ปลูกรักปักใจ...บทที่ 12 [2]

...ปลูกรักปักใจ...




ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ดอกไม้ดอกไม้ดอกไม้หัวใจดอกไม้ดอกไม้ดอกไม้


ปลูกรักปักใจ...บทที่ 12 : คู่แข่ง


          แม้รถจะเคลื่อนตัวออกไปได้สักระยะแล้ว แต่บรรยากาศภายในรถกลับตกอยู่ในความเงียบ ดวงตาสีสนิมของสารถีหนุ่มมาดเซอร์มองตรงไปข้างหน้านิ่งเหมือนกำลังใช้สมาธิในการขับรถ แต่ความจริงแล้วในหัวของปารย์ตอนนี้กำลังคิดวนเวียนแต่เรื่องของเพื่อนสนิทที่เขาแอบคิดไม่ซื่อมาตั้งแต่แรกเริ่มที่รู้จักกัน แต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเผยความในใจให้เธอได้รู้ เพราะเธอรักษาระยะห่างและขีดเส้นความสัมพันธ์เอาไว้ชัดเจน ไหนจะกำแพงในใจที่เธอก่อขึ้นมาอีก มันจึงยากที่เขาจะทลายเข้าไปได้ แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ อาศัยความเป็นเพื่อนสนิททำคะแนนโดยที่เธอไม่รู้ตัว และได้แต่หวังว่าความรักและความดีของเขาตลอดห้าปีในรั้วมหาวิทยาลัยจะสามารถเปลี่ยนความคิดและฉุดเธอออกมาจากความกลัวนั้นได้ แต่เปล่าเลย เธอยังคงรักษาระดับความสัมพันธ์ไว้อย่างคงเส้นคงวา

          เขาตัดสินใจว่าจะสารภาพความในใจกับเธอหลังเรียนจบ เมื่อไม่อาจทนเก็บความรู้สึกไว้คนเดียวได้อีกต่อไป แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับมะปรางและไอศิกาเสียก่อน เขาเลยต้องล้มเลิกความตั้งใจและเก็บมันไว้ในใจเขาเพียงคนเดียวเช่นเดิม เพราะเธอปิดกั้นตัวเองทุกทาง กำแพงในใจของที่เธอก่อไว้ซะสูงลิ่วในคราวแรก กลับถูกต่อเติมความสูงขึ้นไปอีก แถมยังแข็งแกร่งดุจหินผา ยากเหลือเกินที่เขาจะพังมันลงได้ และเขาก็กลัวด้วยว่าหากเขาพูดคำนั้นออกไป แล้วทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม วันนี้เขาอาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ข้างเธอตรงนี้ เขาอาจจะกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอไปเลยก็ได้ หากเป็นอย่างนั้นจริงเขาคงทำใจไม่ได้แน่ จึงต้องทนอยู่ในสถานะเดิมต่อไป อย่างน้อยก็ได้อยู่ข้างๆ เธอ แม้จะในฐานะเพื่อนสนิทก็ตาม เพราะเขาเชื่อมั่นมาเสมอว่าจะไม่มีใครสามารถทลายกำแพงของเธอได้ และเธอเองก็คงไม่เปิดใจรับใครอย่างที่เธอเคยตั้งธงไว้

          จนมาวันนี้ ภาพที่เขาเห็นมันทำให้เขาอดกังวลไม่ได้ ที่จริงเขามาถึงได้สักพักแล้ว มาทันเห็นเธอนั่งคุยกันอย่างสนิทสนมกับอาจารย์คนนั้น ความใกล้ชิดที่เธอไม่เคยมีให้ผู้ชายคนไหนนอกจากคนในครอบครัวและเขาที่เป็นเพื่อนสนิท มันทำให้เขาหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก ปกติเธอจะกันผู้ชายทุกคนออกจากชีวิต ถ้าไม่จำเป็นเธอจะไม่เข้าใกล้ไม่ข้องเกี่ยวด้วย แต่กลับอาจารย์คนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความต่าง แต่จะต่างไปในทิศทางไหนเขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้

          เขาเห็นสายตาที่อาจารย์คนนั้นมองเธอ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าชายคนนั้นคิดยังไงกับเพื่อนรักของเขา แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวได้สังเกตและรู้ความหมายของสายตาคู่นั้นหรือเปล่า ถ้าหากเธอรู้แต่ยังเต็มใจให้ชายคนนั้นเข้ามาใกล้ชิด เขาไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แค่คิดเขาก็รู้สึกยอกในอกราวถูกเข็มนับร้อยนับพันกระหน่ำทิ่มแทงซ้ำๆ

          ชายหนุ่มชะลอความเร็วลงและจอดนิ่งสนิทเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาละสายตาจากถนนตรงหน้าหันมามองหน้าคนข้างๆ อย่างใช้ความคิด

          “ตองสนิทกับเขาเหรอ อาจารย์คนนั้นน่ะ” ปารย์ถามออกไปในที่สุดเมื่อไม่อาจทนเก็บความสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองไว้ได้อีกต่อไป ตาคมหรี่มองอีกฝ่ายอย่างจับผิด สีหน้าเขาดูจริงจังกว่าทุกครั้ง

           “ไม่นะ ทำไมเหรอ” ชนม์นิภาตอบไปตามตรงอย่างไร้พิรุธ พร้อมหันมามองหน้าคนถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม  

          “เห็นคุยกันท่าทางสนิทสนม เราก็นึกว่าตองกับเขาสนิทกัน ปกติไม่เคยเห็นตองใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนมากขนาดนี้มาก่อน” สถาปนิกหนุ่มพูดไปตามตรง ภาพที่เธอกับเขาคนนั้นนั่งห่างกันแค่คืบยังติดตา ภาพที่ทำให้ใจเขากระตุกวูบ พร้อมกลับความกลัวที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ  

          “ไม่ได้สนิทอะไรมากหรอก สนิทกับลูกสาวเขามากกว่า พอดีลูกสาวเขาเป็นเพื่อนน้องไตรน่ะ”

          “เขามีลูกแล้วเหรอ” รีบถามกลับอย่างมีความหวัง

          “อืม มีแล้ว น่ารักมากด้วย” ใบหน้าที่เศร้าหมองเริ่มมีรอยยิ้มหลังได้ฟังคำตอบที่น่าพอใจ ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดมุ่นเมื่อไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง

          หากเขามีลูกมีเมียแล้วอย่างเธอว่า แล้วทำไมเขาต้องมองเพื่อนเธอด้วยสายตาแบบนั้นด้วย ปารย์คิดหาคำตอบ และแล้วข้อข้องใจของหนุ่มมาดเซอร์ก็ได้รับความกระจ่าง เมื่อประโยคถัดมาหลุดจากปากหญิงสาว

          “แต่ลูกสาวเขาน่าสงสารมากเลย ไม่มีแม่เหมือนคนอื่นๆ เห็นแล้วตองก็อดนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ ไม่ได้”

          จากนั้นชนม์นิภาก็ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหญิงกิ่งกาญจน์ให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ รวมทั้งเรื่องที่เธอยอมเป็นแม่กำมะลอให้กับลูกสาวของกรวีร์ด้วย นอกจากนี้หญิงสาวยังเผลอชมกรวีร์ในอีกหลายๆ เรื่องให้สารถีหนุ่มฟังด้วยน้ำเสียงสดใส โดยไม่ได้สังเกตถึงอาการผิดปกติของคนฟังเลยสักนิด

          มือหนาของชายหนุ่มกำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เท้าเหยียบคันเร่งแทบมิดเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ส่งผลให้หญิงสาวที่นั่งข้างๆ ถึงกับหน้าคะมำกับการออกรถแบบกระชากของเขา เห็นอย่างนั้นปารย์จึงค่อยๆ ชะลอความเร็วลงให้อยู่ในระดับปกติพร้อมพยายามระงับอารมณ์และเก็บซ่อนความรู้สึกหลากหลายที่กำลังตีกันวุ่นภายในอก

          “ตองไปทำงานกับเราไหม” ปารย์ถามเสียงจริงจัง ขณะสายตายังจ้องถนนข้างหน้านิ่ง

          “ก็ทำอยู่ที่ไง”

          “ไม่ใช่แค่งานนี้ หมายถึงไปทำงานที่กรุงเทพฯด้วยกันน่ะ”

          “ทำไมอยู่ๆ มาชวนตองไปทำงานด้วยล่ะ ปารย์น่าจะรู้ดีนะว่าตองทำไมถึงไม่อยากไปทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือน”

          “ก็รู้ แต่เราอยากให้ตองไปทำด้วยจริงๆ นะ ตอนนี้บริษัทเราเปิดรับภูมิสถาปนิกพอดี ถ้าได้ตองไปทำงานด้วยคงจะดี ทำงานกับคนที่รู้ใจกันดีและมีแนวคิดคล้ายๆ กัน อะไรๆ คงราบรื่น” ปารย์พยายามโน้มน้าวอีกฝ่ายสุดฤทธิ์ เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อกันหญิงสาวออกจากอาจารย์คนนั้น

          ฟังจากที่เธอเล่าและจากการประมวลผลของเขา อาจารย์คงนั้นคงจะดูออกว่าชนม์นิภาเป็นคนรักเด็ก ถึงได้ใช้ลูกสาวเป็นสะพานเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเธอ  ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดเขาจะต้องดึงชนม์นิภาออกห่างจากผู้ชายคนนี้ หากเขายังปล่อยให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกันต่อไป เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าเขาอาจจะเสียเธอไปในไม่ช้า  

          “ตองไปแล้วใครจะดูร้านและดูหน้างาน ตอนนี้พี่สะใภ้เราก็ท้องแก่ใกล้คลอดด้วย พี่ตรีเองก็ยุ่งๆ”

          “เราอยากให้ตองไปทำด้วยจริงๆ นะ” ปารย์หันมาสบตาชนม์นิภาอย่างอ้อนวอนแค่แวบเดียวก็หันกลับไปมองถนนอย่างเดิม

          “ไม่ละ เราไม่ชอบความวุ่นวายในเมืองหลวง เราอยู่แบบนี้ก็มีความสุขดี” หญิงสาวยังคงยืนกรานไม่ยอมทำตามคำชวนของอีกฝ่าย

          “งั้นเราลาจะออก แล้วมาหางานทำแถวนี้ดีกว่า ทำงานตัวเองไปด้วย ช่วยงานรีสอร์ตไปด้วย บางทีว่างๆ ก็จะได้ไปช่วยงานของตองได้ด้วย” สถาปนิกหนุ่มเปลี่ยนใจกะทันหัน เมื่อเห็นว่าวิธีดึงเธอให้ออกห่างจากเขาคนนั้นไม่ได้ผล  

          “ปารย์เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมวันนี้ดูแปลกๆ” ชนม์นิภาถามเสียงจริงจัง หันมามองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย เธอแปลกใจมาตั้งแต่ตอนขึ้นรถมาแล้ว ที่อยู่ดีๆ เขาก็เงียบไป แต่ตอนนั้นเธอคิดว่าเขากำลังใช้สมาธิกับการขับรถเลยไม่ได้เอะใจอะไร จนตอนนี้เธอเพิ่งจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติของเขา เรื่องบางเรื่องเธอคิดว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจเธอดีที่สุด แต่วันนี้กลับไม่ใช่ เขาดูไร้เหตุผลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แถมยังนิ่งและเงียบ ซึ่งมันผิดวิสัยของคนอารมณ์ดีอย่างเขาเป็นอย่างมาก

          “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร เราพูดเล่นเฉยๆ” ชายหนุ่มปฏิเสธทันควัน รีบปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติดังเดิม ก่อนที่จะออกอาการมากไป “ดูทำหน้าสิ คิ้วจะผูกกันเป็นโบว์อยู่แล้ว” ปารย์พูดปนหัวเราะ เปลี่ยนมาเป็นหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีดังเดิมในชั่วพริบตา จนหญิงสาวตามอารมณ์ไม่ทัน

          “เปล่าก็เปล่า” แม้จะไม่เชื่อแต่ชนม์นิภาก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เมื่อเห็นว่าสารถีหนุ่มชะลอรถและเลี้ยวเข้าไปจอดที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนจำ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่