Gifted 2017 - Latest Review
เรื่องนี้ผมดูมาซักพักแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสมานั่งรีวิว เห็นว่าน่าสนใจดี คะแนน Rating ก้ไม่น่าเกลียดแถมออกมาดีซะด้วย เป็นหนังที่กำกับโดย Marc Webb จาก (500) Days of Summer เมื่อประมาณเกือบ 10 ปีก่อน เขียนบทโดย Tom Flynn
เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับ Chris Evans ในบทพี่ชายแสนดีที่ไปรับลูกสาวของน้องสาวตัวเอง (ซึ่งเป็นเด็กอัจฉริยะ IQ สูง มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์) มาเลี้ยง ดูแล หลังจากน้องสาวของตัวเองเสียชีวิตลง ท่ามกลางความขัดแย้งไม่เห็นด้วยไม่ลงรอยกันระหว่างเขากับแม่
เรื่องราวจึงถูกแตกออกเป็นสองฝั่งระหว่างฝั่งแม่ ที่ต้องการเอาหลานไปไว้ในโรงเรียนเด็กมีพรสวรรค์ และจ้างติวเตอร์มาเพื่อเทรนหลานสาวของตัวเองตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เติบโตไปเป็นอัจฉริยะที่เก่งขึ้นในอนาคต
กับอีกฝั่งคือลุง (Chris Evans) ที่ต้องการนำหลานไปสัมผัสกับชีวิตของวัยเด็ก ตามแบบฉบับของเด็กๆวัยรุ่น วัยสนุกสนานแบบคนปกติทั่วๆไป
ในเขตชานเมืองเล็กๆแถบ Florida พาไปเจอเพื่อนๆ เด็กธรรมดาๆที่โรงเรียนธรรมดาๆ แล้วหลีกเลี่ยงเรื่องเครียดๆชวนปวดหัวออกไปให้หมด เพื่อให้เด็กสามารถมีชีวิตที่ปกติได้
จนท้ายที่สุดเรื่องมันเลยเถิดไปจนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล ทำให้แม่และลูกชายคนโตต้องขึ้นมาต่อสู้กันเองในชั้นศาล เพื่อแย่งสิทธิการรับเลี้ยงดู
ความ Drama ทั้งหมดจึงบังเกิดขึ้น
โดยรวมก็คือเป็นหนังแนว (melo)drama ผสมๆไปกับแนวตลกครอบครัว มีมุขแทรกมาบ้างกระจายๆไป แต่ก็ไม่ได้เยอะจนไปบดบังมิติความ drama ของหนังจนเกินไป พอดีๆแกล้มๆ
เนื้อเรื่องก็ธรรมดาๆนะ ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรใหม่ หรือมีลูกเล่นของวิธีการเล่าเรื่องแบบแปลกใหม่อะไร ออกมาแนว old school สไตล์หนังครอบครัวเมื่อก่อนมากๆเลย ที่สุดท้ายไม่ว่าหนังจะเดินไปยังไง คนดูก็คงพอจะเดาตอนจบ หรือทางลงของเนื้อเรื่องได้ง่ายๆอยู่ดี ถ้าไม่จาก Poster ก็จากลักษณะความสัมพันธ์ของตัวละครภายในเรื่อง
ที่ถูกใจก็คือเพลงประกอบนี่แหละ ทั้งเพลงและดนตรีประกอบของเรื่องนี้เป็นสิ่งที่โดนใจผมที่สุดแล้ว มันได้ทั้งอารมณ์เศร้า อารมณ์ความสุข อารมณ์สนุก คนคุม sound ประกอบจัดจังหวะดีอะ มันสามารถโผล่มาเพื่อช่วยให้คนดูน้ำตาใหลได้ในฉากเศร้า ฉาก drama และยิ้มได้ในฉากที่ตัวละครยิ้ม (เอาใจไปเลยตรงนี้)
ผมเข้าใจนะว่าหนังเรื่องนี้มันมีเป้าหมายเน้นที่ประเด็นดราม่า ซึ้งๆเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว ทำให้ต้องโฟกัสไปที่การบิวท์อารมณ์และเล่าเรื่องในส่วนนั้นมากหน่อย แต่ผลที่พ่วงมาคือ เนื้อในช่วงที่พระเอกต่อสู้กับแม่ตัวเองในชั้นศาลมันยังดูไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไร
ในเรื่องของการแสดง สำหรับ McKenna Grace แล้ว เธอแสดงได้ทั้งน่ารัก และสมบทบาทเด็กอัจฉริยะตัวน้อยผู้แก่แดดแก่วัย ไปจากอายุ 6-7 ขวบวัยอนุบาลไปมากๆ
และบทพูดก็ไม่ได้เวอร์มากเกินไป ตรงที่ Flynn เขียนไว้มันไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกว่า Grace แก่แดดไปซะทีเดียวหมดทุกเรื่อง ทุกมิติของชีวิต แต่มันเป็นความแก่แดดเฉพาะบางด้าน เช่นด้านคณิตศาสตร์หรือไม่ก็เรื่องทฤษฎีตัวเลขบางชนิดเท่านั้น แต่ในด้านอื่นๆ Grace ก็ยังคงมีบทพูดแบบเด็กๆทั่วไป มีความสงสัย มีคำถาม มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมบ้าง ตามประสาเด็กเล็ก (คือ มันดูธรรมชาติอะ ไม่เวอร์เท่าไร)
ส่วน Jenny Slate ในบทครูสาวน่ารักๆ ผมว่าไม่ค่อยเด่นเท่าไร อาจจะเพราะเรื่องนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้มีบทพระเอกคู่กับนางเอก บทของ Slate เลยออกจะดูห่างๆจากตัว storyline หลักอยู่เล็กน้อย คือไม่ค่อยได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวโดยตรงนัก (อันนี้น่าเสียดายที่ไม่มีฉาก love scene ของ Slate กับ Evans เลย)
สำหรับ Octavia Spencer ผมว่าเรื่องนี้ดูเป็นบทตัวละครสมทบที่ดีนะ คือ มีจังหวะในการเข้ามายุ่ง มีสเต็ปในการเข้ามาช่วยเหลือพระเอกและหลานสาว ทั้งยังคอยให้คำปรึกษา Spencer นี่เป็นตัวละครสมทบที่มีเอกลักษณ์อะ ผมชอบมาก ชอบจริงๆ ตั้งแต่เล่นเป็นพระเจ้าใน The Shack ละ มันมีทั้งความตลกในบทพูด และความตลกในการเล่นหน้าเล่นตา การกรอกตามองหน้าคนอื่นไรงี้อะ เวลายิ้มแล้วมองหลานสาวของพระเอกในเรื่องนี้ก็ดูอบอุ่น มีความโอบอ้อมอารีย์แฝงเอาไว้
แต่ในส่วนของ Lindsay Duncan (แม่พระเอก) ผมว่าอินเนอร์ของ Duncan ยังไม่ค่อยแรงเท่าไรนะ ในบทของคุณยายจอมบงการที่ต้องการจะหาทางทำให้หลานสาวของตัวเองเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุม คือมันยังดูมีความไม่หนักแน่น และไม่มีมาดที่เหมาะกับบทบาทที่ตัวเองเล่นอะ
ผมว่าโดยรวมหนังเรื่องนี้สามารถช่วยสะท้อนให้เห็นชีวิตในสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบันได้ดีมากเรื่องนึงเลยนะ มันได้ฉายให้เห็นถึงประโยชน์ในการประนีประนอมให้อยู่ในจุดภาวะสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัว/สังคม/ความสนุกสนาน กับชีวิตที่ต้องมอบให้กับงาน/การเรียน (work-life balance) ที่คนในยุคนี้มักพยายามจะโหยหาได้ดี (ซึ่งตลอดเวลาของการดำเนินเนื้อเรื่อง หนัง Gifted นี้ก็ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงข้อดีตรงนี้อยู่ตลอดเวลา แม้บางช่วงจะดูจางๆก็เถอะ)
แต่อีกเรื่องนึงที่ผมค่อนข้างสะดุดตา และค้างคาใจก็คือ ตัวละครที่ชื่อ Fred แมวตาเดียวเนี่ยแหละ (One-eyed cat) ว่ามันมีความหมายอะไรกับเรื่องนี้ ละผู้กำกับใส่แมวตัวนี้มาทำไม ใส่มาด้วยเหตุผลอะไรหรือเปล่า คือมันเป็นแมวที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ แต่ก็ไม่ค่อยได้มีบทบาทที่เด่นอะไรมากนัก แต่มุมกล้องและบทก็มักมีการพูดถึง Fred หรือเจ้าแมวตาเดียวอยู่บ่อยครั้ง
ผมเลยมาลองคิดดูเล่นๆว่า แมวตาเดียวในเรื่องนี้ อาจจะทำหน้าที่เป็นกระจกซ้อนที่ช่วยสะท้อนให้คนดูสามารถเห็น character ของ McKenna Grace ได้ชัดเจนขึ้นก็ได้ เพราะแมวตาเดียวนั้นมีตาแค่ข้างเดียว ตามชื่อมัน ทำให้มองเห็นทัศนวิสัยได้ผ่านตาแค่ข้างเดียว
ก็เหมือนกับหลานสาวของพระเอก ที่มีความเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ขาดทักษะในการเข้าสังคม แถมในตอนกลางๆเรื่องยังสงครามเกิดขึ้นระหว่างแม่พระเอก กับ พระเอกในการพยายามแย่งสิทธิในการเอาหลานสาวไปเลี้ยงในทิศทางที่ต่างคนต่างคิดว่าดีสำหรับหลานอีกต่างหาก
ความคิดที่แตกต่างกันของทั้งแม่(ยาย) และ พระเอก(ลุง) ช่วยชี้ให้เห็นถึงความมืดบอดในชีวิตของหลานสาวที่ถูกผู้ใหญ่รอบตัวพยายามจะดึงไปวางไว้ในตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งเดียว ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลที่ร้ายแรงจนกลายเป็นการทำให้หลานสาวของตนต้องขาดโอกาสในการเชื่อมต่อกับมิติอื่นๆของชีวิตไปโดยปริยาย...
ถ้าอ่านละชอบก็ขอเชิญชวนไปกดไลค์เพจด้วยนะครับ อิอิ:
https://www.facebook.com/critiquesofeverything/
[SR] Gifted - เมื่อกัปตันอเมริกาต้องมานั่งเลี้ยงหลาน [Review]
Gifted 2017 - Latest Review
เรื่องนี้ผมดูมาซักพักแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสมานั่งรีวิว เห็นว่าน่าสนใจดี คะแนน Rating ก้ไม่น่าเกลียดแถมออกมาดีซะด้วย เป็นหนังที่กำกับโดย Marc Webb จาก (500) Days of Summer เมื่อประมาณเกือบ 10 ปีก่อน เขียนบทโดย Tom Flynn
เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับ Chris Evans ในบทพี่ชายแสนดีที่ไปรับลูกสาวของน้องสาวตัวเอง (ซึ่งเป็นเด็กอัจฉริยะ IQ สูง มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์) มาเลี้ยง ดูแล หลังจากน้องสาวของตัวเองเสียชีวิตลง ท่ามกลางความขัดแย้งไม่เห็นด้วยไม่ลงรอยกันระหว่างเขากับแม่
เรื่องราวจึงถูกแตกออกเป็นสองฝั่งระหว่างฝั่งแม่ ที่ต้องการเอาหลานไปไว้ในโรงเรียนเด็กมีพรสวรรค์ และจ้างติวเตอร์มาเพื่อเทรนหลานสาวของตัวเองตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เติบโตไปเป็นอัจฉริยะที่เก่งขึ้นในอนาคต
กับอีกฝั่งคือลุง (Chris Evans) ที่ต้องการนำหลานไปสัมผัสกับชีวิตของวัยเด็ก ตามแบบฉบับของเด็กๆวัยรุ่น วัยสนุกสนานแบบคนปกติทั่วๆไป
ในเขตชานเมืองเล็กๆแถบ Florida พาไปเจอเพื่อนๆ เด็กธรรมดาๆที่โรงเรียนธรรมดาๆ แล้วหลีกเลี่ยงเรื่องเครียดๆชวนปวดหัวออกไปให้หมด เพื่อให้เด็กสามารถมีชีวิตที่ปกติได้
จนท้ายที่สุดเรื่องมันเลยเถิดไปจนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล ทำให้แม่และลูกชายคนโตต้องขึ้นมาต่อสู้กันเองในชั้นศาล เพื่อแย่งสิทธิการรับเลี้ยงดู
ความ Drama ทั้งหมดจึงบังเกิดขึ้น
โดยรวมก็คือเป็นหนังแนว (melo)drama ผสมๆไปกับแนวตลกครอบครัว มีมุขแทรกมาบ้างกระจายๆไป แต่ก็ไม่ได้เยอะจนไปบดบังมิติความ drama ของหนังจนเกินไป พอดีๆแกล้มๆ
เนื้อเรื่องก็ธรรมดาๆนะ ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรใหม่ หรือมีลูกเล่นของวิธีการเล่าเรื่องแบบแปลกใหม่อะไร ออกมาแนว old school สไตล์หนังครอบครัวเมื่อก่อนมากๆเลย ที่สุดท้ายไม่ว่าหนังจะเดินไปยังไง คนดูก็คงพอจะเดาตอนจบ หรือทางลงของเนื้อเรื่องได้ง่ายๆอยู่ดี ถ้าไม่จาก Poster ก็จากลักษณะความสัมพันธ์ของตัวละครภายในเรื่อง
ที่ถูกใจก็คือเพลงประกอบนี่แหละ ทั้งเพลงและดนตรีประกอบของเรื่องนี้เป็นสิ่งที่โดนใจผมที่สุดแล้ว มันได้ทั้งอารมณ์เศร้า อารมณ์ความสุข อารมณ์สนุก คนคุม sound ประกอบจัดจังหวะดีอะ มันสามารถโผล่มาเพื่อช่วยให้คนดูน้ำตาใหลได้ในฉากเศร้า ฉาก drama และยิ้มได้ในฉากที่ตัวละครยิ้ม (เอาใจไปเลยตรงนี้)
ผมเข้าใจนะว่าหนังเรื่องนี้มันมีเป้าหมายเน้นที่ประเด็นดราม่า ซึ้งๆเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว ทำให้ต้องโฟกัสไปที่การบิวท์อารมณ์และเล่าเรื่องในส่วนนั้นมากหน่อย แต่ผลที่พ่วงมาคือ เนื้อในช่วงที่พระเอกต่อสู้กับแม่ตัวเองในชั้นศาลมันยังดูไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไร
ในเรื่องของการแสดง สำหรับ McKenna Grace แล้ว เธอแสดงได้ทั้งน่ารัก และสมบทบาทเด็กอัจฉริยะตัวน้อยผู้แก่แดดแก่วัย ไปจากอายุ 6-7 ขวบวัยอนุบาลไปมากๆ
และบทพูดก็ไม่ได้เวอร์มากเกินไป ตรงที่ Flynn เขียนไว้มันไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกว่า Grace แก่แดดไปซะทีเดียวหมดทุกเรื่อง ทุกมิติของชีวิต แต่มันเป็นความแก่แดดเฉพาะบางด้าน เช่นด้านคณิตศาสตร์หรือไม่ก็เรื่องทฤษฎีตัวเลขบางชนิดเท่านั้น แต่ในด้านอื่นๆ Grace ก็ยังคงมีบทพูดแบบเด็กๆทั่วไป มีความสงสัย มีคำถาม มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมบ้าง ตามประสาเด็กเล็ก (คือ มันดูธรรมชาติอะ ไม่เวอร์เท่าไร)
ส่วน Jenny Slate ในบทครูสาวน่ารักๆ ผมว่าไม่ค่อยเด่นเท่าไร อาจจะเพราะเรื่องนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้มีบทพระเอกคู่กับนางเอก บทของ Slate เลยออกจะดูห่างๆจากตัว storyline หลักอยู่เล็กน้อย คือไม่ค่อยได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวโดยตรงนัก (อันนี้น่าเสียดายที่ไม่มีฉาก love scene ของ Slate กับ Evans เลย)
สำหรับ Octavia Spencer ผมว่าเรื่องนี้ดูเป็นบทตัวละครสมทบที่ดีนะ คือ มีจังหวะในการเข้ามายุ่ง มีสเต็ปในการเข้ามาช่วยเหลือพระเอกและหลานสาว ทั้งยังคอยให้คำปรึกษา Spencer นี่เป็นตัวละครสมทบที่มีเอกลักษณ์อะ ผมชอบมาก ชอบจริงๆ ตั้งแต่เล่นเป็นพระเจ้าใน The Shack ละ มันมีทั้งความตลกในบทพูด และความตลกในการเล่นหน้าเล่นตา การกรอกตามองหน้าคนอื่นไรงี้อะ เวลายิ้มแล้วมองหลานสาวของพระเอกในเรื่องนี้ก็ดูอบอุ่น มีความโอบอ้อมอารีย์แฝงเอาไว้
แต่ในส่วนของ Lindsay Duncan (แม่พระเอก) ผมว่าอินเนอร์ของ Duncan ยังไม่ค่อยแรงเท่าไรนะ ในบทของคุณยายจอมบงการที่ต้องการจะหาทางทำให้หลานสาวของตัวเองเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุม คือมันยังดูมีความไม่หนักแน่น และไม่มีมาดที่เหมาะกับบทบาทที่ตัวเองเล่นอะ
ผมว่าโดยรวมหนังเรื่องนี้สามารถช่วยสะท้อนให้เห็นชีวิตในสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบันได้ดีมากเรื่องนึงเลยนะ มันได้ฉายให้เห็นถึงประโยชน์ในการประนีประนอมให้อยู่ในจุดภาวะสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัว/สังคม/ความสนุกสนาน กับชีวิตที่ต้องมอบให้กับงาน/การเรียน (work-life balance) ที่คนในยุคนี้มักพยายามจะโหยหาได้ดี (ซึ่งตลอดเวลาของการดำเนินเนื้อเรื่อง หนัง Gifted นี้ก็ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงข้อดีตรงนี้อยู่ตลอดเวลา แม้บางช่วงจะดูจางๆก็เถอะ)
แต่อีกเรื่องนึงที่ผมค่อนข้างสะดุดตา และค้างคาใจก็คือ ตัวละครที่ชื่อ Fred แมวตาเดียวเนี่ยแหละ (One-eyed cat) ว่ามันมีความหมายอะไรกับเรื่องนี้ ละผู้กำกับใส่แมวตัวนี้มาทำไม ใส่มาด้วยเหตุผลอะไรหรือเปล่า คือมันเป็นแมวที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ แต่ก็ไม่ค่อยได้มีบทบาทที่เด่นอะไรมากนัก แต่มุมกล้องและบทก็มักมีการพูดถึง Fred หรือเจ้าแมวตาเดียวอยู่บ่อยครั้ง
ผมเลยมาลองคิดดูเล่นๆว่า แมวตาเดียวในเรื่องนี้ อาจจะทำหน้าที่เป็นกระจกซ้อนที่ช่วยสะท้อนให้คนดูสามารถเห็น character ของ McKenna Grace ได้ชัดเจนขึ้นก็ได้ เพราะแมวตาเดียวนั้นมีตาแค่ข้างเดียว ตามชื่อมัน ทำให้มองเห็นทัศนวิสัยได้ผ่านตาแค่ข้างเดียว
ก็เหมือนกับหลานสาวของพระเอก ที่มีความเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ขาดทักษะในการเข้าสังคม แถมในตอนกลางๆเรื่องยังสงครามเกิดขึ้นระหว่างแม่พระเอก กับ พระเอกในการพยายามแย่งสิทธิในการเอาหลานสาวไปเลี้ยงในทิศทางที่ต่างคนต่างคิดว่าดีสำหรับหลานอีกต่างหาก
ความคิดที่แตกต่างกันของทั้งแม่(ยาย) และ พระเอก(ลุง) ช่วยชี้ให้เห็นถึงความมืดบอดในชีวิตของหลานสาวที่ถูกผู้ใหญ่รอบตัวพยายามจะดึงไปวางไว้ในตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งเดียว ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลที่ร้ายแรงจนกลายเป็นการทำให้หลานสาวของตนต้องขาดโอกาสในการเชื่อมต่อกับมิติอื่นๆของชีวิตไปโดยปริยาย...
ถ้าอ่านละชอบก็ขอเชิญชวนไปกดไลค์เพจด้วยนะครับ อิอิ: https://www.facebook.com/critiquesofeverything/