เมื่อฉันถูกคลีนิคทันตกรรมมัดมือชกให้เซ็นใบยินยอม ... โดยไม่แจ้งเหตุผล แบบนี้ก็ได้เหรอ ?!?

ย้อนกลับไปเดือนกว่าๆที่ผ่านมา จขกท.เกิดอาการปวดฟันรุนแรง อาการคร่าวๆคือ อยู่ๆก็ปวดบริเวณฟันกรามน้อย  และในบางครั้งทานอาหารแทบไม่ได้ มีอะไรไปกระทบก็จะเจ็บ ฟันซี่นี้คอฟันสึกร่วมด้วย แต่ไม่เคยมีอาการอะไรมาก่อน กังวลมากเพราะเรารู้สึกว่าอาการไม่ปกติแน่ๆ เราตัดสินใจปรึกษาหมอฟัน ก่อนไปก็พยายามหาข้อมูล เลือกคลีนิคที่คิดว่าดีที่สุด เนื่องจากเราอยู่ต่างจังหวัด ทางเลือกไม่มาก สุดท้ายเลือกได้แล้วก็ไม่รอช้าเพราะกลัวว่าจะแย่ไปกว่านี้ ระหว่างนั้นเราได้หาข้อมูลคร่าวๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบอาการ เคสที่หนักสุดก็คือฟันผุลึก อาจต้องรักษารากฟัน ซึ่งเราก็เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้อยู่ คือเราค่อนข้างนอยด์และกลัวการทำฟันมาก เรียกว่าหาหมอนับครั้งได้ เราไม่ยากพลาด เฟลอะไรทั้งนั้น .., ที่เลือกมานี่ ก็ว่าเลือกดีแล้วเชียวนะ -*-"

วันรุ่งขึ้น ยังมีอาการปวดฟันอยู่ เลยกินยาบรรเทาอาการไปก่อน และตั้งใจว่าจะไปปรึกษาหมอเกี่ยวกับอาการปวดฟันครั้งนี้
พอไปถึงคลีนิค.....
ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ ผู้ช่วยรับนัด รอคิวเข้าพบ และเมื่อถึงคิวเรา หมอถามว่าเรามีอาการอะไรมา ก็เล่าให้ฟังว่า เราปวดบริเวณซี่ฟันที่คอฟันสึก มีอาการปวดมาก บางครั้งปวดจี๊ด และปวดต่อเนื่อง เมื่อกินยาจะปวดน้อยลง แต่ก็จะกลับมาปวดอีก มีปวดตอนกลางคืน เคี้ยวอาหารมีอาการเจ็บมาก คือกินแทบไม่ได้ ต้องกินยาระงับถึงจะช่วยได้ เราพยายามเล่าอาการให้ละเอียดที่สุดเท่าที่นึกได้ให้หมอทราบ และย้ำว่าตอนนี้เรายังมีอาการนั้นอยู่ รวมถึงความกังวลว่าจะต้องรักษารากฟันหรือไม่ ... สิ่งนึงที่เรารู้สึกคือ เรารู้สึกว่าหมอแทบไม่ได้วินิจฉัยเราเลย เราเป็นฝ่ายที่ต้องแจ้งและย้ำกับหมอเกี่ยวกับอาการ หมอแค่ตรวจและบอกว่าไม่ถึงกับต้องรักษารากฟัน ให้อุด ไม่มีการเอ็กซ์เรย์ ก่อนทำเราได้ย้ำถามว่า " ยังปวดฟันอยู่ อุดได้ใช่มั้ยคะ " ... คำตอบคือ " ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา "

คืออย่างที่บอก ก่อนมาเราก็หาข้อมูลมาล่วงหน้า ได้ข้อมูลว่าส่วนใหญ่คุณหมอจะไม่ทำอะไรกับคนไข้ที่ยังมีอาการ จะรอให้หายปวด หรืออะไรก็ว่าไป แต่ก็นะ เราเป็นคนไข้ ไม่ใช่หมอ เมื่อหมอบอกว่าได้เราก็เชื่อ แม้ว่าเราจะยังมีข้อสงสัย แต่ในจุดนั้นเราเลือกเชื่อใจหมอ รวมทั้งเกรงใจ ไม่อยากเซ้าซี้มากเพราะหมอก็ดูไม่ค่อยอยากตอบ ซักอาการน้อยมาก ไม่ได้วินิจฉัย ไม่ได้บอกถึงความเสี่ยงอะไร เหมือนเรากังวลมากไป อารมณ์แบบเข้าไปปุ๊บก็เตรียมจับเราทำฟันแค่นั้นจริงๆ

หลังจากอุดฟัน เรายังรู้สึกแปลกๆ ยังมีอาการปวด แต่น้อยลง แค่ปวดรำคาญ ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะวัสดุอุดฟันรึเปล่า .. คือหมอสันนิษฐานว่าเราคอาจจะมีอาการเหงือกอักเสบร่วมด้วย แต่ก็ไม่ได้จ่ายยาอะไรให้ อุดเสร็จมีแค่แนะนำให้เรามาขูดหินปูนด้วย ไม่มีคำแนะนำการปฏิบัติตัว ข้อควรระวังเกี่ยวกับอาการ ไม่มีการแจ้งความเสี่ยงใดๆว่าหลังอุดฟัน ฟันซี่นี้ยังมีความเสี่ยงที่อาจต้องรักษาราก ... ไม่มีเลย !!!!! ..  จ่ายเงิน คุณผู้ช่วยนัดให้เรามาขูดหินปูนต่อในเย็นวันนั้น เราโอเค แต่ก็ไม่ลืมที่จะถามย้ำว่า "ทำฟันต่อได้ใช่มั้ยคะ" ... คำตอบคือ "ได้ค่ะ"
( ช่วงเย็น ก่อนขูดหินปูน เราแจ้งอาการกับหมอด้วยว่า เรายังปวดฟันซี่ที่อุด แต่ปวดน้อยลง และหมอยืนยันว่า ขูดหินปูนต่อได้ )

เวลาผ่านไป วันที่ 1,2,3 ..... เรายังมีอาการตึงๆฟันซี่ที่อุด ไม่มีอาการปวดรุนแรง แต่มันรู้สึกไม่ค่อยสบาย เหงือกด้านบนมีอาการตึงๆ ความรู้สึกนี้มันขึ้นไปจนถึงบริเวณข้างจมูก เวลากดๆด้านข้างจมูกจะรู้สึก คงเพราะกดไปโดนเหงือกด้านบน ด้วยความที่มันไม่ได้ปวดมาก แค่ตึง บวกกับความชะล่าใจ เราก็ยังคิดในแง่ดีว่าอาจเป็น Effect จากวัสดุอุดฟัน ต้องรอให้เข้าที่อะไรแบบนั้น อาการตึงๆนั้นยังคงมีมาเรื่อยๆ ... กระทั่งผ่านมาเดือนนึง หลังจากนั้น เราพบว่ามีเหงือกบวมแดงบริเวณเหนือตัวฟันที่อุดไว้ ไม่มีอาการเจ็บ เลยกินยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ และรอดูอาการ ซึ่งมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย แถมแย่ลง จนกระทั่งเกิดตุ่มหนอง ... มาถึงตอนนี้ เรากังวลมาก เริ่มคิดได้ว่ามันไม่ใช่และ เราต้องกลับไปหาหมอ ใจจริงอยากจะเปลี่ยนที่มาก แต่ก็ลังเลเพราะหมอคนเดิมเคยรักษาเราแล้ว ก็ควรไปปรึกษากับเค้าก่อน ในตอนนั้นเราค่อนข้างมั่นใจว่าคงต้องรักษารากฟันแน่ๆละ  เราตำหนิหมอในใจว่า ถ้าวินิจฉัยละเอียดกว่านี้ รอดูอาการ คนไข้อย่างเราคงมีทางเลือก อย่างน้อยเราก็ยังรู้ว่าเราจะมีความเสี่ยง เราคงกลับมาหาหมอได้เร็วกว่านี้, จะอุดฟันให้ทำไม ? ในเมื่อมันมีความเสี่ยงที่จะรักษาราก ทำไมไม่เอ็กซ์เรย์ บลาบลาบลา

เมื่อกลับไปหาหมอ ....
จริงๆเรามีคำถามอยากถามเยอะ แต่พอไปถึงจริง ด้วยความเกรงใจ และแอบสับสนว่าเราถามหาความรับผิดชอบจากหมอได้รึ คือมันงงๆ ส่วนนึงเราก็คิดว่ามันเป็นเพราะฟันเราที่ต้องรักษารากฟันอยู่แล้ว แม้ว่าหมอจะวินัจฉัยไม่ละเอียด สุดท้ายเราก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดทั้งหมดออกไป รอดูท่าทีไปก่อน แค่แจ้งว่าเหงือกอักเสบและมีตุ่มหนองซี่ที่มาอุด หมอเลยให้เอ็กซ์เรย์ ปรากฎอ่านฟิล์มออกมา มีเงาดำอยู่ที่ปลายรากฟัน ฟันติดเชื้อ และต้องรักษารากฟัน และนั่นคือบทสรุป
อวสานฟันกรามน้อย !!!!

เรายังอยากได้คำอธิบายจากหมอเรื่องที่อุดฟันให้เรา คือไม่เข้าใจที่เราต้องเสียเงินหลายต่อ รู้สึกไม่เคลียร์กับอะไรเลย หมอไม่ได้รู้สึกผิด ไม่มีการเอ่ยถึง ทั้งที่เราถามย้ำซ้ำๆหลายครั้งมากในการรักษาก่อนหน้านี้ แอบเคือง รู้สึกเสียดายเงินด้วย

นัดวันรุ่งขึ้น (ถึงจุดไคลแมกซ์ละ)
หลังการวินิจฉัยว่าต้องรักษาราก วันถัดมา เรามีนัดรักษารากฟันแมทช์แรก ถึงเวลาเราไปก่อนเวลา หมอไม่มีคนไข้พอดีก็เลยจะเรียกเราให้เข้าไปเลย แต่ด้วยความที่เราขี้กลัว ผู้ช่วยเลยให้เรานั่งเตรียมตัวไปก่อน รอตามเวลานัดเดิม ระหว่างนั้นมีคนไข้เดินเข้าๆออกๆในห้องตรวจ จนกระทั่ง...คนไข้รายนึงเข้าไปคุยกับผู้ช่วย
อันที่จริง เราไม่ได้สนใจบทสนทนาของทั้งคู่เลยในตอนแรก แต่...เมื่อคุยกันไปซักพัก คนไข้หญิงรายนั้นเริ่มเสียงดังขึ้น ใจความของเรื่องคือ เค้ามาทำฟันที่นี่หลายครั้ง ทั้งอุดฟันและรักษาราก ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหา แต่ปัญหามันเกิดตรงที่ครั้งล่าสุด เค้าอุดฟันซี่นึง หลังจากนั้นเดินทางไปต่างประเทศ แล้วได้ไปตรวจฟันที่ต่างประเทศ หมอเอ็กซ์เรย์และแนะนำว่าฟันซี่นี้ต้องทำการอุดเพิ่มเพราะมีผุด้านใน เมื่อกลับมาเค้ามาพร้อมกับฟิล์มและมาตรวจเพิ่มกับทางคลีนิค หมอแจ้งว่าต้องรักษารากฟัน ... ฟันซี่นี้หมอเคยตรวจและอุดด้านนอกไปแล้ว แต่คนไข้เค้าก็สงสัยว่าแล้วในการตรวจครั้งนั้นไม่เห็นหรือว่าอีกด้านมันมีฟันผุอยู่ ประกอบกับหมอต่างประเทศแนะนำว่าให้มาอุดเท่านั้น ไม่ได้มีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องรักษาราก แต่ทำไมที่นี่วินิจฉัยให้รักษารากเลย .....

บทสนทนาในช่วงนี้ทำเอาเราหลอน เพราะมันมีประสบการณ์บางอย่างที่เรายังไม่เคลียร์ เช่น ถ้าฟันมันมีความเสี่ยงต้องรักษาราก ทำไมหมอไม่เลือกรักษารากเลย จะอุดทำไม ?, ทำไมไม่เอ็กซ์เรย์, หมอไม่แนะนำอะไรเลย ทำไมหมอไม่บอกว่าต้องทำไง ( ข้อนี้คือ ระหว่างเถียงๆกัน ผู้ช่วยเกิดโมโห เหวี่ยงกลับด้วยคำถามว่า "แล้วหลังอุด คนไข้ได้ใช้ไหมขัดฟันรึเปล่า" คนไข้เค้าเลยบอกว่า หมอไม่ได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัว ดูแลอะไรเลย คือจริงๆเราเห็นด้วยเรื่องการใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาด เราเองใช้ตลอดไม่เกี่ยวว่าฟันจะยังดีหรือไม่ดี แต่เรามองว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ตรงประเด็นเท่าไร และไม่เกี่ยวกับเรื่องขั้นตอนวินิจฉัย )
ฟังมาถึงตรงนี้ เรากับแฟนมองหน้ากัน ... คือก่อนหน้านี้เราเคยบ่นกับแฟนตลอดว่า หมอเค้าวินิจฉัยน้อยนั่นนี่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ก่อนที่เรื่องราวจะเลวร้ายลง เพราะต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์ คนไข้คนอื่นก็มีนั่งอยู่บ้างประปราย ผู้ช่วยก็รีบมาเรียกเราเพื่อเข้าห้องตรวจ .. แต่ตอนนั้นเราบอกตรงๆว่า เรากลัว เราเลยยังไม่เข้า และคุยกับคนไข้หญิงรายนั้นถึงเรื่องประสบการณ์ที่เค้าได้จากการรักษา คือเคสอาจจะต่าง แต่มันมีความคล้ายกันที่การวินิจฉัยไม่ละเอียด การที่จับเราอุดฟัน ไม่รอดูอาการ ไม่ให้ทางเลือกนั่นนี่

ในระหว่างที่เราคุยกับคนไข้รายนั้น ผู้ช่วยอีกคนเดินเข้ามาหาเราถึง 2 รอบ ถามเราว่า พร้อมหรือยัง และยื่นเอกสาร 1 ใบให้เราเซ็น บอกว่าให้อ่านดูและเซ็น โดยไม่มีการให้คำอธิบายว่าทำไมเราต้องเซ็น ~ so what ?!? มันเป็นใบยินยอมรับการเงื่อนไขการรักษา จุดนี้เองที่ทำให้ความอดทนเราขาดผึง !!!
คือ ตรงนี้เรามองว่ามันเป็นความไร้จรรยาบรรณ ไม่เป็นมืออาชีพแบบสุดๆ อยู่ๆคุณถือเอกสารใบนึงมาให้คนไข้เซ็นโดยไม่มีคำอธิบายเนี่ยนะ มันคือการรักษารากฟัน ไม่ใช่ผ่าตัดสมอง ทำบายพาสหัวใจที่มีความเสี่ยงถึงชีวิต อันนั้นยังต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับคนไข้ถึงความเสี่ยงที่จะเกิด อธิบายกันอย่างละเอียด แล้วนี่คืออะไร ? ในความคิดเราคือ เค้าคงต้องการปกป้องตัวเอง เพราะเห็นว่าเราคุยกับคนไข้หญิงรายนั้น กลัวเรามีปัญหา เลยให้เราเซ็นยินยอม เพื่อเวลาที่เกิดอะไรก็จะเอาใบนี้มายื่นใส่หน้าเราว่าเรายินยอมเอง !! ขอสอบถามผู้รู้ในกรณีนี้เลยนะคะ เพราะเท่าที่ทราบแม้เซ็นยินยอมไปแล้ว แต่หากเกิดความผิดพลาด หมอที่ทำการรักษาก็ต้องรับผิดชอบคนไข้อยู่ดี แล้วถ้าคนไข้เป็นตาสีตาสา ไม่รู้ต้องทำยังไง กลัวที่จะตอบโต้หมอก็กลายเป็นว่าต้องยอมรับสภาพไปแบบนี้เหรอ เราเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์และเตือนให้คนไข้อย่างเราๆทราบว่าคุณอาจพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ จะได้ปฏิบัติตัวกันได้ถูก รักษาและปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ไม่ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบ

ส่วนเราเลือกทางไหน ? เราเลือกเดินออกจากร้านเลยค่ะ เราไม่เซ็น ไม่รักษาด้วย เพราะเราไม่ไว้ใจอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เราได้ติดต่อนัดทำการรักษากับแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งพื้นที่ที่เราอยู่มีอยู่คนเดียว .. หลังจากออกจากร้าน เราตระเวนไปหลายที่ เราไม่รู้เกี่ยวกับข้อมูลหมอฟันด้วยซ้ำ เช็คกับหลายที่ และได้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำที่ดีมาก ได้คำยืนยันและความรู้เพิ่ม สุดท้ายได้ข้อมูลของคุณหมอเฉพาะทางมา และกำลังจะทำการรักษาแล้ว

เราอยากขอบคุณทุกที่ที่เราไปหามากๆ เพราะแค่ขอคำปรึกษาเค้าก็ยินดีให้คำแนะนำเต็มที่ มากกว่าที่เราได้จากหมอเดิมอีก ทั้งที่ยังไม่ทันได้เสียค่าใช้จ่ายเลย ด้วยความฉุกละหุกเพราะใกล้เวลาคลีนิคปิดกัน แต่พอเค้าทราบอาการก็แนะนำจนเราไปเจอกับหมออีกคนและได้ตรวจ หมออยู่รอก่อนปิดคลีนิคเลยค่ะ ประทับใจมาก

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวานสดๆร้อนๆ เราถือว่าตัวเองโชคดี คิดว่าเลือกถูกที่ไม่เสี่ยงกับที่เดิม เพราะฟันต้องอยู่กับเราไปอีกนาน เราไม่อยากมาแก้ปัญหายุ่งยากในภายหลัง เลยมาเล่าให้ฟัง อยากฝากข้อคิดเตือนใจซักหน่อยว่า "คนไข้ไม่มีความรู้เท่าหมอ แต่เรามีสิทธิ์เลือกและควรได้รับคำตอบในข้อสงสัย ส่วนคนเป็นหมอ ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าหมอ แต่จิตวิญญาณอาจจะไม่ใช่หมอซะทุกคน ฉะนั้นเลือกคนที่คุณมั่นใจ มีความรู้ ใจเย็นพอที่จะรับฟังปัญหาของคนไข้ จะได้ไม่ต้องลำบากใจกันในภายหลังค่ะ"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่