สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
คนใน อยากออกคนนอกอยากเข้า
ถ้าไม่นับพวกทุนหนา แฟรนไชน์ต่างประเทศ
กับพวกประสบความสำเร็จ โตวันโตคืน
แรกๆ ตอนเข้าหวังจะทำกำไร
อยู่ไปๆ เจอค่าเช่า ค่าแรง ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่นๆบาน
เริ่มกลับมาคิด ทำอะไรก็จ่ายให้เค้าหมด
จนเงินเหลือน้อยลงๆ บ้างก็ทนๆไป ไปที่ใหม่ก็อาจไม่ต่าง
พอครบปีหรือสามปี เจอขึ้นค่าเช่า
ก็เริ่มถอดใจ ไม่อยู่ต่อแล้ว
ห้องว่าง คนใหม่ก็มาเช่า เอาจากเงินเก็บที่ทำมา หรือ กู้เงินมา
แล้วก็เข้าวงจรคล้ายๆกัน
จนคนใหม่มาเช่าเริ่มหมด ห้างเลย เอ๊ะ ทำไมไม่มีคนมาเช่า หรือค่าที่จะแพงไป
ก็เริ่มจัดโปรลดราคา แค่นี้ เหยื่อรายใหม่ก็มา
ถ้าเงินมาไม่ทัน เพราะค่าใช้จ่ายเยอะเกิน ก็จะเริ่มกลายเป็นห้างเก่าๆ ไม่ค่อยปรับปรุง
เช่น พาต้า เมอรี่คิงส์ สุดท้าย หายไปจากระบบ
อเมริกาก็มีห้างปิดไปเยอะ เพราะคนซื้อออนไลน์เยอะ
แต่เมืองไทย ผมว่า ห้าง ปิดยากกว่า สาเหตุเพราะ อากาศร้อน
คนเข้ามาตากแอร์มาก ประหยัดค่าไฟบ้าน คนขายของก็คิดว่าน่าจะขายดี เลยยอมจ่ายแพงแล้วไปเสี่ยงดวงเอา
ถ้าไม่นับพวกทุนหนา แฟรนไชน์ต่างประเทศ
กับพวกประสบความสำเร็จ โตวันโตคืน
แรกๆ ตอนเข้าหวังจะทำกำไร
อยู่ไปๆ เจอค่าเช่า ค่าแรง ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่นๆบาน
เริ่มกลับมาคิด ทำอะไรก็จ่ายให้เค้าหมด
จนเงินเหลือน้อยลงๆ บ้างก็ทนๆไป ไปที่ใหม่ก็อาจไม่ต่าง
พอครบปีหรือสามปี เจอขึ้นค่าเช่า
ก็เริ่มถอดใจ ไม่อยู่ต่อแล้ว
ห้องว่าง คนใหม่ก็มาเช่า เอาจากเงินเก็บที่ทำมา หรือ กู้เงินมา
แล้วก็เข้าวงจรคล้ายๆกัน
จนคนใหม่มาเช่าเริ่มหมด ห้างเลย เอ๊ะ ทำไมไม่มีคนมาเช่า หรือค่าที่จะแพงไป
ก็เริ่มจัดโปรลดราคา แค่นี้ เหยื่อรายใหม่ก็มา
ถ้าเงินมาไม่ทัน เพราะค่าใช้จ่ายเยอะเกิน ก็จะเริ่มกลายเป็นห้างเก่าๆ ไม่ค่อยปรับปรุง
เช่น พาต้า เมอรี่คิงส์ สุดท้าย หายไปจากระบบ
อเมริกาก็มีห้างปิดไปเยอะ เพราะคนซื้อออนไลน์เยอะ
แต่เมืองไทย ผมว่า ห้าง ปิดยากกว่า สาเหตุเพราะ อากาศร้อน
คนเข้ามาตากแอร์มาก ประหยัดค่าไฟบ้าน คนขายของก็คิดว่าน่าจะขายดี เลยยอมจ่ายแพงแล้วไปเสี่ยงดวงเอา
ความคิดเห็นที่ 61
เอาประสบการณ์ตรงเลยนะครับ
บ้านผมขาย Jewelry ตั้งแต่ผมเกิด เมื่อสัก 20 กว่าปีก่อน พ่อแม่ผมมาเช่าพื้นที่ห้างดังย่านลาดพร้าว ตอนนั้นค่าเช่าหมื่นกว่าบาท มีที่จอดรถประจำให้อยู่ชั้น 2 สะดวกสบาย ไม่ต้องวนหาที่จอด อยู่ไปได้ 10 กว่าปี ห้างให้ย้ายไปจอดชั้น 3 และเริ่มขึ้นค่าเช่าเป็น 4 หมื่นกว่า พอก่อนห้างจะรีโนเวทใหญ่ ค่าเช่า 6 หมื่นกว่า ไม่มีที่จอดประจำให้ แถมแรกๆขอความร่วมมือให้อย่านำรถมาจอดเสาร์-อาทิตย์ แต่ตอนหลังแกมบังคับ ต้องเสียเงินค่าจอดแบบลูกค้าทั่วไป ลองนึกดูว่าวันหนึ่งจอด 10-12 ชั่วโมง โดนค่าจอดไปเท่าไหร่ ถ้าจะให้นั่ง Taxi ก็รู้ๆกันอยู่ แถมบางวันเราต้องถือของมีมูลค่าไปกลับ
ก่อนห้างเริ่มเปิดใหม่ เรียกผมไปดูพื้นที่ ค่าเช่าเดือนละ 120,000 บาท ยังไม่รวมค่าที่จอดรถ ส่วนพื้นที่ก็ให้เล็กกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง ที่บ้านเลยเลิกเช่า และไปได้พื้นที่ห้างแถวปทุมวันแทน โดยค่าเช่าเดือนละ 60,000 บาท ทำสัญญาปีต่อปี ยังไม่รวมค่าที่จอดรถ และบังคับให้จอดชั้นเกือบบนสุด อยู่มาจนช่วงกรุงเทพน้ำท่วมจึงเลิกเช่าเพราะสัญญาหมดลงพอดี
โดยรวมช่วง20 กว่าปีมานี่ที่บ้านผมหมดค่าเช่าไปหลายล้านบาทจากค่าเช่าพื้นที่ห้าง ค่าที่จอดรถ ค่าน้ำมัน ค่ากินใช้ ทุกวันนี้พอไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้ รายรับที่เข้ามา ถึงจะหายไปเยอะมาก แต่ถ้าคิดภาพรวม รายจ่ายก็ลดน้อยลงเยอะเช่นกัน
ทุกวันนี้ผมอยู่ต่างจังหวัด สุขภาพจิต สุขภาพกายใจดีขึ้นมาก อยากบอกคนที่คิดจะไปเช่าพื้นที่ห้างเพื่อทำธุระกิจ ถ้าห้างดังๆเข้าจะไม่ง้อเราเลย เค้าถือว่าห้างเค้าคนเดินเยอะติดตลาด คุณไม่เช่าก็มีคนอื่นอยากเช่า เราเหมือนพนักงานคนหนึ่งที่มีหน้าที่ต้องมาเปิดห้าง และอยู่จนห้างปิดทุกวัน ยิ่งห้างดังๆนี่ห้ามหยุดโดยไม่ขอ โดนค่าปรับ มาเปิดสายก็โดนปรับ ปิดร้านเร็วก็โดนปรับ
ส่วนห้างที่เพิ่งเปิดใหม่ค่าเช่าถูก แต่เหมือนเราไปช่วยจุดเตาไฟให้เค้า พอพัดจนไฟติด ห้างเริ่มดัง คนเดินเยอะ ปีถัดไปก็ขึ้นค่าเช่า ซึ่งขึ้นทุกปี ไหนจะกฎเกณฑ์ บางห้างกินข้าวกล่องยังไม่ได้ พูดในฐานะคนใช้ชีวิตในห้าง กินนอนอยู่ในห้างมาหลายห้าง ไม่มีความสุขเลยครับ
คนหลงกลเข้าไปเช่าพื้นที่กันเยอะเพราะเห็นมีคนเดินเต็มห้าง แต่ส่วนใหญ่เค้ามาเดินเล่นตากแอร์ ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ พวกอาหารในห้างยังยอดตก คนออกจากห้างก็ไปหากินร้านข้างนอก คนที่จะตายคือคนเช่า ส่วนพวกนายทุนห้างนอนตีพุงเก็บค่าเช่าสบาย แถมขึ้นค่าเช่ามันทุกปี สรุปห้างไม่เจ๊งแต่ผู้เช่าต่างหากครับที่เจ๊ง
บ้านผมขาย Jewelry ตั้งแต่ผมเกิด เมื่อสัก 20 กว่าปีก่อน พ่อแม่ผมมาเช่าพื้นที่ห้างดังย่านลาดพร้าว ตอนนั้นค่าเช่าหมื่นกว่าบาท มีที่จอดรถประจำให้อยู่ชั้น 2 สะดวกสบาย ไม่ต้องวนหาที่จอด อยู่ไปได้ 10 กว่าปี ห้างให้ย้ายไปจอดชั้น 3 และเริ่มขึ้นค่าเช่าเป็น 4 หมื่นกว่า พอก่อนห้างจะรีโนเวทใหญ่ ค่าเช่า 6 หมื่นกว่า ไม่มีที่จอดประจำให้ แถมแรกๆขอความร่วมมือให้อย่านำรถมาจอดเสาร์-อาทิตย์ แต่ตอนหลังแกมบังคับ ต้องเสียเงินค่าจอดแบบลูกค้าทั่วไป ลองนึกดูว่าวันหนึ่งจอด 10-12 ชั่วโมง โดนค่าจอดไปเท่าไหร่ ถ้าจะให้นั่ง Taxi ก็รู้ๆกันอยู่ แถมบางวันเราต้องถือของมีมูลค่าไปกลับ
ก่อนห้างเริ่มเปิดใหม่ เรียกผมไปดูพื้นที่ ค่าเช่าเดือนละ 120,000 บาท ยังไม่รวมค่าที่จอดรถ ส่วนพื้นที่ก็ให้เล็กกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง ที่บ้านเลยเลิกเช่า และไปได้พื้นที่ห้างแถวปทุมวันแทน โดยค่าเช่าเดือนละ 60,000 บาท ทำสัญญาปีต่อปี ยังไม่รวมค่าที่จอดรถ และบังคับให้จอดชั้นเกือบบนสุด อยู่มาจนช่วงกรุงเทพน้ำท่วมจึงเลิกเช่าเพราะสัญญาหมดลงพอดี
โดยรวมช่วง20 กว่าปีมานี่ที่บ้านผมหมดค่าเช่าไปหลายล้านบาทจากค่าเช่าพื้นที่ห้าง ค่าที่จอดรถ ค่าน้ำมัน ค่ากินใช้ ทุกวันนี้พอไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้ รายรับที่เข้ามา ถึงจะหายไปเยอะมาก แต่ถ้าคิดภาพรวม รายจ่ายก็ลดน้อยลงเยอะเช่นกัน
ทุกวันนี้ผมอยู่ต่างจังหวัด สุขภาพจิต สุขภาพกายใจดีขึ้นมาก อยากบอกคนที่คิดจะไปเช่าพื้นที่ห้างเพื่อทำธุระกิจ ถ้าห้างดังๆเข้าจะไม่ง้อเราเลย เค้าถือว่าห้างเค้าคนเดินเยอะติดตลาด คุณไม่เช่าก็มีคนอื่นอยากเช่า เราเหมือนพนักงานคนหนึ่งที่มีหน้าที่ต้องมาเปิดห้าง และอยู่จนห้างปิดทุกวัน ยิ่งห้างดังๆนี่ห้ามหยุดโดยไม่ขอ โดนค่าปรับ มาเปิดสายก็โดนปรับ ปิดร้านเร็วก็โดนปรับ
ส่วนห้างที่เพิ่งเปิดใหม่ค่าเช่าถูก แต่เหมือนเราไปช่วยจุดเตาไฟให้เค้า พอพัดจนไฟติด ห้างเริ่มดัง คนเดินเยอะ ปีถัดไปก็ขึ้นค่าเช่า ซึ่งขึ้นทุกปี ไหนจะกฎเกณฑ์ บางห้างกินข้าวกล่องยังไม่ได้ พูดในฐานะคนใช้ชีวิตในห้าง กินนอนอยู่ในห้างมาหลายห้าง ไม่มีความสุขเลยครับ
คนหลงกลเข้าไปเช่าพื้นที่กันเยอะเพราะเห็นมีคนเดินเต็มห้าง แต่ส่วนใหญ่เค้ามาเดินเล่นตากแอร์ ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ พวกอาหารในห้างยังยอดตก คนออกจากห้างก็ไปหากินร้านข้างนอก คนที่จะตายคือคนเช่า ส่วนพวกนายทุนห้างนอนตีพุงเก็บค่าเช่าสบาย แถมขึ้นค่าเช่ามันทุกปี สรุปห้างไม่เจ๊งแต่ผู้เช่าต่างหากครับที่เจ๊ง
แสดงความคิดเห็น
ห้างสรรพสินค้ามีเต็มกรุงเทพและปริมณฑลแบบนี้ จะไม่เกิด over supply หรอคะ ?