โบรกฯ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) ให้เป้าราคาปี 2560 ไว้ที่ 21.40 บาท หลังคลายความกังวลประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก พร้อมประเมิน Q2/60 กำไรฟื้นตัวอยู่ที่ 55-60 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังคาดขยายตัวโดดเด่น จากการเริ่มส่งท่อร้อยสายไฟให้สุวรรณภูมิเฟส2-รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ และท่อร้อยสายไฟใต้ดินให้ กฟน. อีกทั้งทยอยรับรู้รายได้งานรับเหมาวางระบบจากบริษัทลูก “เม-ฆา เอส”ที่ตุนงานในมือไว้แล้ว 260 ล้านบาท หนุนกำไรสุทธิปีนี้โต 14% อยู่ที่ 301 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำ“ซื้อ” หุ้นบริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2560 เท่ากับ 21.40 บาท อิง PE Multiplier เฉลี่ยของกลุ่มอสังหาฯ รับเหมา และวัสดุก่อสร้างที่ 18 เท่า ซึ่ง ARROW มีจุดเด่นตรงเป็นผู้นำตลาดท่อร้อยสายไฟและกำไรสุทธิมีการเติบโตสม่ำเสมอ ด้วยฐานะทางการเงินที่เป็นเงินสดสุทธิ
ก่อนหน้านี้ ทางฝ่ายฯ มีความกังวลกับการพิจารณาภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กจากจีนที่จะทำให้ต้นทุนเหล็กของ ARROW เพิ่มขึ้นในระยะยาว แต่หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเพียงต่ออายุมาตรการเดิมออกไปอีก 5 ปี จากที่คาดว่าจะปรับอัตราภาษีขึ้นจากเดิม 3.22-66.01% ของราคา CIF ทำให้ความกังวลดังกล่าวผ่อนคลายลง ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ราคาเหล็กในตลาดโลกอ่อนตัว -15% เมื่อเทียบกับQ-Q จากไตรมาส 1/2560 ที่เพิ่มขึ้น +30%Q-Q จึงทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ ARROW จะขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี จากไตรมาส 1/2560 ทำให้เพียง 25.9%
ทั้งนี้ทางฝ่ายฯ คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2560 ของ ARROW จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 55-60 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2560 ที่ทำได้ 47 ล้านบาท อันเนื่องมาจาก 1.รายได้จากการขายท่อร้อยสายไฟยังมีแนวโน้มเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับเพิ่มราคาขายตามราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น 2.ต้นทุนลดลงตามราคาเหล็กในตลาดโลกที่ลดลง ซึ่งทำให้คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 30% จาก 25.9% ในไตรมาส 1/2560 และ 3.ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายของ เม-ฆา เอส ที่เป็นบริษัทลูกเหมือนไตรมาส 1/2560 ทีมีการลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อรองรับการปิดงานจาก Backlog ที่มีกว่า 260 ล้านบาทในไตรมาส2/2560
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ ARROW ได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะโต 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 301 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับ ซึ่งราคาปัจจุบันคิดเป็น PE2017 เพียง 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 16 เท่า ขณะที่ Upside ในอนาคตเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นจากแผนการลงทุนภาครัฐฯ ที่มีความชัดเจน
By Share2Trade
โบรกฯ สแกนหุ้น ARROW ได้เวลาคืนชีพ!แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 21.40 บ.
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำ“ซื้อ” หุ้นบริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2560 เท่ากับ 21.40 บาท อิง PE Multiplier เฉลี่ยของกลุ่มอสังหาฯ รับเหมา และวัสดุก่อสร้างที่ 18 เท่า ซึ่ง ARROW มีจุดเด่นตรงเป็นผู้นำตลาดท่อร้อยสายไฟและกำไรสุทธิมีการเติบโตสม่ำเสมอ ด้วยฐานะทางการเงินที่เป็นเงินสดสุทธิ
ก่อนหน้านี้ ทางฝ่ายฯ มีความกังวลกับการพิจารณาภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กจากจีนที่จะทำให้ต้นทุนเหล็กของ ARROW เพิ่มขึ้นในระยะยาว แต่หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเพียงต่ออายุมาตรการเดิมออกไปอีก 5 ปี จากที่คาดว่าจะปรับอัตราภาษีขึ้นจากเดิม 3.22-66.01% ของราคา CIF ทำให้ความกังวลดังกล่าวผ่อนคลายลง ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ราคาเหล็กในตลาดโลกอ่อนตัว -15% เมื่อเทียบกับQ-Q จากไตรมาส 1/2560 ที่เพิ่มขึ้น +30%Q-Q จึงทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ ARROW จะขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี จากไตรมาส 1/2560 ทำให้เพียง 25.9%
ทั้งนี้ทางฝ่ายฯ คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2560 ของ ARROW จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 55-60 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2560 ที่ทำได้ 47 ล้านบาท อันเนื่องมาจาก 1.รายได้จากการขายท่อร้อยสายไฟยังมีแนวโน้มเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับเพิ่มราคาขายตามราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น 2.ต้นทุนลดลงตามราคาเหล็กในตลาดโลกที่ลดลง ซึ่งทำให้คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 30% จาก 25.9% ในไตรมาส 1/2560 และ 3.ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายของ เม-ฆา เอส ที่เป็นบริษัทลูกเหมือนไตรมาส 1/2560 ทีมีการลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อรองรับการปิดงานจาก Backlog ที่มีกว่า 260 ล้านบาทในไตรมาส2/2560
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ ARROW ได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะโต 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 301 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับ ซึ่งราคาปัจจุบันคิดเป็น PE2017 เพียง 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 16 เท่า ขณะที่ Upside ในอนาคตเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นจากแผนการลงทุนภาครัฐฯ ที่มีความชัดเจน