คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เอาเรื่องทำสำเร็จไม่สำเร็จก่อนนะครับ
ของผมไม่รู้คล้ายกันหรือเปล่า
แต่ผมคือ อยากเข้าแพทย์ แต่ตอนสอบคะแนนขาดไม่นิดเดียว เลยเข้าคณะใกล้เคียง
คือตอนนั้น คุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่ได้เสียใจหรอกครับ ท่านบอก เอาที่ลูกสบายใจ
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย เกรดผมก็มีตั้งแต่ C ยัน A เลยครับ จนมาครึ่งทางก็ฮึดอีกครั้ง เพราะอยากได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
ก็ลองคำนวณดูครับว่า หน่วยกิตที่เหลือ ต้องทำเท่าไหร่ ถึงจะทันตอนจบ (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คือ GPA 3.60 ขึ้นไป)
วิธีของผมคือ
1. ตั้งเป้าสูงกว่าเป้าจริง ของผมคือ ตั้งเป้าว่าแต่ละปีติดท็อป 10 เลยครับ เพราะพวก 10 คน มักจะ 3.90+ มีปีนึงได้ 3.92 ก็ยังไม่ติดครับ
2. จดจ่อกับตัวเราและเป้าหมายของเรา คือ ทุกคนเกิดและถูกเลี้ยงมาต่างกัน เรียนเก่งเลยไม่เท่ากันครับ แต่คุณต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า
เราอ่อนตรงไหน และเราจะพัฒนายังไง ฉะนั้น วิธีของคนอื่นอาจไม่ได้ผลกับเรา แต่ก็ไม่เสียหายที่จะดูวิธีที่พวกเก่งๆใช้แล้วลองทำตาม
ของผม คือ มาค้นพบว่า ตัวเองจะทำข้อสอบดี ถ้าอ่านล่วงหน้า 2 สัปดาห์ และทำสมุดสรุปทุกวิชาเสร็จก่อนสอบ 1 สัปดาห์ เวลาที่เหลือ คือ มาเน้นย้ำประเด็นที่สำคัญ อันนี้ก็ลองดูพวกที่เก่งๆทำครับ (บางคนมาอ่านเน้นๆ 1 สัปดาห์ก่อนสอบ ก็ได้คะแนนเยอะกว่าละ)
3. ตั้งเป้าหมายได้ แล้วลองแบ่งวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายให้เป็นหน่วยย่อยๆ แล้วจำกัดไปเลยว่า แต่ละวันจะทำอะไรเท่าไหร่ อย่าผัดวันประกันพรุ่งเด็ดขาด ตรงนี้ต้องหักดิบครับ วิธีพื้นฐานมากๆ แต่ร้ายกาจที่สุด เพราะถ้าไปรอทำทีเดียว มันจะรู้สึกเยอะ ไม่อยากทำ แล้วก็ล้มเหลวตามเคย
4. ประเมินของของแผนการที่เราใช้เสมอ ว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน เอาไปปรับคราวหน้า (โชคดีว่า คณะผมสอบบ่อย เลยมีโอกาสปรับแผนเยอะ) ทำวนไปเรื่อยๆครับ
ท้ายสุดแล้ว ผมก็ไม่เคยติดท็อป 10 เลยครับ แต่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 แบบฉิวเฉียด แม้ว่าจะเสียใจเรื่องหนึ่ง แต่เป้าหมายอีกเรื่องหนึ่งก็บรรลุครับ
ส่วนเรื่อง "คิดมาก" นั้น มันเป็นที่ตัวเราครับ ของผม คือ เสียใจได้ แต่ต้องเรียนรู้ว่า น้ำตาในวันนี้ มันต้องไม่เสียเปล่า มันต้องทำให้วันข้างหน้าดีขึ้น หลายๆอย่าง ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว จะได้หรือไม่ได้ผลยังไงก็ต้องปล่อยครับ ผลความเป็นจริงนั้น มีปัจจัยอีกมากที่ส่งผลต่อความสำเร็จเรา แค่เราพยายามและวางแผน ให้มันมี "เหตุ" ส่วน "ปัจจัย" นั้นเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ยากครับ
สู้ๆครับ
ของผมไม่รู้คล้ายกันหรือเปล่า
แต่ผมคือ อยากเข้าแพทย์ แต่ตอนสอบคะแนนขาดไม่นิดเดียว เลยเข้าคณะใกล้เคียง
คือตอนนั้น คุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่ได้เสียใจหรอกครับ ท่านบอก เอาที่ลูกสบายใจ
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย เกรดผมก็มีตั้งแต่ C ยัน A เลยครับ จนมาครึ่งทางก็ฮึดอีกครั้ง เพราะอยากได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
ก็ลองคำนวณดูครับว่า หน่วยกิตที่เหลือ ต้องทำเท่าไหร่ ถึงจะทันตอนจบ (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คือ GPA 3.60 ขึ้นไป)
วิธีของผมคือ
1. ตั้งเป้าสูงกว่าเป้าจริง ของผมคือ ตั้งเป้าว่าแต่ละปีติดท็อป 10 เลยครับ เพราะพวก 10 คน มักจะ 3.90+ มีปีนึงได้ 3.92 ก็ยังไม่ติดครับ
2. จดจ่อกับตัวเราและเป้าหมายของเรา คือ ทุกคนเกิดและถูกเลี้ยงมาต่างกัน เรียนเก่งเลยไม่เท่ากันครับ แต่คุณต้องรู้จักตัวเองก่อนว่า
เราอ่อนตรงไหน และเราจะพัฒนายังไง ฉะนั้น วิธีของคนอื่นอาจไม่ได้ผลกับเรา แต่ก็ไม่เสียหายที่จะดูวิธีที่พวกเก่งๆใช้แล้วลองทำตาม
ของผม คือ มาค้นพบว่า ตัวเองจะทำข้อสอบดี ถ้าอ่านล่วงหน้า 2 สัปดาห์ และทำสมุดสรุปทุกวิชาเสร็จก่อนสอบ 1 สัปดาห์ เวลาที่เหลือ คือ มาเน้นย้ำประเด็นที่สำคัญ อันนี้ก็ลองดูพวกที่เก่งๆทำครับ (บางคนมาอ่านเน้นๆ 1 สัปดาห์ก่อนสอบ ก็ได้คะแนนเยอะกว่าละ)
3. ตั้งเป้าหมายได้ แล้วลองแบ่งวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายให้เป็นหน่วยย่อยๆ แล้วจำกัดไปเลยว่า แต่ละวันจะทำอะไรเท่าไหร่ อย่าผัดวันประกันพรุ่งเด็ดขาด ตรงนี้ต้องหักดิบครับ วิธีพื้นฐานมากๆ แต่ร้ายกาจที่สุด เพราะถ้าไปรอทำทีเดียว มันจะรู้สึกเยอะ ไม่อยากทำ แล้วก็ล้มเหลวตามเคย
4. ประเมินของของแผนการที่เราใช้เสมอ ว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน เอาไปปรับคราวหน้า (โชคดีว่า คณะผมสอบบ่อย เลยมีโอกาสปรับแผนเยอะ) ทำวนไปเรื่อยๆครับ
ท้ายสุดแล้ว ผมก็ไม่เคยติดท็อป 10 เลยครับ แต่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 แบบฉิวเฉียด แม้ว่าจะเสียใจเรื่องหนึ่ง แต่เป้าหมายอีกเรื่องหนึ่งก็บรรลุครับ
ส่วนเรื่อง "คิดมาก" นั้น มันเป็นที่ตัวเราครับ ของผม คือ เสียใจได้ แต่ต้องเรียนรู้ว่า น้ำตาในวันนี้ มันต้องไม่เสียเปล่า มันต้องทำให้วันข้างหน้าดีขึ้น หลายๆอย่าง ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว จะได้หรือไม่ได้ผลยังไงก็ต้องปล่อยครับ ผลความเป็นจริงนั้น มีปัจจัยอีกมากที่ส่งผลต่อความสำเร็จเรา แค่เราพยายามและวางแผน ให้มันมี "เหตุ" ส่วน "ปัจจัย" นั้นเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ยากครับ
สู้ๆครับ
แสดงความคิดเห็น
ขอhow to ทำยังไงก็ได้ ขอไห้ตัวเองเลิกคิดมาก