รู้จักกับ " ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ " ทีมที่สาม ที่ได้หวนคืนลีกอังกฤษสูงสุดอีกครั้ง ในรอบ 45 ปี



พอดีเราอ่านไปเจอคอลัมน์ในข่าวกีฬาของกรุงเทพธุรกิจพอดี เลยอยากเอาข้อมูลมาแชร์ให้ได้อ่านกันหน่ะค่ะ หลายอย่างน่าสนใจ เราเองก็ยังไม่เคยรู้เลยว่าปู่บิลด์ เคยคุมทีมนี้ด้วย

เครดิตจาก กรุงเทพธุรกิจ สกุ๊ป ( bangkokbiznews.com ) >> Link



          ในที่สุดก็ได้ทีมสุดท้ายสำหรับการคว้าตั๋วเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หลังจาก ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ เอาชนะ เรดดิง ในการดวลจุดโทษ 4-3 (ครบ 120 นาที เสมอ 0-0) ศึกอีเอฟแอล แชมเปียนชิพ รอบเพลย์ออฟ นัดชิงชนะเลิศ ณ สังเวียนเวมบลีย์ เมื่อคืนวันจันทร์ (29 พ.ค.) ที่ผ่านมา

           กลายเป็นทีมที่สามต่อจาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน ที่สามารถเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกพร้อมกับเป็นการหวนคืนเวทีลีกสูงสุดเมืองผู้ดีของ“เดอะ เทอร์เรียร์ส”ครั้งแรกในรอบ 45 ปี อีกด้วย และจากความสำเร็จดังกล่าววันนี้จะขอพาไปทำความรู้จักกับน้องใหม่ทีมสุดท้ายกับฤดูกาลที่แสนมหัศจรรย์ของพวกเขากันอีกครั้ง


อดีตอันเก่าแก่

           สโมสรซึ่งตั้งอยู่ในเมืองฮัดเดอร์สฟิลด์ ทางตะวันตกของยอร์คเชียร์ ถือเป็นอีกหนึ่งสโมสรเก่าแก่บนเกาะอังกฤษที่มีอายุกว่า 100 ปี โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งทีมเมื่อปี 1908 ความสำเร็จสูงสุดคือการเป็นแชมป์ลีกสูงสุดหรือดิวิชั่น 1 เดิม 3 สมัย เมื่อปี 1923-24, 1924–25, 1925-26 และแชมป์เอฟเอ คัพ 1922 โดยเป็นทีมแรกของอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ลีก 3 สมัยติดต่อกันได้เป็นทีมแรก (ยุคของแฮร์เบิร์ต แชปแมน 2 สมัย และ เซซิล พอตเตอร์ 1 สมัย)


Huddersfield Town , 1922


            นอกจากนี้พวกเขายังเคยมีกุนซือระดับขึ้นหิ้งอย่าง บิลล์ แชงคลีย์ คุมทัพระหว่างปี 1956-1959 ก่อนไปสร้างชื่อเป็นตำนานกับลิเวอร์พูล โดย แชงคลีย์ คุมฮัดเดอร์สฟิลด์ 3 ฤดูกาล หลังจากที่ทีมร่วงตกชั้นสู่ดิวิชั่น 2 ในปี 1956 แม้ไม่อาจพาทีมเลื่อนชั้นได้สำเร็จ จบที่ 12, 9 และที่ 14 ในฤดูกาล1958-59 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายก่อนไปรับงานคุมทีม“หงส์แดง” แต่ แชงคลีย์ ก็สร้างชื่อด้วยการปั้นนักเตะอย่าง เดนนิส ลอว์ เจ้าของฉายา“สตั๊ดเหินหาว” ซึ่งขณะนั้นเป็นดาวรุ่ง วัย 16 ปี และ เรย์ วิลสัน ขึ้นมาประดับวงการ


บิลล์ แชงคลีย์ สมัยคุมฮัดเดอร์สฟิลด์




เดนนิส ลอว์ เจ้าของฉายา“สตั๊ดเหินหาว”


            ฮัดเดอร์สฟิลด์ โลดแล่นบนลีกสูงสุดครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1972 โดยขุนพลชุดนั้นประกอบด้วย แฟรงค์ เวอร์ธิงตัน, เทรเวอร์ เชอร์รี, รอย เอลแลม, เจฟฟ์ ฮัตต์, ดิค เคอร์ซีวิคกี และ จิมมี ลอว์สัน โดยตลอดฤดูกาล 42 แมตช์ พวกเขาเก็บชัยชนะได้เพียง 6 นัด จบอันดับบ๊วยของตารางจากการมี 25 คะแนน เท่ากับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ร่วงตกชั้นจากลีกสูงสุดหลังขึ้นมาเล่นได้เพียง 2 ฤดูกาล


ชายที่ชื่อวากเนอร์



             หลังตกชั้น ฮัดเดอร์สฟิลด์ ไม่เคยอยู่บนลีกสูงสุดอีกเลยแถมยังเคยร่วงตกชั้นไปอยู่ในดิวิชั่น 4 เมื่อปี 2004 ก่อนจะกลับมาเล่นในเดอะ แชมเปียนชิพเมื่อปี 2012 แต่จบในกลุ่มท้ายตารางมาโดยตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจึงใช้กุนซือ 6 คน ก่อน ดีน ฮอยล์ เจ้าของสโมสร ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นและเชียร์ทีมนี้มาตั้งแต่เด็ก สร้างความแตกต่างด้วยการจ้าง เดวิด วากเนอร์ กุนซือชาวเยอรมนี เข้ามารับตำแหน่งพร้อมกับเป็นโค้ชนอกเกาะอังกฤษคนแรกในประวัติศาสตร์ 108 ปีของสโมสร

            การมาถึงของกุนซือเยอรมนี วัย 45 ปี ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในทีมสตาฟฟ์ของ เจอร์เกน คล็อปป์ และผ่านงานคุมทีมสมัครเล่นมากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (2011-15) ได้เปลี่ยนทีมจากอันดับ 19 ของตาราง กลายมาเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จด้วยสไตล์การเล่นเกมบุกอันเร้าใจ โดยไม่ใช้ซูเปอร์สตาร์ เน้นนักเตะอายุน้อยเป็นหลัก



           นอกจากสไตล์การเล่นซึ่งถูกเปรียบว่าเป็น “เบบี้ ลิเวอร์พูล” แห่งเดอะ แชมเปียนชิพแล้ว วากเนอร์ ยังถอดแบบ คล็อปป์ ในเรื่องภาพลักษณ์มาอีกด้วย ทั้งการสวมแว่นตา ไว้หนวดเครา สวมหมวกเบสบอลในบางครั้ง รวมถึงลีลาการลุ้นลูกทีมข้างสนาม



            แต่สิ่งที่นายใหญ่ “เดอะ เทอร์เรียร์ส” ได้รับคำชื่นชมมากที่สุดได้แก่การเป็นกุนซือที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ โดยช่วงปรีซีซั่น วากเนอร์ นำลูกทีมไปเก็บตัวที่สวีเดนโดยไม่ได้นำลูกบอลไปด้วย แถมยังพานักเตะเข้าไปใช้ชีวิตแบบตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เนต เป็นเวลา 3 วัน 4 คืน เพื่อให้ผู้เล่นเกิดความคุ้นเคยและเป็นการสร้างสปิริตก่อนเปิดซีซั่น ชนิดที่แทบไม่เคยที่โค้ชรายใดทำแบบนี้มาก่อน


ทีมที่ไม่เน้นซูเปอร์สตาร์



           วากเนอร์ จัดการคว้านักเตะที่เคยผ่านประสบการณ์ในลีกเยอรมนี รวมถึงศิษย์เก่า ดอร์ทมุนด์ บางคน เข้ามาร่วมงานทั้งหมด 13 ราย เช่น เอเลียส คาชุงกา, คริส เลอเว, คริสโตเฟอร์ ชินด์เลอร์, จอน โกเรนซ์-สตานโควิช, มิคาเอล เฮเฟเล และ อิวาน เพาเรวิช โดยบรรดาแข้งใหม่ที่เข้ามาเสริมทัพต่างเป็นนักเตะที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรมากมาย

            แต่สิ่งสำคัญคือการที่ วากเนอร์ สามารถกระตุ้นสปิริตและถ่ายทอดแนวทางให้ผู้เล่นเหล่านั้นสามารถเล่นร่วมกันได้ดี โดยมี อารอน มอย ห้องเครื่องทีมชาติออสเตรเลียเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลาง หลังย้ายจากแมนฯซิตี มาอยู่กับทีมด้วยสัญญายืมตัวเมื่อปีที่แล้ว เจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ซีซั่นนี้ลงเล่นไป 47 นัด ยิง 4 ประตู ผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูอีก 7 ลูก พ่วงด้วยสถิติจ่ายบอลสำเร็จ 82.7 เปอร์เซนต์

อารอน มอย ที่ยืมมาจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้


          นอกจากนี้ คาชุงกา ศูนย์หน้าดีอาร์ คองโก ซึ่งทีมไปดึงตัวมาจากอิงโกลสตัดต์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา คืออีกหนึ่งทีเด็ด เมื่อสามารถลงเล่นได้หลากหลายในระบบ 3 แนวรุกหลังกองหน้าหรือว่าจะเป็นบทบาทหน้าเป้า แม้ตอนแรกที่ย้ายมาใหม่ๆจะไม่เป็นที่รู้จักแต่มาถึงตอนนี้เจ้าตัวแจ้งเกิดในเกาะอังกฤษได้เรียบร้อยกับผลงานที่ซัดไปแล้ว 13 ประตู

           และจากสไตล์บุกรวดเร็วฉับไว ไม่ว่าเป็นการจ่ายบอล เติมเกมจากแผงหลังด้วยการดันฟูลแบ๊กขึ้นมาช่วย จนนำมาซึ่งผลงานชนะ 8 จาก 11 นัดแรก ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงพร้อมกับสร้างความมั่นใจให้กับทีมช่วงออกสตาร์ตฤดูกาล แถมมี นากี เวลส์ กองหน้าที่ครองบอลดี ช่วยทั้งยิงและจ่ายจากกราบทั้ง 2 ข้าง กลายเป็นเรื่องแปลกใหม่ไม่เป็นที่คุ้นเคยของคู่แข่งในแชมเปียนชิพจนทำให้พวกเขาบินสูงเหนือความคาดหมายกระทั่งตีตั๋วเลื่อนชั้นในรอบ 45 ปีได้สำเร็จในที่สุด

           แม้จะเป็นทีมที่สามารถคว้าตั๋วเลื่อนชั้นในแมตช์ที่มีมูลค่ากว่า 200 ล้านปอนด์ (ราว 8,600 ล้านบาท) แต่จากสถิติแชมป์เพลย์ออฟ 3 ปีหลัง ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส แชมป์เพลย์ออฟปี 2014, นอริช ซิตี ปี 2015 และ ฮัลล์ ซิตี ปี 2016 ต่างไม่สามารถเอาตัวรอดเมื่อขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้เลย

           ทำให้นี่จึงเป็นโจทย์สำคัญต่อจากนี้ของ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ว่าจะเตรียมตัวและมีวิธีการรับมืออย่างไรกับการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกหนแรกของพวกเขา ซึ่งดูเหมือนว่าตัวเลือกสำหรับซีซั่นหน้ามีแค่เป็นทีมแรกรอบ 4 ปีที่หนีตายได้ หรือตกตามกันไปเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน



Credit : Bangkokbiznews.com
ลิงค์ > > >
Link
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่