☆รีวิวชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนในเบลเยี่ยม☆ ม.ปลายสายบิวตี้ ย้ายโรงเรียน ย้ายโฮสต์ พาสปอร์ตถูกขโมย!!

ชื่อกระทู้นี่เหมือนรีวิวชีวิตคนบุญน้อยยังไงก็ไม่รู้555555555555

สวัสดีค่ะทุกคน แนะนำตัวกันก่อน ชื่อแทนนะคะ ตอนนี้อายุเกือบๆ17 เรียกพี่เรียกน้องเรียกหลานกันได้ตามสบาย เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนAFSประเทศเบลเยี่ยมแฟลนเดอร์รุ่นที่55ค่ะ ตอนนี้ก็ใกล้กลับไทยแล้วเลยอยากแชร์อะไรที่เจอมาในรอบปีให้คนอื่นๆได้อ่านกันบ้าง เนื่องจากเหมือนจะค่อนข้างเป็นที่รู้จักในเรื่องความแอดแวนเจอร์ในชีวิตมากเวอร์เลยอยากเอาเรื่องราวมาถ่ายทอด



กระทู้จะเขียนแยกเป็นส่วนๆนะคะ จะเริ่มเล่าเรื่องทั่วๆไปรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อน ชีวิตความเป็นอยู่ในประเทศ เพราะกระทู้ของประเทศนี้แทบจะไม่มีเลยTvT หรือหลายๆคนอาจจะสงสัยว่าความสภาพโดยรวมเป็นยังไงบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่กระทู้รีวิวความรักกัน เราจะเขียนให้ทุกท่านอ่านกันเองงง เพราะเรื่องความรักไม่ผุดมาในชีวิตเลย ;-;

ส่วนหลังจากนั้นจะมาเปิดไดอารีกัน เล่าแบบไล่ไทม์ไลน์เลยว่าทั้งปีมานี่เจออะไรมาบ้าง และเรื่องดราม่าบนหัวกระทู้นั้นมีที่มาที่ไปยังไง!!

เริ่มจากการแนะนำประเทศกันก่อนดีกว่า เบลเยี่ยมเป็นประเทศเล็กๆในยุโรป มีเมืองหลวงชื่อบรัสเซลส์ ตอนนั้นเคยมีคนถามเราว่าเบลเยียมอยู่อเมริกาใต้ใช่ไหม แง จริงๆแล้วมันอยู่แถวๆฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก แล้วก็ข้ามทะเลไปเป็นอังกฤษค่ะ แบบห่างกันเพียงเอื้อมมือแต่วีซ่าขัดขวางเราเลยไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยว ประเทศนี้ขึ้นชื่อก็เรื่องช็อคโกแลตเรื่องเบียร์เรื่องวาฟเฟิลอย่างที่ทุกๆคนรู้กัน เฟรนซ์ฟรายก็มีต้นกำเนิดที่นี่ คือแหล่งของกินดีๆนี่เองจ้า ถ้าอ้วนขึ้นนี่ไม่ต้องสืบเลยจริงๆ



อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันไปย่อหน้าบนนู้นนนนนนนนนนนว่าเราแนะนำตัวว่าอยู่เบลเยี่ยม‘แฟลนเดอร์’(อนุญาตให้เลื่อนขึ้นไปดูใหม่ได้ถ้าไม่ได้สังเกต) ไม่น่าจะมีใครรู้เยอะเท่าไหร่ว่าจริงๆแล้วประเทศเบลเยี่ยมแบ่งออกเป็น2เขตใหญ่ๆคือ

1.    แฟลนเดอร์/ฟลานเดอร์อ่านต่างกันไปแล้วแต่ภาษา เรียกอะไรก็เรียกได้ ใช้ภาษาดัตช์เป็นภาษาราชการ แต่มันจะเป็นดัตช์ที่ไม่ได้เหมือนดัตช์เนเธอร์แลนด์เป๊ะๆนะ เค้าจะเรียกว่าเฟลมมิช เอาจริงๆมันก็คือภาษาเนเธอร์แลนด์ที่สำเนียงอีกแบบนึงนั่นแหละ คนดัตช์จะรู้สึกว่าภาษาเราตลก คนเบลก็จะทนดัตช์เนไม่ได้เช่นกัน เค้าบอกว่าฟังแล้วขนลุก เรารู้สึกว่าของเราฟังสมูทกว่าอ่ะ เนจะออกเสียงค่อนข้างเหมือนมีดอกทิวลิปติดคอ(?) แบบจะค่อกแค่กๆเสียงตัวgกับrชัดๆ

ความอินดี้ยังไม่หยุดแค่นั้นค่ะคุ๊ณณ การ์ตูนFrozenก็มีพากย์เฟลมมิชกับดัตช์เนแยกกัน เพลงLet it goก็แยกกัน ทั้งๆที่จริงๆมันก็ภาษาเดียวกันไหมอ่ะ

2.    วัลโลเนีย/วัลลูนใช้ภาษาฝรั่งเศส

แล้วก็มีส่วนเล็กส่วนน้อยที่ใช้ภาษาเยอรมันด้วย ส่วนเมืองหลวงเป็นเขตพิเศษ จริงๆทางภูมิศาสตร์มันอยู่เขตแฟลนเดอร์แต่ดันใช้ภาษาฝรั่งเศส เป็นประเทศที่มีความงงสูงมาก555555555

แล้วก็อย่าคิดว่าการมาประเทศที่ใช้หลายๆภาษาแล้วจะได้หลายๆภาษากลับไปนะจ้ะน้องๆหนูๆที่อ่านอยู่ ไม่เลยจ้า มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแน่นอน คนที่นี่จริงๆเค้าก็พูดกันเองไม่ได้เท่าไหร่เหมือนกัน อารมณ์จริงๆแล้วมันเหมือนคนละประเทศเลยแหละ ทั้งวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ระบบการศึกษา ระบบขนส่งก็ใช้แยกกัน เวลาเรียนอะไรที่โรงเรียนเค้าก็จะใช้เรียกว่าฟลานเดอร์เป็นแบบนั้นแบบนี้ ไม่ได้เรียกรวมว่าเป็นประเทศเบลเยี่ยม ช่องทีวีก็แยก สถานีวิทยุ ธงก็ยังมีธงแยกกัน เพราะฉะนั้นตามสถานที่ราชการจะมีธงแปะเป็นแผงเลยค่ะ ธงชาติเบลเยี่ยม ธงวัลลูน ธงแฟลนเดอร์ ธงEU ธงสัญลักษณ์เมือง เยอะอะไรขนาดนั้น555555555 รัฐบาลก็แยกกันปกครอง นักเรียนแลกเปลี่ยนAFSนี่ก็มีแบบจากวัลลูนมาแฟลนเดอร์งี้ก็มี แปลกๆดี ก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรแบบนี้อยู่บนโลก อยากให้มาสัมผัสการนั่งรถไฟไป20นาทีแล้วฟังอะไรใครไม่รู้เรื่องแล้ว สนุกดีๆ

ด้วยความที่ใช้ภาษาราชการ2ภาษา เวลามีป้ายบอกทาง ฉลากสินค้า เว็บไซต์ต่างๆ ก็จะต้องมีทั้ง2ภาษาเลย ชื่อเมืองงี้ก็เขียนไม่เหมือนกันอีก เช่น แอนต์เวิร์ปภาษาดัตช์คือAntwerpen ฝรั่งเศสคือAnvers เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องศึกษาดีๆว่าชื่อเมืองอีกภาษานึงมันเขียนยังไง ไม่งั้นอาจจะหลงสถานีได้ แบบ เอ้ะทำไมชื่อไม่ตรงกัน เวลาขึ้นรถไฟบางทีคนตรวจตั๋วก็จะทักทายว่า Goededag Bonjour ควบกันสองภาษาไปเลย โซไบลิงกั้ว เริ่ดค่า

พวกพนักงานที่ทำงานตามหน่วยงานใหญ่ๆส่วนใหญ่ก็จะพูดได้ทั้ง2ภาษาบวกภาษาอังกฤษด้วย ฝั่งเรานี่อิ้งได้กันแทบจะทุกคนเลย แต่ฝั่งฝรั่งเศสนี่เหมือนจะไม่ค่อยได้เท่าไหร่ คือคนฝั่งนั้นเค้าเหมือนจะไม่ได้ทั้งอิ้งทั้งดัตช์เลยเท่าที่เคยรู้ๆมา ไปเที่ยวแถวๆนั้นก็ต้องเสี่ยงเอาเด้อ ภาษามือกูเกิ้ลทรานสเสทกันไป555555555 เด็กๆฝั่งนี้เค้าก็ต้องเริ่มเรียนฝรั่งเศสกันตั้งแต่ประถมเป็นภาษาที่2 ส่วนภาษาที่3เป็นภาษาอังกฤษซึ่งเหมือนจะเริ่มเรียนปลายๆประถม-ม.ต้น แต่คนกลับพูดอังกฤษเก่งกว่าฝรั่งเศสเฉย


มา เกริ่นกันมานานแล้ว มาเริ่มมีสาระกันดีกว่า

================================


ทำไมเลือกมาประเทศนี้อ่ะ เดี๋ยวอยู่ไปสักพักแล้วจะเสียใจ –เพื่อนชาวเบลเจี้ยมหลายคน(มากๆ)ได้กล่าวไว้

โอ้โหเพื่อนๆคะ ช่างเป็นการต้อนรับสู่ประเทศที่น่ารักเหลือเกิน555555555555555555555555555

นั่นล่ะค่ะ คนที่นี่เค้าจะชอบบอกว่าประเทศตัวเองอย่างนู้นอย่างนี้ โดยเฉพาะเรื่องอากาศ ชาวเบลเจี้ยมจะจิกกัดประเทศตัวเองเรื่องนี้เยอะมากกกก แต่เราว่าเอาจริงๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายนะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไทยที่มีแค่ร้อนกับฝนตก คือที่นี่จริงๆแล้วจะมี4ฤดู อากาศร้อนสุดประมาณ30ก็มี หนาวนี่ก็จะหนาวแบบไม่โหดร้ายเท่าไหร่ อย่างที่เราเจอมาเมื่อวินเทอร์ที่แล้วก็ต่ำสุดแค่-2 หิมะตกนิดๆหน่อยๆสักวันสองวัน ถ้าจะเอาตกหนาๆต้องไปฝั่งวัลโลเนียซึ่งป่าเยอะกว่า(มันมีแต่ป่าเลยแหละจริงๆแล้ว)

อาจจะมีบางช่วงที่อากาศแปรปรวนบ่อยๆเช่นช่วงนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนใส่ขาสั้นแขนกุด สัปดาห์นี้อยู่ๆมันจะหนาวก็หนาวจนต้องขุดเสื้อโค้ทออกมาใส่ก็มี เอฟวี่ติงอิสพอสสิเบิ้ล

แต่ว่าฝนจะตกบ่อยมากกกกกกกกก ออกจากบ้านต้องเช็คพยากรณ์ก่อนตลอดนะจ้ะหนูๆอย่าลืม เราเคยแต่งตัวร้อนมากๆไปในวันที่หนาวมาแล้ว และฝนมักจะตกในวันที่ใส่กางเกงสีขาวเสมอ หนาวก็ฝนตกได้ จะถือร่มก็มือด้ามร่มเย็นมือจะขาด ถุงมือก็เปียก กางร่มก็ร่มพังอีกจ้าบางที ลมพัดมาทีนี่ร่มแพงขนาดไหนก็กลายเป็นโครงเหล็กและเศษผ้าที่แปะไว้ได้ในพริบตา

ทางที่ดีที่สุดก็คือใส่โค้ทกันหนาวกันน้ำที่มีหมวก แต่!! ขนเฟลอฟูฟ่องที่หัวเรามักจะบังทัศนวิสัยเสมอ เวลาจะข้ามถนนก็ต้องเปิดฮู้ดมาดูรถ สรุปถึงโรงเรียนยังไงผมที่เช็ตมาก็พังอยู่ดี ทำใจนะจ๊ะ ;-;

============================


คนเค้าไปไหนมาไหนกันยังไงหนอ

คำตอบคือออออออออออ จักรยานจ้า!! (ฝั่งแฟลนเดอร์เท่านั้น) คนที่นี่จะสกิลการปั่นจักรยานสูงมาก ไม่ว่าจะในสภาพอากาศแบบไหนเค้าก็ปั่นกันได้ สาวๆใส่ส้นสูงก็ปั่นได้ กระโปรงเสมอจิมมี่ก็ปั่นได้ ใส่maxiยาวลากพื้นก็ปั่นได้เช่นกัน เนื่องจากเค้าบอกว่ารถติดแล้วก็ค่ารถสาธารณะแพง


(ตรงสีแดงๆคือสำหรับจักรยาน)

ตามถนนหนทางทุกที่ก็จะมีเลนจักรยานโดยเฉพาะ(ซึ่งใช้ร่วมกับมอเตอร์ไซด์) แล้วก็ทุกๆสถานที่จะมีที่จอดจักรยานเสมอ ตามโรงเรียนนี่ก็จักรยานเป็นพันคันเลยอ่ะ นี่ก็งงๆว่าเค้าจำกันยังไงว่าจอดไว้ตรงไหน

แล้วมันสะดวกกว่าด้วยอ่ะเนอะ ไปปาร์ตี้กลับตีสามตีสี่บัสหมดก็ปั่นจักรยานเอา บ้านเมืองก็ปลอดภัย อากาศดี การวางผังเมืองเค้าก็ไม่เหมือนบ้านเราด้วย เอาเป็นว่าจักรยานนี่แหละเริ่ดสุดแล้ว

แต่!!!!!!!!!

อีนี่ปั่นจักรยานไม่เป็นจ้า55555555555555555555555 *หัวเราะด้วยน้ำตา* แต่สุดท้ายก็เอาตัวรอดได้ในที่สุด มาหัดปั่นจักรยานเอาตอนอายุ16เป็นอะไรที่พีคจริงๆ ปั่นชนเสาไฟเพราะเบรกไม่ทัน ปั่นๆไปก็กลัวไปชนรถชาวบ้านเพราะคนที่นี่จะจอดรถไว้ข้างถนนกันแล้วค่อยจ่ายเงินค่าเช่าที่ให้รัฐ หรือไม่ก็บางบ้านจะมีสโลปลงไปเป็นชั้นใต้ดินจอดรถ ซึ่งแปลว่าเราก็สามารถปั่นร่วงลงไปข้างล่างได้เหมือนกัน เป็นโมเมนต์ที่แบบ อยากเจ็บหรืออยากจ่ายตังค์ซ่อมรถให้เค้า เลือกยากจริงๆเลยค่ะท่านผู้อ่าน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ตอนนี้สกิลพ้นขีดอันตรายแล้ว เย้





ส่วนอย่างอื่นทั่วๆไปก็ใช้รถไฟเวลาไปไหนไกลๆ ไปต่างประเทศ ไปเมืองอื่น หรือถ้าในท้องถิ่นไปไหนใกล้ๆก็จะมีระบบรถชื่อDe lijn มีรถบัส รถรางบนดิน เมโทร รถรางแบบผลุบๆโผล่ๆเดี๋ยวขึ้นบกเดี๋ยวลงดิน โดยระบบที่นี่จะดีมากกกกกกก สายเยอะซอกแซกทุกซอกทุกมุม มีกระจายอยู่ทุกเมือง แต่ถ้าเป็นรถรางอาจจะต้องเป็นในตัวเมืองนิดนึง เสียแค่ที่นั่งป้ายบัสเป็นเหล็กแต่ตอนหน้าหนาวมันเย็นจนเหมือนก้นจะถูกฟรีซ ข้อดีคือเราสามารถเช็คในแอพได้ตลอดว่าจะไปไหนต้องใช้รถเบอร์ไหน อีกกี่สถานีรถจะมาถึงป้ายเรา มีเวลารถมาแน่นอน ส่วนใหญ่จะตรงเวลา(แต่บางทีก็ไม่ตรง)บนรถก็จะมีที่นั่งกับพื้นที่สำหรับจอดรถเข็นใหญ่มากๆ คนขับยิ้มแย้มแจ่มใสเวลาขึ้นรถเค้าจะทักเราตลอดเลยเท่าที่เจอมา

รถจะมีตั้งแต่ประมาณตี5ถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งเลยค่ะ แต่ความถี่ห่างก็จะขึ้นอยู่กับวันเวลา นับรวมๆก็ยังถือว่าสะดวกในการเดินทางอยู่ดี



แล้วก็ไม่มีกระเป๋ารถเมล์แบบป้ายเรานะคะ บนบัสจะมีเครื่องแสกนบัตรไม่ก็เครื่องตอกบัตร แล้วจะมีเจ้าหน้าที่สุ่มมาตรวจตามรถนานๆครั้งว่ามีตั๋วไหม กดซื้อตั๋วแบบจ่ายผ่านทางsmsก็ได้ ซึ่งคนที่นี่เค้าซื่อสัตย์มากกก ยังไม่เคยเห็นใครแอบขึ้นเลย ทั้งๆที่รู้ก็ตามว่ามันไม่มีคนมาตรวจหรอก




เดี๋ยวมาต่อนะคะ ตัวอักษรจะเต็มแล้ว ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่