ไม่แน่ใจว่าอยากมีอนาคตต่อกับภรรยาแล้ว
ทุกๆคน คงอยากมีความสุข ประสบสำเร็จในชีวิตทั้งด้านการงานและครอบครัว ผมก็คนหนึ่งที่พยายามทำชีวิตให้ดีทั้งการงานและครอบครัว แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนๆกับทุกคน ทุกครอบครัวคงมีเรื่องดราม่าไม่มากก็น้อยอีกหลายปัญหาที่บางครั้งมืดแปดด้าน แม้แต่ที่เคยมั่นใจว่าตัวเองเก่งกาจนัก กลับกลายเป็นคนโง่เขลาไร้ปัญญา
ข้อความนี้ใช้เวลาพิมพ์หลายวัน ส่วนหนึ่งอาจเพื่อระบายและก็เพื่อที่จะทบทวนตัวเอง ตัวผมนั้นปัจจุบันอายุ 36 แล้ว ทำงานราชการ เงินเดือนสี่หมื่นกับรายได้อื่นๆรวมๆเกือบๆแสนบาท
พบกับแฟนเมื่อ 3ปีก่อนครับ ตอนนั้นตัวเองอายุ 33 รู้สึกว่าเหงาๆอยากมีคู่คิด คู่ชีวิต ดูแลกันจะได้ไม่เหงา อยากมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์คือมีภรรยาที่แสนดี มีลูกเมื่อเจอกับแฟนก็คิดว่าคนนี้น่าจะใช้ชีวิตได้ไม่ยาก เราอยู่ด้วยกันไปคงจะรักกันได้ ผมขอคบกับเธอแต่เธอบอกว่าขอให้แต่งเลยแล้วค่อยปรับตัวเข้าหากัน เธอบอกถ้าอยากสร้างอนาคตที่ดีด้วยกันเราก็น่าจะอยู่ด้วยกันได้ และผมก็ตกลงปงใจแต่งงานทั้งที่ไม่ได้คบกัน ไม่ได้ศึกษานิสัยใจคอกันหรือไม่เคยเห็นแม้แต่ขาอ่อน เพราะอยากเริ่มต้นชีวิตที่ดี แต่พอแต่งงานแล้วกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ทั้งที่ผมพยายามทำทุกอย่างทั้งสินสอดเกือบบ้านซื้อบ้านหลังละห้าล้านด้วยกัน แต่งบ้านตามที่เธอพอใจ พยายามเปลี่ยนตัวเองในแบบที่เธอต้องการแต่มันก็ยังไม่ดีพอสำหรับเธอ
ผมเป็นคนรักครอบครัว เคารพพ่อแม่ปฏิบัติตามคำสั่งแทบทุกอย่าง และดูแลพี่น้องไม่ให้เดือดร้อน ช่วยเหลือญาติของตัวเอง
แฟนชอบพูดกระแทกว่าพ่อแม่ผมทำหลายอย่างไม่ถูกต้อง วงศ์ตระกูลผมเรียนน้อย ส่วนพี่น้องของผมคนไม่เอาไหน ส่วนญาติๆผมเธอบอกว่าไม่ขอนับญาติด้วย
ผมเคยเลี้ยงสุนัข ตอนเด็กๆผมมีสุนัขเป็นเพื่อนเล่น และมันรู้ว่าข้าวของมีเรื่องไม่สบายใจสุนัขมันจะเอาขาหน้ามาแตะตัวเราเหมือนกับว่ามันกำลังปลอบเราแต่แฟนบอกเกลียดสุนัข เกลียดสัตว์เลี้ยง บอกว่าห้ามเลี้ยงเด็ดขาด และไม่อยากให้พูดถึงไม่อยากฟัง
ผมชอบขับรถชิลๆทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ ขับความเร็ว110 บางทีอยากจะหยุดดูวิวสวยๆ สถานที่สวยๆหยุดจ้องมองตรงนั้นใช้เวลาสักหน่อย
แต่เธอชอบไปเที่ยวตามกระแส ไปให้ถึงที่หมายเพื่อเช็คอิน
ผมเป็นคนใช้เงินอย่างรู้คุณค่าเพราะว่าสร้างฐานะมาด้วยตัวเอง ทุกวันนี้มีเงินลงทุน กว่าสามล้านและที่ดินอีกรวมหกเจ็ดล้าน และอยากให้มันโตอีกสักนิด แต่ก็แบ่งมาใช้ในเรื่องสำคัญๆ เช่นออกรถ ดูแลพ่อแม่ ท่องเที่ยว
แฟนผมอยากให้ผมเอาเงินก้อนนี้มาใช้ออกรถหรูๆ และใช้ท่องเที่ยว (นั่นหมายถึงพาเธอไป) เธอบอกว่า คนมีเงินเยอะๆต้องเอามาใช้บ้างเดี๋ยวตายก่อนจะไม่ได้ใช้ อีกอย่างเดี๋ยวผมก็จะได้มรดกกับพ่อแม่อีกเมื่อท่านจากไปแล้ว บ่อยความความต้องการในทรัพย์สินของผมมันดูจะเกินงานไปหน่อย เธอพูดว่า “ทรัพย์สินของพี่”เป็นของลูกเรา สมบัติของพ่อแม่พี่ เป็นของลูกเรา (และลูกก็อยู่ในการปกครองของเธอ?)
หลังแต่งงานเธอพยายามมากที่จะมีลูก แต่งงานยังไม่ถึงครึ่งปีเธอก็อยากจะทำเด็กหลอดแก้วแล้วผมรู้สึกว่าเธอพยายามมากเกินไป
ซึ่งขัดกับการใช้ชีวิตของเธอที่กินอาหารไม่บำรุงร่างกาย และกินอาหารน้อยจนน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ จนผมห่วงว่าถ้าเธอน้ำหนักน้อยเวลาตั้งท้องลูกจะไม่แข็งแรง แต่เธอก็ไม่เห็นด้วยเธอเชื่อว่าจ่ายเงินสองแสนแล้วได้ลูกออกมา นั่นคือความคิดเธอ
ผมคิดแต่งงานเพราะอยากมีคนมาดูแลพ่อแม่ และเกื้อหนุนวงศ์ตระกูล แต่เธอนั้นพอแต่งแล้วไม่ได้มาคลุกคลีกับบ้านผมเลยครับ ภาพที่ผมหวังคือเธอมาทำความสะอาดบ้านแม่ทำอาหารให้พ่อแม่ผมกินบ้างครั้ง หรืออยู่เป็นพื่อนแม่บางที แต่เธอไม่เลยครับ สิ่งที่เธอทำคือวันสำคัญต่างๆจะซื้อกระเช้าแบรนด์มาให้ หรือผลไม้มาให้แล้วก็ชวนกลับ ต่างจากการไปหาพ่อแม่เธอที่อยู่ทั้งวัน ส่วนญาติๆผมเธอบอกว่าไม่ขอนับญาติด้วย ส่วนพี่น้องผมเธอบอกว่าไม่เอาไหน และเพื่อนๆผมเธอบอกว่าไม่เอาไหน อันที่จริงผมก็คงเป็นคนไม่ได้ความอีกคนหนึ่งในสายตาเธอ คงมีแต่หน้าที่การงานและการเงินของผมเท่านั้นที่ทำให้เธอพอใจ
เธอรู้เงินเดือน รายได้ รายรับ ทรัพย์สินของผม เธอท่องเลข13 หลัก และวันเกิดผมได้อย่างขึ้นใจ เธอท่องตัวบทกฎหมายเรื่องสิทธิทะเบียนสมรสได้ แต่เธอไม่รู้ว่าผมเป็นคนไม่กินน้ำแข็ง ชอบอะไรและมีความสุขอะไร
คนที่เค้าอยู่ด้วยกันนานๆ เค้าคงจะมีความทรงจำที่ดี มีวันเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข มีประสบการณ์ดีๆด้วยกัน ถึงอยู่ด้วยกันได้ ถึงได้มีความรู้สึกฝากผีฝากไข้ได้ ซึ่งตลอดเวลา3 ปีที่อยูด้วยกัน ผมไม่มีโมเมนต์นั้นกับเธอเลยเวลาที่เป็นทุกข์อยากปรับทุกข์เธอก็ไม่สนใจจะรับฟัง ถึงแม้จะฟังมุมมองก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลายๆอย่างที่ผมทำให้เธอทั้งพาไปเที่ยว ซื้อของให้ ทั้งงานแต่ง ซื้อบ้านราคาแพง ไม่มีเลยที่เธอจะทำหน้าตาอิ่มเอม มีความสุข เธอยังต้องการมากขึ้น มากขึ้น สิ่งที่ผมสังเกตคือเธอต้องการในสิ่งที่ผมยากจะทำให้ได้ แต่ผมคงทำได้ถ้าเอาเงินทั้งหมดที่มีให้เธอซะ แต่ผมก็ไม่ในใจว่าเธอจะพอใจอีกหรือเปล่า ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัว บางทีผมก็กลัว ถ้าเรามีลูกกันผมจะตายด้วยอุบัติเหตุหรือเปล่า
ตั้งแต่วันที่เราแต่งงานกันเธอชอบทำลับๆล่อๆมีเบอร์โทรศัพท์ที่เธอโทรหาและโทรเข้าประจำ และเธอไม่ได้เม็มเบอร์นั้นไว้แต่โทรเข้าบ่อยมากและเห็นเธอนั่งลบเรื่อยๆ แล้วผมก็สืบทราบว่าเป็นคนที่ทำงานผมถามว่าทำไมถึงได้โทรบ่อยนัก ทำไมถึงต้องลบบ่อยๆเธอบอกว่าคุยเรื่องงานไม่อยากให้ไม่สบายใจ แต่ในตลอดเวลาสามปีเธอก็คุยตลอด ซึ่งคนๆนี้ผมก็รู้จักผมรู้แก่ใจว่าเธอคุยกับคนนี้ตลอดซึ่งสำหรับผมเขาเป็นผู้ใหญ่ บางครั้งผมคุยกับเขาก็รู้สึกว่าเขารู้ความเคลื่อนไหวของผมตลอดเวลามันก็อดระแวงไม่ได้ เคยเจอข้อความทำนองว่า ฝันดีนะ จุ๊บๆ คิดถึงนะ จ๊ะ เป็นคำลงท้าย โดยที่การคุยก่อนหน้านั้นโดนลบออก ผมเริ่มทนไม่ไหวและขอหย่า เธอก็ร้องไห้เธอบอกว่าคุยปรึกษางานและเขาเป็นคนที่สนิทเลยใช้คำพูดหยอกกันเท่านั้นเอง ผมไม่เชื่อเธอแต่ก็ไม่อยากให้ชีวิตครอบครัวจบแบบนี้ ผมรู้สึกสงสารเธอเหมือนวันแรกที่เราแต่งงานกัน
นานวันเข้าผมรู้สึกว่าความมรุ้สึกต่างๆมันจะแสดงออกทางร่างกาย ผมรู้สึกว่ามันคล้ายๆกับร่างกายปฏิเสธเธอ ผมไม่รู้สึกว่าร่างกายเธอมันหอมอีกแล้วที่จริงมันไม่เคยหอมเลย ไม่เคยกอดแล้วรู้สึกอบอุ่นผมไม่สามารถจูบเธอได้อย่างดูดดื่มเหมือนในหนังทีวี
ตลอดเวลาสามปีที่แต่งงานผมใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผน เป็นพ่อบ้านที่พาภรรยาไปทำธุระต่างๆดูแลสวน ตั้งใจสร้างฐานะและไม่เคยวอกแวกมองใครเลย จนกระทั่งวันที่เห็นข้อความยาวๆจ๊ะจ๋าในโทรศัพท์ทำให้ผมโมโหและขอเลิก เธอแย่งโทรศัพท์และรีบลบข้อความ เธอบอกว่าแม้จะคุยกันแบบนี้แต่ก็ไม่ได้นอนด้วยกัน ผมไม่อยากคิดอะไรต่อ แต่ความรุ้สึกความไว้วางใจมันหมดไปเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งที่สอง แต่เป็นครั้งที่สาม ผมไม่อยากคิดว่าการนอกใจเป็นปัญหาของเรา แต่ปัญหาคือผมระแวงเธอ และเธอไม่ทำให้ผมไว้วางใจ พลางทำให้คิดถึงตลอดสามปีที่อยู่ด้วยกันเธอส่งข้อความหวานๆถึงบางคนแล้วก็มานอนกอดผม ช่วงเวลาที่เราขับรถไปด้วยกันที่ผมชวนคุยแต่เธอไม่คุยเธอก้มเล่นแต่ือถือ ถ้าเซ้าซี้เธอมากเธอจะโมโห อย่างที่บอกตอนต้นว่าผมทบทวนแล้วเราไม่มีช่วงเวลาที่สวีท ขมนกชมไม้ ชื่นชมอะไรด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน สนุกด้วยกันเลย แต่ละวัน สัปดาห์ เดือน ปี มีแต่ภารกิจของผม 1 2 3 ที่ต้องทำตามที่เธอแพลนไว้ หลังๆมาผมเริ่มไม่อยากไปไหนมาไหนด้วย ไม่อยากปรับทุกข์ ไม่อยากพูดเรื่องงานกับเธอ เวลาเจออะไรตลกๆก็จะขำคนเดียวเพราะรู้ว่าถ้าเล่าให้เธอฟังเธอจะไม่ขำ ผมเริ่มๆห่างกับภรรยาแต่เหมือนเธอไม่รู้ตัว จนรุ้สึกว่าช่วงเวลาที่มีความสุขคือช่วงเวลาที่ไม่มีเธอ ไม่ต้องกดดัน เป็นช่วงเวลาที่สงบ ที่ผมคอนโทรลตัวเองได้
หลังจากนั้นพักหนึ่งผมมีคนที่คุยและเปิดใจปรับทุกข์ด้วย ซึ่งผมไม่ปรับทุกข์กับภรรยานานแล้วเพราะเธอมีมุมมองอีกอย่าง ผมรู้สึกว่าเธอไม่ได้เคียงข้างอารมณ์ในขณะนั้นเลย เช่น เราเหนื่อยเธอบอกชั้นก็เหนื่อยเหมือนกัน ผมบอกที่ทำงานมีคนห่วยๆเธอบอกว่าผมต้องปรับตัว ผมว่าผมเครียดเธอเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นและไม่ฟังเรื่องที่ผมเครียด ผมบอกว่านวดหัวให้หน่อยเธอบอกให้จองสปาพรุ่งนี้ เป็นต้น กลับไปที่ผมมีคนพูดคุยและปรับทุกข์ด้วย อันที่จริงผมรุ้จักเธอมาเป็นปีแต่ไม่เคยคิดเกินเลยจนนานๆเข้ากลับกลายเป็นเธอคนเดียวที่รับฟัง จนบางทีชวนกันไปทำบุญ ไปกินข้าว จนได้สัมผัสมืออย่างบังเอิญ ผมบอกว่าผมอยากกอด และเธอก็กอดเชื่อมั้ยครับว่ามันเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่น และเธอจูบ ผมรู้สึกเหมือนร่วงหล่นจากที่สูง....... เราคบกันแค่สั้นๆแล้วผมกับเธอก่อนสมัครใจที่จะอยู่ห่างกันเพราะผมก็ไม่อยากทำลายน้อง ไม่อยากให้ใครมาว่าเธอว่ายุ่งกับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว
พอภรรยาผมรู้ ผมก็เตรียมใจที่จะแยกทางหรือโดนฟ้องหย่า เชื่อมั้ยครับมันตลกดีนะ จุดๆหนึ่งผมแต่งานกับเธอเพราะความสงสารและตั้งใจจะสร้างอนาคตที่ดีเริ่มต้นดีๆก้าวไปข้างหน้า แต่วันนี้เธอพร้อมที่จะทำลายผมให้ย่อยยับหมดตัวหมดอนาคตหน้าที่การงาน ทำไมชีวิตมันเป็นอย่างนี้นะ
แล้วผมก็แจงให้เธอฟังเป็นข้อๆว่าถ้าเธอฟ้องหย่าจะได้อะไรบ้าง ปัจจุบันผมมีรายได้หลายทางแต่เป็นชื่อพ่อแม่ มีหนี้สินเป็นชื่อตัวเอง อีกอย่างเธอแต่งงานแล้วก็ยังทำงานมีรายได้และงานก็ก้าวหน้าด้วย ไม่มีลูก ศาลจะให้ผมจ่ายค่าเลี้ยงดูเท่าไหร่ผมอธิบายโดยเอาฏีกาเก่าๆมาเล่าให้ฟัง เพื่อ..ที่จะบอกเธอผมจะให้เธอมากกว่าที่เธอสามารถฟ้องเอากับผมได้อีก ให้เราแยกทางด้วยดี... แต่ผิดคาด เธอเปลี่ยนไป
เธอพยายามเอาใจผม เธอพยายามฟังที่ผมพูดมากขึ้น เธอพยายามหัวเราะกับมุขตลกๆฝืดๆ เธอดัดเสียงพูดใหม่ให้หวานกว่าเดิม เธอบอกว่ารักผม ฟังดูอาจเหมือนhappy ending แต่มันกับทำให้รู้สึกว่าภรรยาผมคนนี้เธอเปลี่ยนmodeได้อย่างง่ายดายเหมือนเล่นละคร
อาจจะฟังดูเหมือนเธอเป็นคนไม่ดี ที่จริงเธอเป็นคนดีคนหนึ่งเธอดูแลบ้าน เธอจัดการภาษี เธอมีหน้าที่การงานที่ดีมีรายได้แต่ผมก็ไม่ได้ยุ่งกับรายได้ของเธอ เธอเป็นคนที่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนและจริงๆ แต่ผมชอบที่จะชื่นชมชีวิตช้าๆ เธอชอบความหรูหราแต่ผมชอบความมั่นคงในชีวิต แต่ผมก็สงสารหากจะต้องแยกทาง
เชื่อมั้ยครับเคยมีคนบอกว่าหากเราแต่งกับคนที่ดีเราจะมีความสุข หรือถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราก็จะกลายเป็นนักปราชญ์ ทุกวันนี้ผมอยู่ได้เพราะสวดมนต์์ก่อนนอน มีความสุขกับความสงบเวลาไม่ได้อยู่กับเธอ
การเป็นหนุ่มโสด เหง่าๆอาจมีคนมาคุยๆมาคบๆมีเวลาบ้าง แต่ผมเป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้วแต่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเหมือนชายโสด แต่คบใครไม่ได้ คุยกับใครก็ไม่ได้เพรราะมีสถานภาพแต่งงานแล้ว บ่อยครั้งกินข้าวคนเดียว ดูหนังเรื่องที่ชอบคนเดียว เดินทางคนเดียว
สำหรับผู้ชายวัย 36 เวลาไปทำงานก็คงต้องปิดบังอารมณ์เศร้านี้ไว้ เวลาทำงานต้องทำหน้าแจ่มใสเฮฮา ในใจกลับมีเรื่องที่บอกใครไม่ได้ ใครละครับจะทำหน้าอมทุกข์ไปทำงาน ผมเองก็คงเป็นคนที่ต้องฝืนเสแสร้งต่อคนอื่นเหมือนกันแม้จะฝืนตัวเอง ผมว่าบางคนเขาก็คงมองออกว่าผมกำลังไม่โอเค แต่ใครละจะมาถามเรื่องครอบครัวคนอื่น เขาก็ไม่อยากยุ่งเรื่องครอบครัวกันทั้งนั้น
แปลกดีนะครับ เวลาที่เรามีความทุกข์ เราจะพยายามอัพฐานะตัวเองทั้งการเงินและสังคม เราพยายามขับรถหรู ทำงานเพิ่มขึ้น มีเงินเก็บมากขึ้น ให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าเพื่อมีความสุข แต่ถ้าเป็นแบบผมชีวิตจะสุขได้อย่างไร ชีวิตเหมือนเกมส์หมากรุกที่ถูกรุกฆาต บางครั้งผมเห็นเธอร้องไห้ที่ความสัมพันธ์เป็นอย่างนี้ ผมก็อยากจะร้องไห้เหมือนกันนะ เหมือนน้ำตาตกในไม่มีทางออก จะขอหย่าก็สงสาร จะอยู่ก็อย่างที่เล่า บางทีผมอยากจะหายไปจากโลกนี้ ในห้วงหนึ่งผมสัมผัสได้นะว่าทำไมคนถึงฆ่าตัวตาย ผมได้แต่ภาวนาว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆผมของให้ผมมีสติ ไม่ทำให้คนเดือดร้อนมากนัก แต่ผมคงไม่ทำอย่างนั้นหรอก สุดท้ายมนุษย์ก็ต้องรักตัวเอง ก็ต้องทำให้เราอยู่ได้ มีชีวิตต่อไปได้
ผิดมากไหม ถ้าอยากเลิกกับภรรยา
ไม่แน่ใจว่าอยากมีอนาคตต่อกับภรรยาแล้ว
ทุกๆคน คงอยากมีความสุข ประสบสำเร็จในชีวิตทั้งด้านการงานและครอบครัว ผมก็คนหนึ่งที่พยายามทำชีวิตให้ดีทั้งการงานและครอบครัว แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนๆกับทุกคน ทุกครอบครัวคงมีเรื่องดราม่าไม่มากก็น้อยอีกหลายปัญหาที่บางครั้งมืดแปดด้าน แม้แต่ที่เคยมั่นใจว่าตัวเองเก่งกาจนัก กลับกลายเป็นคนโง่เขลาไร้ปัญญา
ข้อความนี้ใช้เวลาพิมพ์หลายวัน ส่วนหนึ่งอาจเพื่อระบายและก็เพื่อที่จะทบทวนตัวเอง ตัวผมนั้นปัจจุบันอายุ 36 แล้ว ทำงานราชการ เงินเดือนสี่หมื่นกับรายได้อื่นๆรวมๆเกือบๆแสนบาท
พบกับแฟนเมื่อ 3ปีก่อนครับ ตอนนั้นตัวเองอายุ 33 รู้สึกว่าเหงาๆอยากมีคู่คิด คู่ชีวิต ดูแลกันจะได้ไม่เหงา อยากมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์คือมีภรรยาที่แสนดี มีลูกเมื่อเจอกับแฟนก็คิดว่าคนนี้น่าจะใช้ชีวิตได้ไม่ยาก เราอยู่ด้วยกันไปคงจะรักกันได้ ผมขอคบกับเธอแต่เธอบอกว่าขอให้แต่งเลยแล้วค่อยปรับตัวเข้าหากัน เธอบอกถ้าอยากสร้างอนาคตที่ดีด้วยกันเราก็น่าจะอยู่ด้วยกันได้ และผมก็ตกลงปงใจแต่งงานทั้งที่ไม่ได้คบกัน ไม่ได้ศึกษานิสัยใจคอกันหรือไม่เคยเห็นแม้แต่ขาอ่อน เพราะอยากเริ่มต้นชีวิตที่ดี แต่พอแต่งงานแล้วกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ทั้งที่ผมพยายามทำทุกอย่างทั้งสินสอดเกือบบ้านซื้อบ้านหลังละห้าล้านด้วยกัน แต่งบ้านตามที่เธอพอใจ พยายามเปลี่ยนตัวเองในแบบที่เธอต้องการแต่มันก็ยังไม่ดีพอสำหรับเธอ
ผมเป็นคนรักครอบครัว เคารพพ่อแม่ปฏิบัติตามคำสั่งแทบทุกอย่าง และดูแลพี่น้องไม่ให้เดือดร้อน ช่วยเหลือญาติของตัวเอง
แฟนชอบพูดกระแทกว่าพ่อแม่ผมทำหลายอย่างไม่ถูกต้อง วงศ์ตระกูลผมเรียนน้อย ส่วนพี่น้องของผมคนไม่เอาไหน ส่วนญาติๆผมเธอบอกว่าไม่ขอนับญาติด้วย
ผมเคยเลี้ยงสุนัข ตอนเด็กๆผมมีสุนัขเป็นเพื่อนเล่น และมันรู้ว่าข้าวของมีเรื่องไม่สบายใจสุนัขมันจะเอาขาหน้ามาแตะตัวเราเหมือนกับว่ามันกำลังปลอบเราแต่แฟนบอกเกลียดสุนัข เกลียดสัตว์เลี้ยง บอกว่าห้ามเลี้ยงเด็ดขาด และไม่อยากให้พูดถึงไม่อยากฟัง
ผมชอบขับรถชิลๆทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ ขับความเร็ว110 บางทีอยากจะหยุดดูวิวสวยๆ สถานที่สวยๆหยุดจ้องมองตรงนั้นใช้เวลาสักหน่อย
แต่เธอชอบไปเที่ยวตามกระแส ไปให้ถึงที่หมายเพื่อเช็คอิน
ผมเป็นคนใช้เงินอย่างรู้คุณค่าเพราะว่าสร้างฐานะมาด้วยตัวเอง ทุกวันนี้มีเงินลงทุน กว่าสามล้านและที่ดินอีกรวมหกเจ็ดล้าน และอยากให้มันโตอีกสักนิด แต่ก็แบ่งมาใช้ในเรื่องสำคัญๆ เช่นออกรถ ดูแลพ่อแม่ ท่องเที่ยว
แฟนผมอยากให้ผมเอาเงินก้อนนี้มาใช้ออกรถหรูๆ และใช้ท่องเที่ยว (นั่นหมายถึงพาเธอไป) เธอบอกว่า คนมีเงินเยอะๆต้องเอามาใช้บ้างเดี๋ยวตายก่อนจะไม่ได้ใช้ อีกอย่างเดี๋ยวผมก็จะได้มรดกกับพ่อแม่อีกเมื่อท่านจากไปแล้ว บ่อยความความต้องการในทรัพย์สินของผมมันดูจะเกินงานไปหน่อย เธอพูดว่า “ทรัพย์สินของพี่”เป็นของลูกเรา สมบัติของพ่อแม่พี่ เป็นของลูกเรา (และลูกก็อยู่ในการปกครองของเธอ?)
หลังแต่งงานเธอพยายามมากที่จะมีลูก แต่งงานยังไม่ถึงครึ่งปีเธอก็อยากจะทำเด็กหลอดแก้วแล้วผมรู้สึกว่าเธอพยายามมากเกินไป
ซึ่งขัดกับการใช้ชีวิตของเธอที่กินอาหารไม่บำรุงร่างกาย และกินอาหารน้อยจนน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ จนผมห่วงว่าถ้าเธอน้ำหนักน้อยเวลาตั้งท้องลูกจะไม่แข็งแรง แต่เธอก็ไม่เห็นด้วยเธอเชื่อว่าจ่ายเงินสองแสนแล้วได้ลูกออกมา นั่นคือความคิดเธอ
ผมคิดแต่งงานเพราะอยากมีคนมาดูแลพ่อแม่ และเกื้อหนุนวงศ์ตระกูล แต่เธอนั้นพอแต่งแล้วไม่ได้มาคลุกคลีกับบ้านผมเลยครับ ภาพที่ผมหวังคือเธอมาทำความสะอาดบ้านแม่ทำอาหารให้พ่อแม่ผมกินบ้างครั้ง หรืออยู่เป็นพื่อนแม่บางที แต่เธอไม่เลยครับ สิ่งที่เธอทำคือวันสำคัญต่างๆจะซื้อกระเช้าแบรนด์มาให้ หรือผลไม้มาให้แล้วก็ชวนกลับ ต่างจากการไปหาพ่อแม่เธอที่อยู่ทั้งวัน ส่วนญาติๆผมเธอบอกว่าไม่ขอนับญาติด้วย ส่วนพี่น้องผมเธอบอกว่าไม่เอาไหน และเพื่อนๆผมเธอบอกว่าไม่เอาไหน อันที่จริงผมก็คงเป็นคนไม่ได้ความอีกคนหนึ่งในสายตาเธอ คงมีแต่หน้าที่การงานและการเงินของผมเท่านั้นที่ทำให้เธอพอใจ
เธอรู้เงินเดือน รายได้ รายรับ ทรัพย์สินของผม เธอท่องเลข13 หลัก และวันเกิดผมได้อย่างขึ้นใจ เธอท่องตัวบทกฎหมายเรื่องสิทธิทะเบียนสมรสได้ แต่เธอไม่รู้ว่าผมเป็นคนไม่กินน้ำแข็ง ชอบอะไรและมีความสุขอะไร
คนที่เค้าอยู่ด้วยกันนานๆ เค้าคงจะมีความทรงจำที่ดี มีวันเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข มีประสบการณ์ดีๆด้วยกัน ถึงอยู่ด้วยกันได้ ถึงได้มีความรู้สึกฝากผีฝากไข้ได้ ซึ่งตลอดเวลา3 ปีที่อยูด้วยกัน ผมไม่มีโมเมนต์นั้นกับเธอเลยเวลาที่เป็นทุกข์อยากปรับทุกข์เธอก็ไม่สนใจจะรับฟัง ถึงแม้จะฟังมุมมองก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลายๆอย่างที่ผมทำให้เธอทั้งพาไปเที่ยว ซื้อของให้ ทั้งงานแต่ง ซื้อบ้านราคาแพง ไม่มีเลยที่เธอจะทำหน้าตาอิ่มเอม มีความสุข เธอยังต้องการมากขึ้น มากขึ้น สิ่งที่ผมสังเกตคือเธอต้องการในสิ่งที่ผมยากจะทำให้ได้ แต่ผมคงทำได้ถ้าเอาเงินทั้งหมดที่มีให้เธอซะ แต่ผมก็ไม่ในใจว่าเธอจะพอใจอีกหรือเปล่า ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัว บางทีผมก็กลัว ถ้าเรามีลูกกันผมจะตายด้วยอุบัติเหตุหรือเปล่า
ตั้งแต่วันที่เราแต่งงานกันเธอชอบทำลับๆล่อๆมีเบอร์โทรศัพท์ที่เธอโทรหาและโทรเข้าประจำ และเธอไม่ได้เม็มเบอร์นั้นไว้แต่โทรเข้าบ่อยมากและเห็นเธอนั่งลบเรื่อยๆ แล้วผมก็สืบทราบว่าเป็นคนที่ทำงานผมถามว่าทำไมถึงได้โทรบ่อยนัก ทำไมถึงต้องลบบ่อยๆเธอบอกว่าคุยเรื่องงานไม่อยากให้ไม่สบายใจ แต่ในตลอดเวลาสามปีเธอก็คุยตลอด ซึ่งคนๆนี้ผมก็รู้จักผมรู้แก่ใจว่าเธอคุยกับคนนี้ตลอดซึ่งสำหรับผมเขาเป็นผู้ใหญ่ บางครั้งผมคุยกับเขาก็รู้สึกว่าเขารู้ความเคลื่อนไหวของผมตลอดเวลามันก็อดระแวงไม่ได้ เคยเจอข้อความทำนองว่า ฝันดีนะ จุ๊บๆ คิดถึงนะ จ๊ะ เป็นคำลงท้าย โดยที่การคุยก่อนหน้านั้นโดนลบออก ผมเริ่มทนไม่ไหวและขอหย่า เธอก็ร้องไห้เธอบอกว่าคุยปรึกษางานและเขาเป็นคนที่สนิทเลยใช้คำพูดหยอกกันเท่านั้นเอง ผมไม่เชื่อเธอแต่ก็ไม่อยากให้ชีวิตครอบครัวจบแบบนี้ ผมรู้สึกสงสารเธอเหมือนวันแรกที่เราแต่งงานกัน
นานวันเข้าผมรู้สึกว่าความมรุ้สึกต่างๆมันจะแสดงออกทางร่างกาย ผมรู้สึกว่ามันคล้ายๆกับร่างกายปฏิเสธเธอ ผมไม่รู้สึกว่าร่างกายเธอมันหอมอีกแล้วที่จริงมันไม่เคยหอมเลย ไม่เคยกอดแล้วรู้สึกอบอุ่นผมไม่สามารถจูบเธอได้อย่างดูดดื่มเหมือนในหนังทีวี
ตลอดเวลาสามปีที่แต่งงานผมใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผน เป็นพ่อบ้านที่พาภรรยาไปทำธุระต่างๆดูแลสวน ตั้งใจสร้างฐานะและไม่เคยวอกแวกมองใครเลย จนกระทั่งวันที่เห็นข้อความยาวๆจ๊ะจ๋าในโทรศัพท์ทำให้ผมโมโหและขอเลิก เธอแย่งโทรศัพท์และรีบลบข้อความ เธอบอกว่าแม้จะคุยกันแบบนี้แต่ก็ไม่ได้นอนด้วยกัน ผมไม่อยากคิดอะไรต่อ แต่ความรุ้สึกความไว้วางใจมันหมดไปเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งที่สอง แต่เป็นครั้งที่สาม ผมไม่อยากคิดว่าการนอกใจเป็นปัญหาของเรา แต่ปัญหาคือผมระแวงเธอ และเธอไม่ทำให้ผมไว้วางใจ พลางทำให้คิดถึงตลอดสามปีที่อยู่ด้วยกันเธอส่งข้อความหวานๆถึงบางคนแล้วก็มานอนกอดผม ช่วงเวลาที่เราขับรถไปด้วยกันที่ผมชวนคุยแต่เธอไม่คุยเธอก้มเล่นแต่ือถือ ถ้าเซ้าซี้เธอมากเธอจะโมโห อย่างที่บอกตอนต้นว่าผมทบทวนแล้วเราไม่มีช่วงเวลาที่สวีท ขมนกชมไม้ ชื่นชมอะไรด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน สนุกด้วยกันเลย แต่ละวัน สัปดาห์ เดือน ปี มีแต่ภารกิจของผม 1 2 3 ที่ต้องทำตามที่เธอแพลนไว้ หลังๆมาผมเริ่มไม่อยากไปไหนมาไหนด้วย ไม่อยากปรับทุกข์ ไม่อยากพูดเรื่องงานกับเธอ เวลาเจออะไรตลกๆก็จะขำคนเดียวเพราะรู้ว่าถ้าเล่าให้เธอฟังเธอจะไม่ขำ ผมเริ่มๆห่างกับภรรยาแต่เหมือนเธอไม่รู้ตัว จนรุ้สึกว่าช่วงเวลาที่มีความสุขคือช่วงเวลาที่ไม่มีเธอ ไม่ต้องกดดัน เป็นช่วงเวลาที่สงบ ที่ผมคอนโทรลตัวเองได้
หลังจากนั้นพักหนึ่งผมมีคนที่คุยและเปิดใจปรับทุกข์ด้วย ซึ่งผมไม่ปรับทุกข์กับภรรยานานแล้วเพราะเธอมีมุมมองอีกอย่าง ผมรู้สึกว่าเธอไม่ได้เคียงข้างอารมณ์ในขณะนั้นเลย เช่น เราเหนื่อยเธอบอกชั้นก็เหนื่อยเหมือนกัน ผมบอกที่ทำงานมีคนห่วยๆเธอบอกว่าผมต้องปรับตัว ผมว่าผมเครียดเธอเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นและไม่ฟังเรื่องที่ผมเครียด ผมบอกว่านวดหัวให้หน่อยเธอบอกให้จองสปาพรุ่งนี้ เป็นต้น กลับไปที่ผมมีคนพูดคุยและปรับทุกข์ด้วย อันที่จริงผมรุ้จักเธอมาเป็นปีแต่ไม่เคยคิดเกินเลยจนนานๆเข้ากลับกลายเป็นเธอคนเดียวที่รับฟัง จนบางทีชวนกันไปทำบุญ ไปกินข้าว จนได้สัมผัสมืออย่างบังเอิญ ผมบอกว่าผมอยากกอด และเธอก็กอดเชื่อมั้ยครับว่ามันเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่น และเธอจูบ ผมรู้สึกเหมือนร่วงหล่นจากที่สูง....... เราคบกันแค่สั้นๆแล้วผมกับเธอก่อนสมัครใจที่จะอยู่ห่างกันเพราะผมก็ไม่อยากทำลายน้อง ไม่อยากให้ใครมาว่าเธอว่ายุ่งกับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว
พอภรรยาผมรู้ ผมก็เตรียมใจที่จะแยกทางหรือโดนฟ้องหย่า เชื่อมั้ยครับมันตลกดีนะ จุดๆหนึ่งผมแต่งานกับเธอเพราะความสงสารและตั้งใจจะสร้างอนาคตที่ดีเริ่มต้นดีๆก้าวไปข้างหน้า แต่วันนี้เธอพร้อมที่จะทำลายผมให้ย่อยยับหมดตัวหมดอนาคตหน้าที่การงาน ทำไมชีวิตมันเป็นอย่างนี้นะ
แล้วผมก็แจงให้เธอฟังเป็นข้อๆว่าถ้าเธอฟ้องหย่าจะได้อะไรบ้าง ปัจจุบันผมมีรายได้หลายทางแต่เป็นชื่อพ่อแม่ มีหนี้สินเป็นชื่อตัวเอง อีกอย่างเธอแต่งงานแล้วก็ยังทำงานมีรายได้และงานก็ก้าวหน้าด้วย ไม่มีลูก ศาลจะให้ผมจ่ายค่าเลี้ยงดูเท่าไหร่ผมอธิบายโดยเอาฏีกาเก่าๆมาเล่าให้ฟัง เพื่อ..ที่จะบอกเธอผมจะให้เธอมากกว่าที่เธอสามารถฟ้องเอากับผมได้อีก ให้เราแยกทางด้วยดี... แต่ผิดคาด เธอเปลี่ยนไป
เธอพยายามเอาใจผม เธอพยายามฟังที่ผมพูดมากขึ้น เธอพยายามหัวเราะกับมุขตลกๆฝืดๆ เธอดัดเสียงพูดใหม่ให้หวานกว่าเดิม เธอบอกว่ารักผม ฟังดูอาจเหมือนhappy ending แต่มันกับทำให้รู้สึกว่าภรรยาผมคนนี้เธอเปลี่ยนmodeได้อย่างง่ายดายเหมือนเล่นละคร
อาจจะฟังดูเหมือนเธอเป็นคนไม่ดี ที่จริงเธอเป็นคนดีคนหนึ่งเธอดูแลบ้าน เธอจัดการภาษี เธอมีหน้าที่การงานที่ดีมีรายได้แต่ผมก็ไม่ได้ยุ่งกับรายได้ของเธอ เธอเป็นคนที่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนและจริงๆ แต่ผมชอบที่จะชื่นชมชีวิตช้าๆ เธอชอบความหรูหราแต่ผมชอบความมั่นคงในชีวิต แต่ผมก็สงสารหากจะต้องแยกทาง
เชื่อมั้ยครับเคยมีคนบอกว่าหากเราแต่งกับคนที่ดีเราจะมีความสุข หรือถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราก็จะกลายเป็นนักปราชญ์ ทุกวันนี้ผมอยู่ได้เพราะสวดมนต์์ก่อนนอน มีความสุขกับความสงบเวลาไม่ได้อยู่กับเธอ
การเป็นหนุ่มโสด เหง่าๆอาจมีคนมาคุยๆมาคบๆมีเวลาบ้าง แต่ผมเป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้วแต่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเหมือนชายโสด แต่คบใครไม่ได้ คุยกับใครก็ไม่ได้เพรราะมีสถานภาพแต่งงานแล้ว บ่อยครั้งกินข้าวคนเดียว ดูหนังเรื่องที่ชอบคนเดียว เดินทางคนเดียว
สำหรับผู้ชายวัย 36 เวลาไปทำงานก็คงต้องปิดบังอารมณ์เศร้านี้ไว้ เวลาทำงานต้องทำหน้าแจ่มใสเฮฮา ในใจกลับมีเรื่องที่บอกใครไม่ได้ ใครละครับจะทำหน้าอมทุกข์ไปทำงาน ผมเองก็คงเป็นคนที่ต้องฝืนเสแสร้งต่อคนอื่นเหมือนกันแม้จะฝืนตัวเอง ผมว่าบางคนเขาก็คงมองออกว่าผมกำลังไม่โอเค แต่ใครละจะมาถามเรื่องครอบครัวคนอื่น เขาก็ไม่อยากยุ่งเรื่องครอบครัวกันทั้งนั้น
แปลกดีนะครับ เวลาที่เรามีความทุกข์ เราจะพยายามอัพฐานะตัวเองทั้งการเงินและสังคม เราพยายามขับรถหรู ทำงานเพิ่มขึ้น มีเงินเก็บมากขึ้น ให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าเพื่อมีความสุข แต่ถ้าเป็นแบบผมชีวิตจะสุขได้อย่างไร ชีวิตเหมือนเกมส์หมากรุกที่ถูกรุกฆาต บางครั้งผมเห็นเธอร้องไห้ที่ความสัมพันธ์เป็นอย่างนี้ ผมก็อยากจะร้องไห้เหมือนกันนะ เหมือนน้ำตาตกในไม่มีทางออก จะขอหย่าก็สงสาร จะอยู่ก็อย่างที่เล่า บางทีผมอยากจะหายไปจากโลกนี้ ในห้วงหนึ่งผมสัมผัสได้นะว่าทำไมคนถึงฆ่าตัวตาย ผมได้แต่ภาวนาว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆผมของให้ผมมีสติ ไม่ทำให้คนเดือดร้อนมากนัก แต่ผมคงไม่ทำอย่างนั้นหรอก สุดท้ายมนุษย์ก็ต้องรักตัวเอง ก็ต้องทำให้เราอยู่ได้ มีชีวิตต่อไปได้