยาน ตีเวลาเดินทางไว้ 4 วันกว่าๆ   ดิฉันอยู่รอลมกันนานหลายวันเพราะสามีเป็นคนเมาเรือ เจอคลื่นสูงทีไรสติสตังหายตลอด จนถึงวันดีเดย์ วันที่ 16 มิย. พยากรณ์บอกว่าคลื่นต่ำกว่า 3 เมตร แต่เป็นช่วงก่อตัวของลมมรสุม ฉะนั้นการเดินทางต้องเสี่ยงตรงที่เราต้องเดินเรือให้เร็วพอกับการก่อตัวของลมมรสุม จากแพทเทิร์นสภาพอากาศแล้วเราน่าจะติดอยู่ศูนย์กลางมรสุมคือไม่มีลมอยู่หนึ่งวัน คำนวณแล้วไม่เกิน 5 วันน่าจะถึงเกาะพอร์โต ซานโต้ กันแบบชิวๆ

เส้นทางเดินเรือ มีปรับเปลี่ยนจากนี้นิดหน่อยก่อนเดินทางค่ะ

พยากรณ์อากาศ

สองวันแรกไม่ชิวเท่าไหร่ คลื่นสูงมาก สภาพสามีเมาเรือ หน้าเขียว โอ๊กอ๊าก ส่งสายตาอ้อนวอนให้หันหัวเรือกลับไป Algarve แต่ดิฉันเป็นนางมารร้าย ใจดำ บีบบังคับให้สามีทน ปรับสภาพต่อไป

การเดินเรือช่วงกลางคืนเป็นอะไรที่ประทับใจมากค่ะ ได้นอนดูทางช้างเผือกเต็มตาอยู่หลายคืน เห็นแพลงตอนเรืองแสงเป็นทางยาวตามแนวกราบเรือและท้ายเรือ ขนาดเข้าส้วมชักโครกก็เพลินตาก็แพลงตอนสีเหลืองส้มละลานตา เสียดายที่ไม่สามารถเก็บภาพมาฝากกันได้ มีแต่ช่วงตะวันตกดินมาฝากกันค่ะ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ดิฉันอยู่เวรกะดึก 3 คืนติด สภาพที่หลับที่นอนก็ตามที่เห็นในรูป ...ยืนยันว่าได้นอนดูดาว ดูทางช้างเผือกอยู่หลายเพลา หัวเราะ


จนถึงวันที่สามของการเดินทาง เราเข้าสู่เขตมรสุมกันแล้ว เริ่มกันตั้งแต่เช้าเจอเมฆฝน ฟ้าผ่าจนต้องสตาร์ทเครื่องยนต์หนี หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่ศูนย์กลางของมรสุมกันแล้ว ไม่มีคลื่นลม น้ำเรียบเป็นแผ่นกระดาษเหมือนอยู่อีกโลกนึง สรุปวันนั้นต้องพึ่งมอเตอร์กันไปหลายชั่วโมง
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
กว่าจะปรับตัวกินอาหารกันได้ก็ปาเข้าไปวันที่สาม มื้อแรกจัดเป็นสปาร์เก็ตตี้ร้อนๆ ส่วนอาหารที่เตรียมไว้พวกพิซซ่า ข้าวสวย ไข่ต้ม เก็บมันไว้ให้ลึกในตู้เย็น ดูจากสภาพหน้าตาคนกินแล้วคงไม่ต้องบรรยายว่ารสชาติอาหารล้ำเลิศเพียงใด ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่