ก่อนอื่นเลย สวัสดีทุกคนๆนะะ ปีนี้เหมือนโชคหล่นทับได้มีโอกาสไปเที่ยวดินแดนแห่งความฝัน
ไปที่ ที่เราไม่เคยไป ไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บความทรงจำมาฝากเพื่อนๆกัน
พร้อมมินิรีวิวความประทับใจที่มีให้
King Power ว่าแล้วไม่รอช้าเริ่มบรรยาย...
ทริปนี้เป็นทริปในฝันที่ไม่คาดฝัน มันสนุกมากๆที่ได้ไปเที่ยวยุโรป- สวิสและอิตาลีกับแฟน 2 คน
ด้วยบุญบารมีที่ลูกช้าสะสมมา ส่งผลให้ลูกช้างชนะการแข่งขันได้ตั๋วฟรี (กรุงเทพ-มิลาน)
ลูกช้างไม่รอช้า เริ่มวางแพลนกันเลย เราสองคนตกลงกันว่าจะไป
สวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลี เป็นเวลา 10 วัน
วีซ่าพร้อม เอกสารพร้อม ที่พักพร้อม เงินพร้อม กระเป๋าพร้อมก็ลุยกัน !
หลังจากออกตม. มาแล้วก็เป็นนคร King Power มีทุกสิ่งอย่างจริงๆ พากันแทบล้มละลายก่อนออกนอกประเทศเบาๆ
ซื้อแล้วก็ไม่ต้องหอบของข้ามประเทศไปมา ถ้ายังไม่ได้ใช้ ก็บอกพี่พนักงานใจดี ฝากไว้กับเคาเตอร์ King Power ไว้ก่อน
ขากลับค่อยแวะเอาที่เคาเตอร์ใกล้ๆกับที่เอากระเป๋าเลยจ้าา
ช้อปง่ายๆ สะดวกสบายๆ ไม่ต้องกลัวของหาย ไว้ใจ King Power
เคสเรา คือ อยากจะบอกว่าที่ King Power คือถูกและของเยอะที่สุดแล้ว
ด้วยความโลภและคิดว่ายังไงต่างประเทศก็ต้องถูกกว่า มันก็ไม่เสมอไป เพราะมันมีขั้นต่ำว่ากี่บาทจะได้ Free tax
ของก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ให้เลือกได้ครบ สบายๆแบบนี้ คือดีย์ๆ อีกอย่างนึงคือ ขากลับกระเป๋าเราตียาวไปเชียงใหม่
แต่เราต้องไปรับของที่เคาเตอร์ King Power ที่ฝากไว้ก่อนออกประเทศ แล้วก็ต้องออกไปแล้วเข้า gate ใหม่เพื่อต่อเครื่อง
ตอนแรกก็กังวล จะทำยังไงกับของดี ไหนจะที่ซื้อเพิ่มตอนลงเครื่อง ไหนจะที่ฝากไว้
แต่ใจชื่นขึ้นมา เมื่อพนักงานบอกว่า "ไม่เป็นไรถ้าถุงซีลยังไม่ถูกเปิดค่ะ"
ปล. เราแกะซีลออกหมดแล้ว ของบางอย่างก็ใช้ไปแล้ว ใบเสร็จหลักฐานก็ไม่ได้เก็บไว้ T_T
เมื่อ 12 ชั่วโมงพาไป ... เครื่องแลนด์ดิ้งแตะพื้นสนามบินมัลเพนซา กรบมือให้กัปตันสิค่ะ รออะไรร
จากนั้นก็ลากกระเป๋านั่งต่อไปที่สถานีรถไฟมิลาน เพื่อนั่งรถไฟข้ามประเทศไปสวิสกัน เฮ้!
บรรยากาศข้างๆทาง บอกเราว่าตอนนี้กำลังเคลื่อนเข้าสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
เริ่มเห็นความสวยงามของธรรมชาติ อยากออกไปสูดอากาศให้เต็มปอดไปเลยยย !!!
ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟลูเซิร์นกันละนะ เราจะพักที่เมืองนี้ระหว่างอยู่สวิส
ปล. สวิสพาสอันเดียวไปทั่วเลยย ขึ้นรถลงเรือนั่งรถไฟ อันเดียวเอาอยู่ คุ้มมากๆ
บรรยากาศคือดีมาก อากาศก็ไม่หนาวเกินไป กำลังสบายๆ มีแค่เสื้อแจ็คเก็ตชิคๆตัวเดียวเกินพอ
นี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เราเลือกมาในช่วงต้นพฤษภาคม หิมะก็เริ่มละลายแต่ยังมีให้เห็นปะปลายบนยอดของภูเขา
บ้านเมืองที่แสนสงบ เต็มไปด้วยเสน่ห์รอให้เราไปค้นหา...
สะพานไม้ชื่อดังถือเป็นแลนด์มาร์คของลูเซิร์น มีชื่อว่า Kapellbrücke หรือ Chapel Bridge
แสงอาทิตย์ยามเช้าตบกระทบผิวน้ำสีฟ้าของทะเลสาบลูเซิร์น
และความสวยงามของเทือกเขาแอลป์ เป็นความสวยงามที่ยากจะพรรณา
ย่านนี้ถือเป็นย่านshopping ที่สายช้อปไม่ควรพลาด เดินเพลินๆกับร้านค้าชั้นนำ
ช็อคโกแลตรสเลิศ นาฬิกาของขึ้นชื่อ และสินค้ามากมาย ระวังเงินในกระเป๋าตังค์ให้ดีน้าาาาา
ที่นี่ขั้นต่ำหนึ่งหมื่นบาท/ใบเสร็จ Free tax นะ #สายแชะฝากบอกสายช้อป
ตลาดตอนเช้าอยู่เรียบฝังของทะเลสาบลูลูเซิร์น หรือจะพูดได้ว่าแถวๆสะพานไม้ Chapel Bridge
ผักสด ผลไม้ลูกโตๆ ราคาถูกกว่าใน Coops (Supermarket)
แลนด์มาร์คที่สอง Dying Lion of Lucerne Monument (อนุสาวรีย์สิงโต)
ตั้งอยู่ในสวน Gletschergarten (Glacier Garden)
สัญลักษณ์แห่งความกล้าของทหารสวิส ที่เสียสละชีวิตปกป้องนาย
ส่งท้ายด้วยภาพพระอาทิตย์ล้าลับขอบฟ้าไปแล้ว
ช่วงที่เราไป เป็นช่วงเวลานี้กลางวันยาวกว่าตอนกลางคืน กว่าจะมืดก็3-4ทุ่ม เที่ยวยาวๆได้สบายทั้งวัน
เมืองหลวงและตั้งอยู่ใจกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แลนด์มาร์คของเมืองนี้ แน่นนอนว่าต้องเป็น หอนาฬิกา Zytglogge-Fuhrung
โบสถ์นี้ตั้งอยู่ระหว่างถนน Munstergasse เป็นโบสถ์ประจำเมือง
ต้องจ่ายค่าผ่านด่าน 10ยูโร (380 บาท) เดินขึ้นบันไดวนแคบๆเล็กๆ ประมาณ 200กว่าขั้น
เห็นวิวสวยๆ ลืมเหนื่อยไปเลยจ้าา
วันอาทิตย์ส่วนใหญ่เป็นวันพักผ่อน ร้านค้าต่างๆไม่ค่อยเปิด
อาจจะเศร้านิดหน่อย แต่ได้มาเห็นบรรยากาศ สถาปัตยกรรม ก็ถือว่าคุ้มมากแล้ว
ระหว่างทางไป-กลับเบิร์น ก็จะมีแวะเปลี่ยนสายรถไฟที่ Interlaken
วิวจากข้างหน้าต่างระหว่างการเดินทาง
รู้สึกเหมือนอยู่ในตกอยู่ในภวังค์
สีของต้นไม้ใบไม้ บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของมัน
ซูริคเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แลนด์มาร์คที่โดดเด่นก็จะเป็นโบสถ์ฟราวมุนสเตอร์ (Fraumunster), หอนาฬิกาแห่งโบสถ์เซนต์ ปีเตอร์ (St. Peter),
โบสถ์หอคอยคู่กรอสมุนเตอร์ (Grossmunster), ถนนบานโฮฟซตราสเซอ (Bahnhofstrasse)
เป็นแหล่ง shopping ระดับพรีเมียม มีสินค้า Brand name หลากหลาย
ตั้งสติให้มั่น ระวังล้มละลายนะจ้าาา #สายแชะฝากบอกสายช้อป
ขึ้นไปสูญอากาศบริสูญบนยอดเขาริกิ
ขึ้นเรือที่ท่าเรือตรงข้ามกับสถานีรถไฟลูเซิร์น นั่งชมวิวทะเลสาปลูเซิร์น แล้วไปลงท่าเรือเมือง Vitznau
เพื่อขึ้นกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขากันจ้าา สวยเกินคำบรรยาย หาที่ไหนไม่ได้แล้ว ควรค่าแก่การมาจริงๆ
บรรยายกาศเป็นใจขอชักภาพสวีทนิดนึงน้าา ^.^
ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปที่ประเทศนี้อีก รู้สึกตกหลุมรัก
อ่านตำราท่องเที่ยวเขียนสนุกเท่าไหร่ มันก็ไม่เหมือนกับการได้ไปเห็นของจริง
ไปสวิสอย่าลืมซื้อน้ำ Evian ดื่มนะ ถูกมาก อิอิ
ย้ายฐานทัพจ้าา มาต่อกันที่อิตาลี !!!!
อากาศที่อิตาลีจะร้อนกว่าที่สวิส เสื้อแจ็คเก็ตที่เคยใส่ ก็ต้องถอดใส่กระเป๋า ร้อนมากค่ะพี่ชาย
พักกันต่อที่เมืองนี้ จากนั้นเราจะมูฟกันไปที่มิลาน 2 วันสุดท้ายก่อนกลับจ้าา
แลนด์มาร์คสุดฮอต ที่ใครมาฟลอเรนซ์ต้องไม่พลาดมาที่นี่ "จัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม "
เมืองฟลอเรนซ์ อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอิตาลี
ปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมากเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยนะ
พลาด1 จริงๆ เมืองนี้มีที่เที่ยวอีกเยอะเลย แต่แพลนเราค่อนข้างแน่น เลยไม่ค่อยได้เที่ยวที่นี่เท่าไหร่ T_T
เขาว่ากันว่า เวนิส เป็นจุดหมายปลายทางสุดโรแมนติก แห่งแคว้นเวเนโต หนึ่งในเมืองมรดกโลก
เรือกอนโดลา ถือเป็นสัญลักษณ์ของเวนิส แต่ด้วยราคาที่แพงหูฉีก หนูไม่สู้ หนูของชมก็พอ
ที่นี่มีทั้งแหล่งช็อปปิ้งที่ใหญ่มากและขุมสมบัติแห่งสถาปัตยกรรมโบราณ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวอย่างมาก
ปล. อิตาลีซื้อของ 5พัน จะได้ Free Tax #สายแชะฝากบอกสายช้อป
หอเอนเมืองปิซ่า หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ทุกคนต่างก็เรียกหอระฆังทรงกระบอกนี้ว่า "หอเอนปิซ่า"
ที่นี่ยังมีมหาวิหารปิซ่า และสนามหญ้าเขียวชอุ่มของจัตุรัสแห่งนี้
ใช้เวลาไม่นานเลย แค่ครึ่งวันก็พอ อย่าพลาดมาเยือนกันนะ !
กรุงโรมเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี
ปล. ที่นี่เดินถึงกันนะ แต่ไกลมาก ซื้อตั๋ว Roma pass ที่ร้านขายบุหรี่เอา ประหยัดเวลากว่าเยอะเลย
โคลโลเซียม ก็เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในสมัยโบราณ
สำหรับทริคเล็กของคนที่อยากเข้าโคโลเซียม ให้ไปซื้อตั๋วที่โรมันฟอรั่ม
ต่อคิวซื้อแป๊ปเดียว ละก็เดินไปเข้าโคโลเซียมที่อยู่ใกล้ๆกันได้เลย
ถ้าต่อคิวที่โคโลเซียมรอนานแน่นอน 1 ชม. ต่ำๆต้องมีอ่ะ
น้ำพุเทรวี Trevi Fountain สวยสมคำล่ำลือจริงๆ แต่บริเวณนี้ต้องระวังกระเป๋านะคะ โจรชุกกว่ายุงอีกนะ
จัตุรัสนาโวนา ลานกว้างๆ นั่งกินลมชมวิวเพลินจิตเพลินใจ
ถนนช็อปปิ้ง Via Condotti ละลานตาไปหมด คุณผู้ชายต้องยอมสยบให้กับถนนช้อปสายนี้
จับมือกันให้แน่น แล้วเดินเข้าร้านเลยจ้าา อ้าวๆ ไม่ใช่ รักกันต้องเตือนสติกัน 55555
มิลาน (Milan) หรือที่คนอิตาเลียนเรียกว่า มิลาโน่ (Milano) เป็นเมืองหลวงทางแฟชั่นของโลก
มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano) แลนด์มาร์คที่โดดเด่นสะดุดตา
ปล. ต้องระวังตัวและทรัพย์สินดีดีนะ มีพวกคนขายอาหารนก ขายของเยอะมาก ชอบเดินเข้ามาหาใกล้ๆ น่ากลัว
ช่วงบ่ายวันนั้น มีบอลแมทช์สุดท้ายของฤดูกาลที่สนาม ซานซิโร่ ระหว่าง เอซี มิลาน vs โบโลญญ่า
แน่นอนว่าคอลบอลต้องไม่พลาด แฮปปี้ไปตามระเบียบจ้า !!
ลากันด้วยเจลาโต้ของขึ้นชื่อของอิตาลี โนสน โนแคร์ น้ำหนักใดๆทั้งสิ้น
ลืมบอกก!! ทริปนี้ตกคนละ 63,000 บาท รวมทุกอย่างยกเว้น ช้อปปิ้งและเครื่องบิน(BKK-MXP)
จบทริปแล้วจ้าา ทริปนี้สนุกมากๆๆ ใครมีโอกาสต้องลองไปนะ แล้วจะหลงรัก ขอบคุณที่ติดตามนะ
ใครคำถามอะไรถามมาได้เลยน้าา จะช่วยตอบ ถ้าตอบได้
[CR] #สายแชะ ทริปฝันนี้ที่ยุโรป และของที่โดนใจจาก King Power
ไปที่ ที่เราไม่เคยไป ไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บความทรงจำมาฝากเพื่อนๆกัน
พร้อมมินิรีวิวความประทับใจที่มีให้ King Power ว่าแล้วไม่รอช้าเริ่มบรรยาย...
ทริปนี้เป็นทริปในฝันที่ไม่คาดฝัน มันสนุกมากๆที่ได้ไปเที่ยวยุโรป- สวิสและอิตาลีกับแฟน 2 คน
ด้วยบุญบารมีที่ลูกช้าสะสมมา ส่งผลให้ลูกช้างชนะการแข่งขันได้ตั๋วฟรี (กรุงเทพ-มิลาน)
ลูกช้างไม่รอช้า เริ่มวางแพลนกันเลย เราสองคนตกลงกันว่าจะไปสวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลี เป็นเวลา 10 วัน
วีซ่าพร้อม เอกสารพร้อม ที่พักพร้อม เงินพร้อม กระเป๋าพร้อมก็ลุยกัน !
หลังจากออกตม. มาแล้วก็เป็นนคร King Power มีทุกสิ่งอย่างจริงๆ พากันแทบล้มละลายก่อนออกนอกประเทศเบาๆ
ซื้อแล้วก็ไม่ต้องหอบของข้ามประเทศไปมา ถ้ายังไม่ได้ใช้ ก็บอกพี่พนักงานใจดี ฝากไว้กับเคาเตอร์ King Power ไว้ก่อน
ขากลับค่อยแวะเอาที่เคาเตอร์ใกล้ๆกับที่เอากระเป๋าเลยจ้าา
ช้อปง่ายๆ สะดวกสบายๆ ไม่ต้องกลัวของหาย ไว้ใจ King Power
เคสเรา คือ อยากจะบอกว่าที่ King Power คือถูกและของเยอะที่สุดแล้ว
ด้วยความโลภและคิดว่ายังไงต่างประเทศก็ต้องถูกกว่า มันก็ไม่เสมอไป เพราะมันมีขั้นต่ำว่ากี่บาทจะได้ Free tax
ของก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ให้เลือกได้ครบ สบายๆแบบนี้ คือดีย์ๆ อีกอย่างนึงคือ ขากลับกระเป๋าเราตียาวไปเชียงใหม่
แต่เราต้องไปรับของที่เคาเตอร์ King Power ที่ฝากไว้ก่อนออกประเทศ แล้วก็ต้องออกไปแล้วเข้า gate ใหม่เพื่อต่อเครื่อง
ตอนแรกก็กังวล จะทำยังไงกับของดี ไหนจะที่ซื้อเพิ่มตอนลงเครื่อง ไหนจะที่ฝากไว้
แต่ใจชื่นขึ้นมา เมื่อพนักงานบอกว่า "ไม่เป็นไรถ้าถุงซีลยังไม่ถูกเปิดค่ะ"
ปล. เราแกะซีลออกหมดแล้ว ของบางอย่างก็ใช้ไปแล้ว ใบเสร็จหลักฐานก็ไม่ได้เก็บไว้ T_T
เมื่อ 12 ชั่วโมงพาไป ... เครื่องแลนด์ดิ้งแตะพื้นสนามบินมัลเพนซา กรบมือให้กัปตันสิค่ะ รออะไรร
จากนั้นก็ลากกระเป๋านั่งต่อไปที่สถานีรถไฟมิลาน เพื่อนั่งรถไฟข้ามประเทศไปสวิสกัน เฮ้!
บรรยากาศข้างๆทาง บอกเราว่าตอนนี้กำลังเคลื่อนเข้าสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
เริ่มเห็นความสวยงามของธรรมชาติ อยากออกไปสูดอากาศให้เต็มปอดไปเลยยย !!!
ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟลูเซิร์นกันละนะ เราจะพักที่เมืองนี้ระหว่างอยู่สวิส
ปล. สวิสพาสอันเดียวไปทั่วเลยย ขึ้นรถลงเรือนั่งรถไฟ อันเดียวเอาอยู่ คุ้มมากๆ
บรรยากาศคือดีมาก อากาศก็ไม่หนาวเกินไป กำลังสบายๆ มีแค่เสื้อแจ็คเก็ตชิคๆตัวเดียวเกินพอ
นี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เราเลือกมาในช่วงต้นพฤษภาคม หิมะก็เริ่มละลายแต่ยังมีให้เห็นปะปลายบนยอดของภูเขา
บ้านเมืองที่แสนสงบ เต็มไปด้วยเสน่ห์รอให้เราไปค้นหา...
สะพานไม้ชื่อดังถือเป็นแลนด์มาร์คของลูเซิร์น มีชื่อว่า Kapellbrücke หรือ Chapel Bridge
แสงอาทิตย์ยามเช้าตบกระทบผิวน้ำสีฟ้าของทะเลสาบลูเซิร์น
และความสวยงามของเทือกเขาแอลป์ เป็นความสวยงามที่ยากจะพรรณา
ย่านนี้ถือเป็นย่านshopping ที่สายช้อปไม่ควรพลาด เดินเพลินๆกับร้านค้าชั้นนำ
ช็อคโกแลตรสเลิศ นาฬิกาของขึ้นชื่อ และสินค้ามากมาย ระวังเงินในกระเป๋าตังค์ให้ดีน้าาาาา
ที่นี่ขั้นต่ำหนึ่งหมื่นบาท/ใบเสร็จ Free tax นะ #สายแชะฝากบอกสายช้อป
ตลาดตอนเช้าอยู่เรียบฝังของทะเลสาบลูลูเซิร์น หรือจะพูดได้ว่าแถวๆสะพานไม้ Chapel Bridge
ผักสด ผลไม้ลูกโตๆ ราคาถูกกว่าใน Coops (Supermarket)
แลนด์มาร์คที่สอง Dying Lion of Lucerne Monument (อนุสาวรีย์สิงโต)
ตั้งอยู่ในสวน Gletschergarten (Glacier Garden)
สัญลักษณ์แห่งความกล้าของทหารสวิส ที่เสียสละชีวิตปกป้องนาย
ส่งท้ายด้วยภาพพระอาทิตย์ล้าลับขอบฟ้าไปแล้ว
ช่วงที่เราไป เป็นช่วงเวลานี้กลางวันยาวกว่าตอนกลางคืน กว่าจะมืดก็3-4ทุ่ม เที่ยวยาวๆได้สบายทั้งวัน
แลนด์มาร์คของเมืองนี้ แน่นนอนว่าต้องเป็น หอนาฬิกา Zytglogge-Fuhrung
โบสถ์นี้ตั้งอยู่ระหว่างถนน Munstergasse เป็นโบสถ์ประจำเมือง
ต้องจ่ายค่าผ่านด่าน 10ยูโร (380 บาท) เดินขึ้นบันไดวนแคบๆเล็กๆ ประมาณ 200กว่าขั้น
เห็นวิวสวยๆ ลืมเหนื่อยไปเลยจ้าา
วันอาทิตย์ส่วนใหญ่เป็นวันพักผ่อน ร้านค้าต่างๆไม่ค่อยเปิด
อาจจะเศร้านิดหน่อย แต่ได้มาเห็นบรรยากาศ สถาปัตยกรรม ก็ถือว่าคุ้มมากแล้ว
ระหว่างทางไป-กลับเบิร์น ก็จะมีแวะเปลี่ยนสายรถไฟที่ Interlaken
วิวจากข้างหน้าต่างระหว่างการเดินทาง
รู้สึกเหมือนอยู่ในตกอยู่ในภวังค์
สีของต้นไม้ใบไม้ บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของมัน
ซูริคเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แลนด์มาร์คที่โดดเด่นก็จะเป็นโบสถ์ฟราวมุนสเตอร์ (Fraumunster), หอนาฬิกาแห่งโบสถ์เซนต์ ปีเตอร์ (St. Peter),
โบสถ์หอคอยคู่กรอสมุนเตอร์ (Grossmunster), ถนนบานโฮฟซตราสเซอ (Bahnhofstrasse)
เป็นแหล่ง shopping ระดับพรีเมียม มีสินค้า Brand name หลากหลาย
ตั้งสติให้มั่น ระวังล้มละลายนะจ้าาา #สายแชะฝากบอกสายช้อป
ขึ้นไปสูญอากาศบริสูญบนยอดเขาริกิ
ขึ้นเรือที่ท่าเรือตรงข้ามกับสถานีรถไฟลูเซิร์น นั่งชมวิวทะเลสาปลูเซิร์น แล้วไปลงท่าเรือเมือง Vitznau
เพื่อขึ้นกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขากันจ้าา สวยเกินคำบรรยาย หาที่ไหนไม่ได้แล้ว ควรค่าแก่การมาจริงๆ
บรรยายกาศเป็นใจขอชักภาพสวีทนิดนึงน้าา ^.^
ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปที่ประเทศนี้อีก รู้สึกตกหลุมรัก
อ่านตำราท่องเที่ยวเขียนสนุกเท่าไหร่ มันก็ไม่เหมือนกับการได้ไปเห็นของจริง
ไปสวิสอย่าลืมซื้อน้ำ Evian ดื่มนะ ถูกมาก อิอิ
ย้ายฐานทัพจ้าา มาต่อกันที่อิตาลี !!!!
อากาศที่อิตาลีจะร้อนกว่าที่สวิส เสื้อแจ็คเก็ตที่เคยใส่ ก็ต้องถอดใส่กระเป๋า ร้อนมากค่ะพี่ชาย
พักกันต่อที่เมืองนี้ จากนั้นเราจะมูฟกันไปที่มิลาน 2 วันสุดท้ายก่อนกลับจ้าา
แลนด์มาร์คสุดฮอต ที่ใครมาฟลอเรนซ์ต้องไม่พลาดมาที่นี่ "จัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม "
เมืองฟลอเรนซ์ อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอิตาลี
ปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมากเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยนะ
พลาด1 จริงๆ เมืองนี้มีที่เที่ยวอีกเยอะเลย แต่แพลนเราค่อนข้างแน่น เลยไม่ค่อยได้เที่ยวที่นี่เท่าไหร่ T_T
เขาว่ากันว่า เวนิส เป็นจุดหมายปลายทางสุดโรแมนติก แห่งแคว้นเวเนโต หนึ่งในเมืองมรดกโลก
เรือกอนโดลา ถือเป็นสัญลักษณ์ของเวนิส แต่ด้วยราคาที่แพงหูฉีก หนูไม่สู้ หนูของชมก็พอ
ที่นี่มีทั้งแหล่งช็อปปิ้งที่ใหญ่มากและขุมสมบัติแห่งสถาปัตยกรรมโบราณ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวอย่างมาก
ปล. อิตาลีซื้อของ 5พัน จะได้ Free Tax #สายแชะฝากบอกสายช้อป
หอเอนเมืองปิซ่า หนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ทุกคนต่างก็เรียกหอระฆังทรงกระบอกนี้ว่า "หอเอนปิซ่า"
ที่นี่ยังมีมหาวิหารปิซ่า และสนามหญ้าเขียวชอุ่มของจัตุรัสแห่งนี้
ใช้เวลาไม่นานเลย แค่ครึ่งวันก็พอ อย่าพลาดมาเยือนกันนะ !
กรุงโรมเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี
ปล. ที่นี่เดินถึงกันนะ แต่ไกลมาก ซื้อตั๋ว Roma pass ที่ร้านขายบุหรี่เอา ประหยัดเวลากว่าเยอะเลย
โคลโลเซียม ก็เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในสมัยโบราณ
สำหรับทริคเล็กของคนที่อยากเข้าโคโลเซียม ให้ไปซื้อตั๋วที่โรมันฟอรั่ม
ต่อคิวซื้อแป๊ปเดียว ละก็เดินไปเข้าโคโลเซียมที่อยู่ใกล้ๆกันได้เลย
ถ้าต่อคิวที่โคโลเซียมรอนานแน่นอน 1 ชม. ต่ำๆต้องมีอ่ะ
น้ำพุเทรวี Trevi Fountain สวยสมคำล่ำลือจริงๆ แต่บริเวณนี้ต้องระวังกระเป๋านะคะ โจรชุกกว่ายุงอีกนะ
จัตุรัสนาโวนา ลานกว้างๆ นั่งกินลมชมวิวเพลินจิตเพลินใจ
ถนนช็อปปิ้ง Via Condotti ละลานตาไปหมด คุณผู้ชายต้องยอมสยบให้กับถนนช้อปสายนี้
จับมือกันให้แน่น แล้วเดินเข้าร้านเลยจ้าา อ้าวๆ ไม่ใช่ รักกันต้องเตือนสติกัน 55555
มิลาน (Milan) หรือที่คนอิตาเลียนเรียกว่า มิลาโน่ (Milano) เป็นเมืองหลวงทางแฟชั่นของโลก
มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano) แลนด์มาร์คที่โดดเด่นสะดุดตา
ปล. ต้องระวังตัวและทรัพย์สินดีดีนะ มีพวกคนขายอาหารนก ขายของเยอะมาก ชอบเดินเข้ามาหาใกล้ๆ น่ากลัว
ช่วงบ่ายวันนั้น มีบอลแมทช์สุดท้ายของฤดูกาลที่สนาม ซานซิโร่ ระหว่าง เอซี มิลาน vs โบโลญญ่า
แน่นอนว่าคอลบอลต้องไม่พลาด แฮปปี้ไปตามระเบียบจ้า !!
ลากันด้วยเจลาโต้ของขึ้นชื่อของอิตาลี โนสน โนแคร์ น้ำหนักใดๆทั้งสิ้น
ลืมบอกก!! ทริปนี้ตกคนละ 63,000 บาท รวมทุกอย่างยกเว้น ช้อปปิ้งและเครื่องบิน(BKK-MXP)
จบทริปแล้วจ้าา ทริปนี้สนุกมากๆๆ ใครมีโอกาสต้องลองไปนะ แล้วจะหลงรัก ขอบคุณที่ติดตามนะ
ใครคำถามอะไรถามมาได้เลยน้าา จะช่วยตอบ ถ้าตอบได้