... เพชฌฆาตเดียรัจฉาน ...
แล้วในที่สุด ผมก็รับงานอีกครั้งจนได้
ถึงรู้ว่าถูกหมายหัวจากทางการให้จับตาย แต่มันก็คืออาชีพ เพียงแต่งานนี้ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า
...ครั้งนี้มันจะเป็นงานชิ้นสุดท้ายเสียที... ผมต้องปล่อยวางและมีสมาธิกับมันอย่างที่สุด เพราะะหลังจากงานนี้เสร็จสิ้นแล้ว ผมจะหายตัวไปอยู่ยังซอกหลืบไหนในโลกนี้ก็ได้ พอกันทีกับโลกเส็งเคร็งที่มีแต่ความเกลียดชัง มีแต่การแก้แค้น เอาชนะ ไม่เว้นแม้แต่ขอแค่ความสะใจ พอกันทีกับการว่าจ้างที่ไม่เคยมีคำอธิบายใดๆ และพอกันทีกับฉายาซึ่งผมไม่เคยรู้สึกรู้สมด้วยแม้แต่น้อย
“..เพชฌฆาตเดียรัจฉาน..”
ถึงฉายามันจะตอกย้ำสันดานดิบผมอย่างไรก็ตาม แต่ใครจะรู้ว่า เวลานี้ผมกำลังย้ำแล้วย้ำอีกกับเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ผมพยายามจะลบคำว่าเดียรัจฉานออกไปจากตัวเองให้ได้
ผมไม่รู้หรอกว่า การทำความดีกับคนอื่นต้องทำอย่างไร? และต้องทำเพียงไหน?
เด็กสาวอายุสิบเจ็ดเบื้องหน้า ผมไม่เข้าใจหรอกว่า ความไร้เดียงสาเป็นอย่างไร? ผมรู้แค่เพียงว่า คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะหายตัวไปจากวงจรเดียรัจฉานด้วยกันเมื่อผมทำงานเสร็จเรียบร้อย ผมไม่อยากให้เธอเดินตามรอยผม ทั้งๆที่เธอมีพรสวรรค์เสมือนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผม
เธอเป็นคนตระเตรียมปืนไรเฟิ่ลให้ผมเช่นเคย ปืนกับแมกกาซีนถูกบรรจุในกล่องกีต้าร์อย่างแนบเนียน ทุกอย่างดูกลมกลืน
ลงตัว เหมือนอย่างที่ผมพร่ำสอนฝึกปรือมาเมื่อเธอเริ่มย่างวัยสาว
ไวน์แดงซึ่งผมเพิ่งกลืนลงคอหลังชนแก้วกับเธอ มันรู้สึกถึงความร้อนฉ่า กระตุกเส้นเลือดทุกเส้น แล้วมันก็กลับอบอุ่น และค่อยๆลดองศาลงจนเย็นเยียบไปทั่วตัว แม้กระทั่งหัวใจ ความรู้สึกชาและไร้การตอบสนองแผ่ไปทั่วร่าง ของเหลวข้นสีแดงเริ่มทะลักออกมาจากรูจมูกทั้งสองของผม พยายามบังคับหางตาเหลือบไปยังคนเสิร์ฟไวน์ เสียงของเด็กสาวผู้ซึ่งผมฝึกปรือถ่ายทอดวิชาเดียรัจฉานมา พลันเอื้อนเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องฆ่าผัวเมียใครอีกแล้วล่ะ แม้จะเผลอไปเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว” เสียงนั้นราวกับแม่ชีสวดมนต์มาจากเมรุที่ไหนสักแห่ง
“จบสิ้นกันที ที่แกเคยเดียรัจฉานกับพ่อแม่กูมาต่อหน้าต่อตา”
ผมแน่ใจว่า... ผมได้ยินเสียงนั้น ได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนความรู้สึกจะดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดซึ่งไม่รู้ว่าเป็นอะไร..........
* เปลวอัคคี *
o เรื่องสั้นหน้าเดียว o
แล้วในที่สุด ผมก็รับงานอีกครั้งจนได้
ถึงรู้ว่าถูกหมายหัวจากทางการให้จับตาย แต่มันก็คืออาชีพ เพียงแต่งานนี้ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ...ครั้งนี้มันจะเป็นงานชิ้นสุดท้ายเสียที... ผมต้องปล่อยวางและมีสมาธิกับมันอย่างที่สุด เพราะะหลังจากงานนี้เสร็จสิ้นแล้ว ผมจะหายตัวไปอยู่ยังซอกหลืบไหนในโลกนี้ก็ได้ พอกันทีกับโลกเส็งเคร็งที่มีแต่ความเกลียดชัง มีแต่การแก้แค้น เอาชนะ ไม่เว้นแม้แต่ขอแค่ความสะใจ พอกันทีกับการว่าจ้างที่ไม่เคยมีคำอธิบายใดๆ และพอกันทีกับฉายาซึ่งผมไม่เคยรู้สึกรู้สมด้วยแม้แต่น้อย
“..เพชฌฆาตเดียรัจฉาน..”
ถึงฉายามันจะตอกย้ำสันดานดิบผมอย่างไรก็ตาม แต่ใครจะรู้ว่า เวลานี้ผมกำลังย้ำแล้วย้ำอีกกับเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ผมพยายามจะลบคำว่าเดียรัจฉานออกไปจากตัวเองให้ได้
ผมไม่รู้หรอกว่า การทำความดีกับคนอื่นต้องทำอย่างไร? และต้องทำเพียงไหน?
เด็กสาวอายุสิบเจ็ดเบื้องหน้า ผมไม่เข้าใจหรอกว่า ความไร้เดียงสาเป็นอย่างไร? ผมรู้แค่เพียงว่า คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะหายตัวไปจากวงจรเดียรัจฉานด้วยกันเมื่อผมทำงานเสร็จเรียบร้อย ผมไม่อยากให้เธอเดินตามรอยผม ทั้งๆที่เธอมีพรสวรรค์เสมือนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผม
เธอเป็นคนตระเตรียมปืนไรเฟิ่ลให้ผมเช่นเคย ปืนกับแมกกาซีนถูกบรรจุในกล่องกีต้าร์อย่างแนบเนียน ทุกอย่างดูกลมกลืน
ลงตัว เหมือนอย่างที่ผมพร่ำสอนฝึกปรือมาเมื่อเธอเริ่มย่างวัยสาว
ไวน์แดงซึ่งผมเพิ่งกลืนลงคอหลังชนแก้วกับเธอ มันรู้สึกถึงความร้อนฉ่า กระตุกเส้นเลือดทุกเส้น แล้วมันก็กลับอบอุ่น และค่อยๆลดองศาลงจนเย็นเยียบไปทั่วตัว แม้กระทั่งหัวใจ ความรู้สึกชาและไร้การตอบสนองแผ่ไปทั่วร่าง ของเหลวข้นสีแดงเริ่มทะลักออกมาจากรูจมูกทั้งสองของผม พยายามบังคับหางตาเหลือบไปยังคนเสิร์ฟไวน์ เสียงของเด็กสาวผู้ซึ่งผมฝึกปรือถ่ายทอดวิชาเดียรัจฉานมา พลันเอื้อนเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องฆ่าผัวเมียใครอีกแล้วล่ะ แม้จะเผลอไปเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว” เสียงนั้นราวกับแม่ชีสวดมนต์มาจากเมรุที่ไหนสักแห่ง
“จบสิ้นกันที ที่แกเคยเดียรัจฉานกับพ่อแม่กูมาต่อหน้าต่อตา”
ผมแน่ใจว่า... ผมได้ยินเสียงนั้น ได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนความรู้สึกจะดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดซึ่งไม่รู้ว่าเป็นอะไร..........