ขออนุญาตเล่าเรื่องยาวๆเลยนะครับ ใครจะมองว่าเป็นนิยายน้ำเน่าก็น่าจะเพลินๆได้อยู่นิดนึงครับ
ครอบครัวของผมมีธุรกิจส่วนตัวเป็นอู่ซ่อมรถยนต์ที่มีการขายส่งอะไหล่ด้วย โดยมีคุณพ่อเป็นเจ้าของและเป็นคนหลักในการทำธุรกิจตลอดมา ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้านและคอยช่วยจัดเก็บเรื่องเงินบ้าง เมื่อ10ปีก่อนคุณพ่อตัดสินใจกู้เงินเพื่อซื้อที่ดินและย้ายกิจการมาตั้งในที่ดินใหม่โดยคาดว่าจะสามารถผ่อนจ่ายหนี้ได้โดยไม่กระทบความเป็นอยู่ ในที่ดินนี้มีชื่อพ่อกับแม่เป็นเจ้าของคนละครึ่งและก็ใช้เป็นทั้งที่ทำงานและบ้านไปพร้อมกัน แต่หลายปีที่ผ่านมาภาวะทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปในขณะที่ธุรกิจของพ่อไม่ปรับตัวตาม จึงไม่มีกำลังมากพอจะจ่ายหนี้สินและถูกฟ้องยึดที่ดิน รวมถึงปัญหาการทำงานหลายอย่างในรูปแบบของพ่อที่ทำให้พนักงานคนสำคัญลาออก ยิ่งทำให้การหาเงินสะดุดและการจ่ายหนี้ทำได้ยากขึ้น ผมที่เพิ่งเรียนจบป.ตรีเมื่อ4ปีก่อน ตัดสินใจไม่ไปทำงานตามสายงานที่เรียนมาแล้วเข้ามาช่วยดูแลกิจการโดยทำงานแทนพนักงานที่ลาออกไป ส่วนเรื่องหนี้สินที่จ่ายไม่ไหวคุณพ่อก็ขอรีไฟแนนซ์ย้ายธนาคารไปกู้กับธนาคารใหม่ที่คิดดอกเบี้ยถูกกว่าและให้เงินมากพอมาโปะหนี้ทั้งในและนอกระบบ ในการนี้คุณแม่ตัดสินใจยกที่ดินส่วนของคุณแม่ให้ผมด้วยเพราะเห็นว่าผมควรได้รับที่ส่วนนี้ไว้ แต่ทางธนาคารที่จะขอกู้เงินเพื่อรีไฟแนนซ์ยื่นข้อเสนอให้ผมต้องลงชื่อเป็นผู้กู้ร่วมจึงจะให้กู้เงินก้อนนี้ได้ ผมในตอนนั้นที่มีความตั้งใจจะช่วยพ่อและไม่อยากให้ครอบครัวต้องลำบากจึงตกลง
2ปีผ่านไป เรากู้เงินเพิ่มอีกครั้งเพื่อโปะหนี้สินบางส่วน และส่วนหนึ่งจะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำรอง โดยครั้งนี้เราได้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำมากพอจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่มีอยู่ได้ในบัญชีโอดีได้ด้วย ผมเห็นว่ามีเงินเหลือพอจะสร้างธุรกิจเสริม ผมจึงชวนพี่สาวให้ออกจากงานมาเปิดร้านอาหารของเราที่คาดว่าจะมีรายได้ดีกว่าการรับเงินเดือนของพี่ เช่นเดียวกันกับที่คุณพ่อเห็นว่ามีเงินจากการกู้เหลืออยู่ในบัญชี จึงบอกผมว่าจะขอยืมไปหมุนสักเดือนสองเดือนแต่ก็เป็นจำนวนเงินมากพอจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจเราตลอดทั้งปีได้เลย ผมที่ไม่ค่อยอยากจะให้ไปจึงถูกบีบบังคับด้วยคำขู่จะทิ้งธุรกิจและหนี้สินไว้ให้ผมรับผิดชอบต่อคนเดียว(ทั้งๆที่พ่อเป็นคนทำไว้) ในตอนนั้นผมที่ยังด้อยความสามารถในการทำงานของครอบครัวจำต้องให้เงินไป โดยคุณพ่อรับปากว่าจะรับผิดชอบนำมาคืนตามที่ตกลงไว้
ณ ตอนนี้ ผ่านมาเกือบ 20 เดือนแล้ว ผมยังไม่ได้เงินก้อนนั้นคืนกลับมาเลยและต้องกู้นอกระบบซึ่งคนให้กู้ก็คือซัพพลายเออร์ที่ขายอะไหล่ให้เรา นอกจากนี้ผมยังถูกพ่อตำหนิทุกครั้งที่ขอเงินคืน พ่อบอกว่าผมเข้ามาสร้างปัญหาและหนี้สินเพิ่มขึ้น ทำให้กิจการของพ่อแย่ลง เทียบกับที่พ่อทำด้วยตัวเองมาตลอดไม่ได้เลย แต่ตลอด4ปีที่ผมทำมา ผมต้องอดหลับอดนอนเพื่อจัดการงานเอกสารตอนกลางคืน ตอนกลางวันต้องวิ่งตากแดดตากฝนคุยกับลูกค้าที่มาใช้บริการที่อู่ ผมต้องรับโทรศัพท์เพื่อรับออเดอร์สั่งอะไหล่ แบกอะไหล่ออกมาขาย และแบกขึ้นรถไปส่งเองบ่อยครั้ง ไปจ่ายเงินเข้าเงินที่ธนาคารตอนเช้าและตอนเย็น หลายครั้งก็ไปช่วยซ่อมรถลูกค้า ทำทุกอย่างทุกหน้าที่ในวันๆเดียวเพราะเราจ้างคนงานหลายคนไม่ไหว ผมยังถูกแฟนบอกเลิกเพราะทุ่มเทเวลาให้แต่งานของครอบครัว(โชคดีที่ตอนนี้เธอยังคอยอยู่เป็นกำลังใจแม้จะไม่ค่อยได้คุยกัน) ในขณะที่กิจการปรับตัวดีขึ้น เรามีพนักงานไม่มากแต่อยู่กับเรานานขึ้นจนผมสามารถแบ่งงานบางส่วนออกไปได้ มีการทำงานเป็นระบบมากขึ้น ตอนนี้ลูกค้าเริ่มเข้าหาเรา มีรายได้ที่พอจะทำให้หาซื้ออาหารแต่ละวันได้อย่างอุ่นใจ ผมขอความช่วยเหลือจากซัพพลายเออร์ที่สำคัญบางรายและได้รับการช่วยเหลือที่ดีมากๆด้านราคาอะไหล่และการจ่ายเงิน เราได้รับการรับรองมาตรฐานในการซ่อมรถจนมีความน่าเชื่อถือกว่าเดิม แต่ภาระหนี้สินก็ยังมีมากเกินจะจ่ายไหว ประกอบกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนสูงเหลือเกิน ตอนนี้ค่อนข้างกดดันมากเพราะถูกทวงถามบ่อย และกำหนดการจ่ายหนี้ให้ธนาคารก็คงที่ จะขอเลื่อนวันก็ไม่ได้
เมื่อผมนำมาคำนวนแล้วพบว่าที่เรากำลังประสบปัญหาเป็นเพราะเงินส่วนที่คุณพ่อนำออกไปแล้วไม่คืนและไม่ช่วยจ่ายดอกเบี้ยแต่กิจการของเราต้องจ่ายดอกเบี้ยแทนให้ตลอดหลายเดือนจนรายจ่ายเยอะเกินไปและติดลบสะสม รวมแล้วก็เท่าๆกับเงินส่วนที่เราจำเป็นต้องใช้มาจ่ายหนี้นอกระบบที่นำมาหมุนเวียนในกิจการของเราในตอนนี้เลย ในขณะที่จริงๆแล้วตอนนี้กิจการของเรามีรายได้มากพอจะผ่อนจ่ายหนี้สินของธนาคารได้เป็นอย่างดี และครอบครัวเราคงจะสุขสบายมาตั้งนานเป็นปีแล้วถ้าไม่มีหนี้ส่วนเกินนี้มาคอยเบียดเบียน
ความเจ็บช้ำในใจยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อผมตรวจย้อนหลังดูแล้วพบว่าคุณพ่อนำเงินก้อนใหญ่นี้ไปเข้าบัญชีของเมียน้อย(ซึ่งผมและคุณแม่รู้มานานหลายปีแล้วว่าพ่อมีเมียน้อย รู้จักชื่อนามสกุลหน้าตาและที่อยู่ของเค้า) เงินก้อนนี้ทำให้เค้ามีกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวมากขึ้น สร้างกิจการของตัวเองที่มีลักษณะคล้ายกับเราเหลือเกินจนมีหน้ามีตาในสังคมของเค้า(ผมแอบไปเห็นรูปถ่ายที่เค้าลงในไลน์และเฟซบุ๊คถึงความสุขสบายและความมั่งคั่งต่างๆที่เค้ามี) แต่ที่บ้านเรากลับต้องลำบาก นำทองที่พอจะมีไปขาย นำรถไปเข้าธนาคาร ขอกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้หลายรายซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของกิจการเรา รู้แบบนี้แล้วผมและพี่สาวที่กำลังสร้างธุรกิจร่วมกันคิดว่าอาจจะต้องปิดร้านของเราเพราะรายได้ของร้านที่เพิ่งเปิดไม่นานมันไม่มากพอจะมาจ่ายหนี้อันมากมายนี้ได้(ผมรู้สึกเสียใจที่ชวนพี่ให้ลาออกจากงานและเค้าต้องเสียโอกาสในการทำงานที่มั่นคงและมีตำแหน่งที่ก้าวหน้าไป) พี่ผมคิดว่าคงต้องไปเป็นพนักงานกินเงินเดือนที่มั่นคงแล้วนำเงินมาให้คุณแม่ได้ใช้จ่ายหาซื้อกับข้าวแต่ละวันแทนแล้วในตอนนี้
ตอนนี้ผมรู้สึกเห็นใจคุณแม่มาก ทุกคนเจ็บปวดจนเหมือนเราต้องทนอยู่ไปวันๆนึงให้พอมีที่อยู่และข้าวกิน เรามีบ้านซึ่งเป็นที่ทำงาน ตื่นมาก็ทำงานทันที ก่อนไปนอนก็ทำงานอยู่ข้างล่าง มีรถขับที่แชร์กันใช้ มีข้าวกินอิ่ม แต่ไม่มีเงินใช้จ่ายส่วนตัวอะไร และไม่รู้จะมีอนาคตเป็นยังไงแน่นอน ทุกคนต้องประหยัดมากและเครียดมากเพราะอึดอัดใจ อีกทั้งผมเองก็หนีไปไหนไม่ได้ จะทิ้งครอบครัวก็ทำไม่ลง จะทิ้งพนักงานที่เราจ้างเค้าทำงานให้มีกินมีใช้ทุกเดือนก็ทำไม่ได้ ในขณะที่พ่อบอกว่าทางเมียน้อยยังไม่พร้อมจะคืนเงินให้ เค้านำเงินไปใส่บัญชีเพื่อเดินบัญชีให้ธนาคารเห็นว่ามีรายได้ดีและจะปล่อยกู้ให้ แต่ทางธนาคารยังไม่ให้กู้ (ดูจากกิจการเค้าที่ดีวันดีคืนผมคิดว่าเค้านำเงินไปใช้จนหมดแล้ว และเลือกที่จะไม่เดือดร้อนอะไรทั้งนั้นเพื่อจะนำเงินมาคืน) นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายว่ามันคือความสุขของพ่อ ขอไว้ได้ไหมไม่ต้องมาทวงอีก ผมที่เป็นลูกถึงกับต้องก้มหน้ากลืนน้ำตาและทำได้แค่เงียบ เพราะผมมีชื่อเป็นหนี้ร่วมกับพ่อแต่ชื่อกิจการเป็นของพ่อคนเดียว ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องหรือเรียกร้องอะไรจากการที่ต้องตกเป็นหนี้แทนเมียน้อยของพ่อได้เลย ยังไม่นับที่พ่อยังคอยแอบจ่ายเงินส่งเสียให้เมียน้อยอีกคนหนึ่งในแต่ละเดือนอีกด้วย ซึ่งผมรู้มาตลอดแต่ก็เก็บเงียบไว้ กลายเป็นว่าคนนึงก็มาขอรับเงินทุกเดือน อีกคนก็เอาเงินก้อนใหญ่ไปสร้างฐานะจนร่ำรวย ความสุขของพ่อผมมันช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าผมจะรับได้แล้ว
เวลานี้ผมเลือกที่จะแข็งข้อกับพ่อเรื่องการใช้จ่ายเงิน และปรับเปลี่ยนรูปแบบในการเข้าหาลูกค้าให้เราสามารถหารายได้เพิ่มขึ้นซึ่งมันเริ่มดีขึ้นอย่างที่วางแผนไว้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้หนี้ที่พอกพูนหายไปได้เลยในทันที ซึ่งหนี้ส่วนนี้ผมเอาแต่คิดว่ามันมาจากการนำเงินไปให้เมียน้อยของพ่อใช้ ผมท้อใจแต่ก็รู้ว่าจะหยุดทำงานนี้ของครอบครัวไม่ได้ พ่อก็ยังทำงานอยู่ด้วยกันแต่ก็ยังทำเป็นเฉยเมยเมื่อผมพยายามอธิบายว่าถึงเวลาจำเป็นแล้วจริงๆที่ต้องนำเงินกลับมา เราจะแบกหน้าไปยืมเงินใครอีกต่อไปไม่ได้แล้ว และการรับผิดชอบของพ่อที่มีตอนนี้คือผมและพ่อต้องทำงานให้มากขึ้น ตลอด 7 วัน ไม่มีวันหยุด
ที่เล่ามาทั้งหมดมันอาจจะดูเหมือนเด็กที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย โทษแต่คนอื่นไม่โทษตัวเอง หรือยังไงก็ตามแต่ แต่บางทีมันก็จนปัญญาจริงๆที่จะคิดอะไรออกในตอนที่จิตใจตกต่ำ คิดทำอะไรก็ดูติดขัดไปหมด ที่จริงผมเฝ้าแต่โทษตัวเองที่ไม่มีความสามารถมากพอจะคุมธุรกิจของพ่อได้ดีในตอนนั้นจนพ่อหาเหตุผลมาขู่ได้ ผมอยากขอคำแนะนำว่าควรทำยังไงต่อไปดีในสิ่งที่ผมกำลังเจอ เมื่อธุรกิจของครอบครัวกำลังฟื้นตัว ธุรกิจของตัวเองอยู่ระหว่างสร้างตัวแต่ก็อาจจะต้องปิดตัวลงในไม่ช้า หนี้สินของธุรกิจหลักเราเริ่มจ่ายไหว แต่หนี้สินส่วนเกินทำให้เราตกที่นั่งลำบากซึ่งมีส่วนมาจากการนำไปช่วยสร้างฐานะให้เมียน้อยของพ่อ ผมอยากได้เงินคืนเหลือเกินแต่มันคงเป็นไปไม่ได้รึเปล่า ผมจำเป็นต้องนำเงินมาจ่ายคืนเจ้าหนี้และธนาคารจริงๆ เงินสดในมือก็มีแค่รอให้ลูกค้ามาซ่อมรถ รอให้ลูกค้ามาซื้ออะไหล่แล้วนำไปจ่ายหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่างๆกับจ่ายเงินเดือนพนักงานไปเรื่อยๆ ในใจคิดว่าจะขายรถเอาเงินมาจ่ายหนี้บางส่วนออกไปก่อน เหลือไว้แต่รถส่งของ และหาทางกู้เพิ่มเพื่อมารองรับเพราะธุรกิจกำลังสร้างรายได้ดีขึ้น แต่มันดูเหมือนจะเป็นวงจรเดิมๆ และคงอยู่แบบนี้ไปตลอดยังไงก็ไม่รู้
มีใครที่เคยเจอปัญหาคล้ายกันอย่างนี้บ้างไหมครับ รบกวนชี้แนะด้วยครับ ผมคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆครับตอนนี้
ธุรกิจครอบครัวกับภาระที่ต้องแบกรับ (หนี้จากการที่พ่อนำเงินไปให้เมียน้อยใช้สร้างฐานะ) รู้แบบนี้ควรทำยังไง
ครอบครัวของผมมีธุรกิจส่วนตัวเป็นอู่ซ่อมรถยนต์ที่มีการขายส่งอะไหล่ด้วย โดยมีคุณพ่อเป็นเจ้าของและเป็นคนหลักในการทำธุรกิจตลอดมา ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้านและคอยช่วยจัดเก็บเรื่องเงินบ้าง เมื่อ10ปีก่อนคุณพ่อตัดสินใจกู้เงินเพื่อซื้อที่ดินและย้ายกิจการมาตั้งในที่ดินใหม่โดยคาดว่าจะสามารถผ่อนจ่ายหนี้ได้โดยไม่กระทบความเป็นอยู่ ในที่ดินนี้มีชื่อพ่อกับแม่เป็นเจ้าของคนละครึ่งและก็ใช้เป็นทั้งที่ทำงานและบ้านไปพร้อมกัน แต่หลายปีที่ผ่านมาภาวะทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปในขณะที่ธุรกิจของพ่อไม่ปรับตัวตาม จึงไม่มีกำลังมากพอจะจ่ายหนี้สินและถูกฟ้องยึดที่ดิน รวมถึงปัญหาการทำงานหลายอย่างในรูปแบบของพ่อที่ทำให้พนักงานคนสำคัญลาออก ยิ่งทำให้การหาเงินสะดุดและการจ่ายหนี้ทำได้ยากขึ้น ผมที่เพิ่งเรียนจบป.ตรีเมื่อ4ปีก่อน ตัดสินใจไม่ไปทำงานตามสายงานที่เรียนมาแล้วเข้ามาช่วยดูแลกิจการโดยทำงานแทนพนักงานที่ลาออกไป ส่วนเรื่องหนี้สินที่จ่ายไม่ไหวคุณพ่อก็ขอรีไฟแนนซ์ย้ายธนาคารไปกู้กับธนาคารใหม่ที่คิดดอกเบี้ยถูกกว่าและให้เงินมากพอมาโปะหนี้ทั้งในและนอกระบบ ในการนี้คุณแม่ตัดสินใจยกที่ดินส่วนของคุณแม่ให้ผมด้วยเพราะเห็นว่าผมควรได้รับที่ส่วนนี้ไว้ แต่ทางธนาคารที่จะขอกู้เงินเพื่อรีไฟแนนซ์ยื่นข้อเสนอให้ผมต้องลงชื่อเป็นผู้กู้ร่วมจึงจะให้กู้เงินก้อนนี้ได้ ผมในตอนนั้นที่มีความตั้งใจจะช่วยพ่อและไม่อยากให้ครอบครัวต้องลำบากจึงตกลง
2ปีผ่านไป เรากู้เงินเพิ่มอีกครั้งเพื่อโปะหนี้สินบางส่วน และส่วนหนึ่งจะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำรอง โดยครั้งนี้เราได้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำมากพอจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่มีอยู่ได้ในบัญชีโอดีได้ด้วย ผมเห็นว่ามีเงินเหลือพอจะสร้างธุรกิจเสริม ผมจึงชวนพี่สาวให้ออกจากงานมาเปิดร้านอาหารของเราที่คาดว่าจะมีรายได้ดีกว่าการรับเงินเดือนของพี่ เช่นเดียวกันกับที่คุณพ่อเห็นว่ามีเงินจากการกู้เหลืออยู่ในบัญชี จึงบอกผมว่าจะขอยืมไปหมุนสักเดือนสองเดือนแต่ก็เป็นจำนวนเงินมากพอจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจเราตลอดทั้งปีได้เลย ผมที่ไม่ค่อยอยากจะให้ไปจึงถูกบีบบังคับด้วยคำขู่จะทิ้งธุรกิจและหนี้สินไว้ให้ผมรับผิดชอบต่อคนเดียว(ทั้งๆที่พ่อเป็นคนทำไว้) ในตอนนั้นผมที่ยังด้อยความสามารถในการทำงานของครอบครัวจำต้องให้เงินไป โดยคุณพ่อรับปากว่าจะรับผิดชอบนำมาคืนตามที่ตกลงไว้
ณ ตอนนี้ ผ่านมาเกือบ 20 เดือนแล้ว ผมยังไม่ได้เงินก้อนนั้นคืนกลับมาเลยและต้องกู้นอกระบบซึ่งคนให้กู้ก็คือซัพพลายเออร์ที่ขายอะไหล่ให้เรา นอกจากนี้ผมยังถูกพ่อตำหนิทุกครั้งที่ขอเงินคืน พ่อบอกว่าผมเข้ามาสร้างปัญหาและหนี้สินเพิ่มขึ้น ทำให้กิจการของพ่อแย่ลง เทียบกับที่พ่อทำด้วยตัวเองมาตลอดไม่ได้เลย แต่ตลอด4ปีที่ผมทำมา ผมต้องอดหลับอดนอนเพื่อจัดการงานเอกสารตอนกลางคืน ตอนกลางวันต้องวิ่งตากแดดตากฝนคุยกับลูกค้าที่มาใช้บริการที่อู่ ผมต้องรับโทรศัพท์เพื่อรับออเดอร์สั่งอะไหล่ แบกอะไหล่ออกมาขาย และแบกขึ้นรถไปส่งเองบ่อยครั้ง ไปจ่ายเงินเข้าเงินที่ธนาคารตอนเช้าและตอนเย็น หลายครั้งก็ไปช่วยซ่อมรถลูกค้า ทำทุกอย่างทุกหน้าที่ในวันๆเดียวเพราะเราจ้างคนงานหลายคนไม่ไหว ผมยังถูกแฟนบอกเลิกเพราะทุ่มเทเวลาให้แต่งานของครอบครัว(โชคดีที่ตอนนี้เธอยังคอยอยู่เป็นกำลังใจแม้จะไม่ค่อยได้คุยกัน) ในขณะที่กิจการปรับตัวดีขึ้น เรามีพนักงานไม่มากแต่อยู่กับเรานานขึ้นจนผมสามารถแบ่งงานบางส่วนออกไปได้ มีการทำงานเป็นระบบมากขึ้น ตอนนี้ลูกค้าเริ่มเข้าหาเรา มีรายได้ที่พอจะทำให้หาซื้ออาหารแต่ละวันได้อย่างอุ่นใจ ผมขอความช่วยเหลือจากซัพพลายเออร์ที่สำคัญบางรายและได้รับการช่วยเหลือที่ดีมากๆด้านราคาอะไหล่และการจ่ายเงิน เราได้รับการรับรองมาตรฐานในการซ่อมรถจนมีความน่าเชื่อถือกว่าเดิม แต่ภาระหนี้สินก็ยังมีมากเกินจะจ่ายไหว ประกอบกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนสูงเหลือเกิน ตอนนี้ค่อนข้างกดดันมากเพราะถูกทวงถามบ่อย และกำหนดการจ่ายหนี้ให้ธนาคารก็คงที่ จะขอเลื่อนวันก็ไม่ได้
เมื่อผมนำมาคำนวนแล้วพบว่าที่เรากำลังประสบปัญหาเป็นเพราะเงินส่วนที่คุณพ่อนำออกไปแล้วไม่คืนและไม่ช่วยจ่ายดอกเบี้ยแต่กิจการของเราต้องจ่ายดอกเบี้ยแทนให้ตลอดหลายเดือนจนรายจ่ายเยอะเกินไปและติดลบสะสม รวมแล้วก็เท่าๆกับเงินส่วนที่เราจำเป็นต้องใช้มาจ่ายหนี้นอกระบบที่นำมาหมุนเวียนในกิจการของเราในตอนนี้เลย ในขณะที่จริงๆแล้วตอนนี้กิจการของเรามีรายได้มากพอจะผ่อนจ่ายหนี้สินของธนาคารได้เป็นอย่างดี และครอบครัวเราคงจะสุขสบายมาตั้งนานเป็นปีแล้วถ้าไม่มีหนี้ส่วนเกินนี้มาคอยเบียดเบียน
ความเจ็บช้ำในใจยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อผมตรวจย้อนหลังดูแล้วพบว่าคุณพ่อนำเงินก้อนใหญ่นี้ไปเข้าบัญชีของเมียน้อย(ซึ่งผมและคุณแม่รู้มานานหลายปีแล้วว่าพ่อมีเมียน้อย รู้จักชื่อนามสกุลหน้าตาและที่อยู่ของเค้า) เงินก้อนนี้ทำให้เค้ามีกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวมากขึ้น สร้างกิจการของตัวเองที่มีลักษณะคล้ายกับเราเหลือเกินจนมีหน้ามีตาในสังคมของเค้า(ผมแอบไปเห็นรูปถ่ายที่เค้าลงในไลน์และเฟซบุ๊คถึงความสุขสบายและความมั่งคั่งต่างๆที่เค้ามี) แต่ที่บ้านเรากลับต้องลำบาก นำทองที่พอจะมีไปขาย นำรถไปเข้าธนาคาร ขอกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้หลายรายซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของกิจการเรา รู้แบบนี้แล้วผมและพี่สาวที่กำลังสร้างธุรกิจร่วมกันคิดว่าอาจจะต้องปิดร้านของเราเพราะรายได้ของร้านที่เพิ่งเปิดไม่นานมันไม่มากพอจะมาจ่ายหนี้อันมากมายนี้ได้(ผมรู้สึกเสียใจที่ชวนพี่ให้ลาออกจากงานและเค้าต้องเสียโอกาสในการทำงานที่มั่นคงและมีตำแหน่งที่ก้าวหน้าไป) พี่ผมคิดว่าคงต้องไปเป็นพนักงานกินเงินเดือนที่มั่นคงแล้วนำเงินมาให้คุณแม่ได้ใช้จ่ายหาซื้อกับข้าวแต่ละวันแทนแล้วในตอนนี้
ตอนนี้ผมรู้สึกเห็นใจคุณแม่มาก ทุกคนเจ็บปวดจนเหมือนเราต้องทนอยู่ไปวันๆนึงให้พอมีที่อยู่และข้าวกิน เรามีบ้านซึ่งเป็นที่ทำงาน ตื่นมาก็ทำงานทันที ก่อนไปนอนก็ทำงานอยู่ข้างล่าง มีรถขับที่แชร์กันใช้ มีข้าวกินอิ่ม แต่ไม่มีเงินใช้จ่ายส่วนตัวอะไร และไม่รู้จะมีอนาคตเป็นยังไงแน่นอน ทุกคนต้องประหยัดมากและเครียดมากเพราะอึดอัดใจ อีกทั้งผมเองก็หนีไปไหนไม่ได้ จะทิ้งครอบครัวก็ทำไม่ลง จะทิ้งพนักงานที่เราจ้างเค้าทำงานให้มีกินมีใช้ทุกเดือนก็ทำไม่ได้ ในขณะที่พ่อบอกว่าทางเมียน้อยยังไม่พร้อมจะคืนเงินให้ เค้านำเงินไปใส่บัญชีเพื่อเดินบัญชีให้ธนาคารเห็นว่ามีรายได้ดีและจะปล่อยกู้ให้ แต่ทางธนาคารยังไม่ให้กู้ (ดูจากกิจการเค้าที่ดีวันดีคืนผมคิดว่าเค้านำเงินไปใช้จนหมดแล้ว และเลือกที่จะไม่เดือดร้อนอะไรทั้งนั้นเพื่อจะนำเงินมาคืน) นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายว่ามันคือความสุขของพ่อ ขอไว้ได้ไหมไม่ต้องมาทวงอีก ผมที่เป็นลูกถึงกับต้องก้มหน้ากลืนน้ำตาและทำได้แค่เงียบ เพราะผมมีชื่อเป็นหนี้ร่วมกับพ่อแต่ชื่อกิจการเป็นของพ่อคนเดียว ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องหรือเรียกร้องอะไรจากการที่ต้องตกเป็นหนี้แทนเมียน้อยของพ่อได้เลย ยังไม่นับที่พ่อยังคอยแอบจ่ายเงินส่งเสียให้เมียน้อยอีกคนหนึ่งในแต่ละเดือนอีกด้วย ซึ่งผมรู้มาตลอดแต่ก็เก็บเงียบไว้ กลายเป็นว่าคนนึงก็มาขอรับเงินทุกเดือน อีกคนก็เอาเงินก้อนใหญ่ไปสร้างฐานะจนร่ำรวย ความสุขของพ่อผมมันช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าผมจะรับได้แล้ว
เวลานี้ผมเลือกที่จะแข็งข้อกับพ่อเรื่องการใช้จ่ายเงิน และปรับเปลี่ยนรูปแบบในการเข้าหาลูกค้าให้เราสามารถหารายได้เพิ่มขึ้นซึ่งมันเริ่มดีขึ้นอย่างที่วางแผนไว้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้หนี้ที่พอกพูนหายไปได้เลยในทันที ซึ่งหนี้ส่วนนี้ผมเอาแต่คิดว่ามันมาจากการนำเงินไปให้เมียน้อยของพ่อใช้ ผมท้อใจแต่ก็รู้ว่าจะหยุดทำงานนี้ของครอบครัวไม่ได้ พ่อก็ยังทำงานอยู่ด้วยกันแต่ก็ยังทำเป็นเฉยเมยเมื่อผมพยายามอธิบายว่าถึงเวลาจำเป็นแล้วจริงๆที่ต้องนำเงินกลับมา เราจะแบกหน้าไปยืมเงินใครอีกต่อไปไม่ได้แล้ว และการรับผิดชอบของพ่อที่มีตอนนี้คือผมและพ่อต้องทำงานให้มากขึ้น ตลอด 7 วัน ไม่มีวันหยุด
ที่เล่ามาทั้งหมดมันอาจจะดูเหมือนเด็กที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย โทษแต่คนอื่นไม่โทษตัวเอง หรือยังไงก็ตามแต่ แต่บางทีมันก็จนปัญญาจริงๆที่จะคิดอะไรออกในตอนที่จิตใจตกต่ำ คิดทำอะไรก็ดูติดขัดไปหมด ที่จริงผมเฝ้าแต่โทษตัวเองที่ไม่มีความสามารถมากพอจะคุมธุรกิจของพ่อได้ดีในตอนนั้นจนพ่อหาเหตุผลมาขู่ได้ ผมอยากขอคำแนะนำว่าควรทำยังไงต่อไปดีในสิ่งที่ผมกำลังเจอ เมื่อธุรกิจของครอบครัวกำลังฟื้นตัว ธุรกิจของตัวเองอยู่ระหว่างสร้างตัวแต่ก็อาจจะต้องปิดตัวลงในไม่ช้า หนี้สินของธุรกิจหลักเราเริ่มจ่ายไหว แต่หนี้สินส่วนเกินทำให้เราตกที่นั่งลำบากซึ่งมีส่วนมาจากการนำไปช่วยสร้างฐานะให้เมียน้อยของพ่อ ผมอยากได้เงินคืนเหลือเกินแต่มันคงเป็นไปไม่ได้รึเปล่า ผมจำเป็นต้องนำเงินมาจ่ายคืนเจ้าหนี้และธนาคารจริงๆ เงินสดในมือก็มีแค่รอให้ลูกค้ามาซ่อมรถ รอให้ลูกค้ามาซื้ออะไหล่แล้วนำไปจ่ายหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่างๆกับจ่ายเงินเดือนพนักงานไปเรื่อยๆ ในใจคิดว่าจะขายรถเอาเงินมาจ่ายหนี้บางส่วนออกไปก่อน เหลือไว้แต่รถส่งของ และหาทางกู้เพิ่มเพื่อมารองรับเพราะธุรกิจกำลังสร้างรายได้ดีขึ้น แต่มันดูเหมือนจะเป็นวงจรเดิมๆ และคงอยู่แบบนี้ไปตลอดยังไงก็ไม่รู้
มีใครที่เคยเจอปัญหาคล้ายกันอย่างนี้บ้างไหมครับ รบกวนชี้แนะด้วยครับ ผมคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆครับตอนนี้