ประสบการณ์อยู่ในห้องขังครั้งแรกของผม
ผมก็คงเหมือนคนปกติทั่วไป ครอบครองอาวุธปืนถูกกฎหมายไว้เพื่อการกีฬาและปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองครับ
เรื่องมาเกิดขึ้นเมื่อผมเดินทางลงไปภาคใต้ ตามปกติจะมีอาวุธปืนเก็บไว้ภายในรถอยู่ตลอด แต่ก่อนจะเดินทางก็ยังสองจิตสองใจว่าจะเอาไปด้วยดีไหม หลังจากคิดอยู่นานก็ตัดสินใจเอาไป เพราะมีแพลนเดินทางช่วงกลางคืนด้วย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินย่อมต้องมาเป็นอันดับแรก
จนกระทั่งไปเจอด่านยาเสพติดที่อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เป็นเวลา 1 ทุ่มโดยประมาณ รถทะเบียนต่างจังหวัดโดยเฉพาะจากทางเหนือ ถูกเรียกตรวจค้นละเอียดทุกคัน ด้วยความที่มั่นใจว่าตัวเองทำถูกกฎหมาย มีทรัพย์สิน มีงานการรายได้มั่นคง จึงไม่ได้ซ่อนปืนไว้มิดชิด แต่เก็บไว้ในช่องเก็บของตามปกติ และแยกซองกระสุนออกไว้อีกที่หนึ่ง แถมมีเงินสดติดตัวเกินสองหมื่นอีกต่างหาก ตามสูตรที่มีผู้รู้เขียนไว้ทุกอย่าง ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบ ผมถูกตั้งข้อหาทันที ฐานพกพาอาวุธไปในเมือง เขตชุมชน โดยไม่มีเหตุอันควร โดยไม่มีใบอนุญาตพกพา และครอบครองเครื่องกระสุนกว่าสามสิบนัด (ซองกระสุนบรรจุไว้ซองละ10นัด อยู่ในกระเป๋า3ซอง อันนี้พลาดมากๆ ลืมเอาออกจากรถ เพราะเวลาเดินทางไกลผมจะเอากระสุนติดไว้ไม่มากขนาดนี้) 4 ชั่วโมงหลังจากนั้น ทำการบันทึกผลการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง มีการถ่ายภาพการจับกุม ยืนกับตำรวจคอมมานโด ชี้ของกลาง
อย่างกับเจ้าพ่อมาเฟียถูกจับ จากนั้นผมถูกใส่กุญแจมือ แล้วนำตัวไปที่สถานี่ตำรวจ พิมพ์ลายนิ้วมือ ริบของกลางเพื่อตรวจสอบ และยื่นขอประกันตัวในวงเงิน 50,000บาท แล้วจึงถูกปล่อยตัวและรอนัดหมายเพื่อขึ้นฟังพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดชุมพรอีกครั้ง ผมกับแฟนออกจากโรงพักสลุยราวๆตีหนึ่งครึ่ง โรงพักตั้งอยู่บนเขา ผมเคยมาชุมพรเป็นครั้งแรก เราขับรถฝ่าความมืดเข้าตัวเมืองเพื่อไปที่พักที่จองไว้ ขณะนั้นเป็นเวลาราวๆตีหนึ่ง ระหว่างทางถูกรถกระบะวีโก้สีขาว เปิดไฟสูงไล่จี้ท้ายตามหลังมาตลอดทางเหมือนคนเมา หลบลงซ้ายให้แซงก็ไม่ยอมแซง ผมเหลือบมองช่องเก็บปืนที่ว่างเปล่า
#####################
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าพนักงานสอบสวน ให้เดินทางมาที่สำนักงานอัยการจังหวัดชุมพรในวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ในเวลาเก้าโมงเช้า เพื่อจะดำเนินการให้แล้วเสร็จทุกกระบวนการภายในหนึ่งถึงสองวัน เนื่องจากอยู่ต่างจังหวัด ต้องขอบคุณที่ช่วยอำนวยความสะดวกในหลายๆประการครับ
วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ผมกับแฟนเดินทางกลับมาที่จังหวัดชุมพรอีกครั้ง เราขับรถผ่านโรงพักสลุย ผ่านด่านตรวจที่เคยถูกจับกุมเมื่อครั้งก่อน มุ่งหน้าเข้าที่พักรอขึ้นศาลในวันถัดไป พยายามใช้เวลาให้คุ้มค่า เดินเที่ยวชายหาด กินอาหารทะเล
วันที่ 1 มิถุนายน 2560 เราไปถึงที่สำนักงานอัยการจังหวัดก่อนเวลานัดเล็กน้อย นั่งรอผู้ช่วย อัยการอยู่ราวๆสี่สิบนาที จึงได้เริ่มกระบวนการงานเอกสาร จากนั้นผู้ช่วยอัยการให้ผมไปหาเจ้าหน้าที่นิติกรที่ศาลที่อยู่ตึกติดกัน ผมกับแฟนเข้าไปแลกบัตรกับรปภ.แล้วนั่งรอ สักพักมีพี่นิติกรเข้ามาพาผมไปแลกบัตรคืน ให้พกบัตรประชาชนไว้กับตัว แล้วพาผมลงไปชั้นล่างที่เหมือนชั้นใต้ดินทึบๆ ส่วนแฟนผมให้นั่งรอชั้นบน
ที่ชั้นล่างของศาลยุติธรรม บรรยากาศค่อนข้างอับชื้น มีการแบ่งห้องเป็นห้องๆ มีกรงกั้นช่องหน้าต่าง ญาติกับนักโทษในนั้น นั่งคุยกันผ่านโทรศัพท์รุ่นเก่าสีครีมน้ำตาลสีเดียวกับสีเสื้อของผู้ต้องขัง เขาพาผมไปถึงทางเดินเล็กๆ มีพี่ตำรวจร่างสูงตัวดำๆหน้าตาเหี้ยมเกรียมนั่งคุมอยู่ จากนั้นนิติกรหันมาบอกผมว่า ผมต้องถูกควบคุมตัวในนี้รอขึ้นศาล และถูกริบโทรศัพท์มือถือทันที
ผมร้องขอพี่ตำรวจ "พี่ ผมขอโทรบอกแฟนก่อนได้มั้ย เพราะกลัวจะไม่รู้ว่าผมถูกพาไปไหน เดี๋ยวจะรออยู่นาน" แต่ก็ถูกปฏิเสธและบอกว่า "เดี๋ยวไม่เกินเที่ยงก็เสร็จแล้วล่ะ" ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 10:00น ผมถูกพาเข้าไปในห้องด้านหลัง ลักษณะเป็นห้องขังขนาดใหญ่ มีคนอยู่ในนั้นแล้ว 7-8 คน พี่ตำรวจดันหลังผมผ่านประตูเหล็กเข้าไป จากนั้นปิดประตูแล้วหันหลังเดินกลับไปนั่งที่เดิมอย่างไม่ค่อยจะใยดีนัก
ในห้องขังขนาดประมาณ 8x10 เมตร เพดานสูง มีหน้าต่างโปร่งเป็นกรงเหล็กรอบสามทิศ มีส้วมที่มีผนังเตี้ยๆระดับหน้าอก เป็นเหมือนคอกม้า 3 ห้อง เวลานั่งลงแล้วหัวเกือบจะโผล่มาคุยกันได้ มีพัดลมดูดอากาศใหญ่ๆ 1ตัว และพัดลมเล็กๆดูดอากาศตรงส้วมอีกสามตัว เพดานห้องสูงสี่เมตรกว่า มีระบบท่อน้ำดับเพลิง พร้อมพัดลมเพดานสี่ตัวใหญ่ๆที่คอยเป่าอากาศร้อนด้านบนกลับลงมา พื้นห้องโล่งปูกระเบื้องเคลือบเก่าๆสีครีม ไม่มีเก้าอี้ ทุกคนต้องนั่งกับพื้น มีกลุ่มนักโทษที่ใส่เสื้อไม่มีปก มีกระดุมสีน้ำตาลอ่อน กางเกงสะดอสีน้ำตาลเข้ม ผมสั้นเกรียน ทุกคนมีโซ่ตรวนขนาดใหญ่ยาวประมาณ60เซ็นติเมตร มีปลอกเหล็กรัดขาตรงปลายร้อยขาทั้งสองข้างไว้ เวลาเดินต้องคอยก้มลงไปเอามือหิ้วขึ้นเพื่อให้ไปได้เร็วๆ กลุ่มนักโทษนั่งรวมกันอยู่ฝั่งซ้าย เป็นฝั่งที่ใกล้หน้าต่างเล็กๆที่เอาไว้รับกล่องข้าว น้ำดื่ม ประมาณ 5-6 คน ทุกคนผิวเข้มสีเดียวกัน แววตาเดียวกัน แววตาเหล่านั้นเหลือบมามองผมแว็บหนึ่งแล้วก็หันไปสูบบุหรี่ และคุยกันต่อเป็นภาษาถิ่นที่ผมพอจะฟังออกเป็นบางประโยค
อีกฝั่งด้านขวามือ เป็นเด็กวัยรุ่น นั่งอยู่สองคู่ อายุน่าจะไม่เกิน 21 ปี ทั้งสี่คนไม่ได้ใส่ชุดนักโทษ แต่เป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ไม่ถูกใส่ตรวน ผมเลือกผนังด้านที่สกปรกน้อยที่สุดใกล้กับกลุ่มนี้ จึงค่อยหย่อนตัวนั่งลงแล้วคิดหาทางหนีแบบทีเล่นทีจริง ผมเลือกพัดลมดูดอากาศช่องซ้ายสุด ที่สามารถปีนไปยืนบนขอบปูนหลังส้วม จากตรงนั้นผมสามารถเอื้อมไปดึงปลั๊กพัดลมออก แล้วจับพัดลมด้วยมือขวา กระชากออกมาแรงๆได้ทั้งชุด ผมก็จะได้ช่องหลบหนีใหญ่พอจะลอดออกไปได้ เมื่อออกไปแล้ว ค่อยไปว่ากันกับด้านหลังที่เป็นป่าทึบและเขาสูงชันอีกที ด้านผนังที่ผมพิง มีสายไฟเส้นเล็กๆ น่าจะเป็นสายลำโพงที่ถูกถอดออกไปนานแล้ว ห้อยลงมาเกือบถึงพื้น สายไฟเส้นนี้ใครๆก็ใช้เป็นอาวุธได้ และใช้มันแขวนคอตายได้เช่นกัน หลังจากที่ฟุ้งซ่านอยู่ราวสิบนาที แต่กลับเหมือนผ่านไปนับชั่วโมง ผมจึงเลื่อนตัวอันเหนียวเหนอะหนะไปใกล้กับกลุ่มเด็กสองคนด้านขวาแล้วเริ่มชวนคุย
มีปืนถูกกฎหมาย แต่เวลาโดนจับ ทำกับผมยิ่งกว่าอาชญากรหั่นศพ
ผมก็คงเหมือนคนปกติทั่วไป ครอบครองอาวุธปืนถูกกฎหมายไว้เพื่อการกีฬาและปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองครับ
เรื่องมาเกิดขึ้นเมื่อผมเดินทางลงไปภาคใต้ ตามปกติจะมีอาวุธปืนเก็บไว้ภายในรถอยู่ตลอด แต่ก่อนจะเดินทางก็ยังสองจิตสองใจว่าจะเอาไปด้วยดีไหม หลังจากคิดอยู่นานก็ตัดสินใจเอาไป เพราะมีแพลนเดินทางช่วงกลางคืนด้วย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินย่อมต้องมาเป็นอันดับแรก
จนกระทั่งไปเจอด่านยาเสพติดที่อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เป็นเวลา 1 ทุ่มโดยประมาณ รถทะเบียนต่างจังหวัดโดยเฉพาะจากทางเหนือ ถูกเรียกตรวจค้นละเอียดทุกคัน ด้วยความที่มั่นใจว่าตัวเองทำถูกกฎหมาย มีทรัพย์สิน มีงานการรายได้มั่นคง จึงไม่ได้ซ่อนปืนไว้มิดชิด แต่เก็บไว้ในช่องเก็บของตามปกติ และแยกซองกระสุนออกไว้อีกที่หนึ่ง แถมมีเงินสดติดตัวเกินสองหมื่นอีกต่างหาก ตามสูตรที่มีผู้รู้เขียนไว้ทุกอย่าง ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบ ผมถูกตั้งข้อหาทันที ฐานพกพาอาวุธไปในเมือง เขตชุมชน โดยไม่มีเหตุอันควร โดยไม่มีใบอนุญาตพกพา และครอบครองเครื่องกระสุนกว่าสามสิบนัด (ซองกระสุนบรรจุไว้ซองละ10นัด อยู่ในกระเป๋า3ซอง อันนี้พลาดมากๆ ลืมเอาออกจากรถ เพราะเวลาเดินทางไกลผมจะเอากระสุนติดไว้ไม่มากขนาดนี้) 4 ชั่วโมงหลังจากนั้น ทำการบันทึกผลการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง มีการถ่ายภาพการจับกุม ยืนกับตำรวจคอมมานโด ชี้ของกลาง
อย่างกับเจ้าพ่อมาเฟียถูกจับ จากนั้นผมถูกใส่กุญแจมือ แล้วนำตัวไปที่สถานี่ตำรวจ พิมพ์ลายนิ้วมือ ริบของกลางเพื่อตรวจสอบ และยื่นขอประกันตัวในวงเงิน 50,000บาท แล้วจึงถูกปล่อยตัวและรอนัดหมายเพื่อขึ้นฟังพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดชุมพรอีกครั้ง ผมกับแฟนออกจากโรงพักสลุยราวๆตีหนึ่งครึ่ง โรงพักตั้งอยู่บนเขา ผมเคยมาชุมพรเป็นครั้งแรก เราขับรถฝ่าความมืดเข้าตัวเมืองเพื่อไปที่พักที่จองไว้ ขณะนั้นเป็นเวลาราวๆตีหนึ่ง ระหว่างทางถูกรถกระบะวีโก้สีขาว เปิดไฟสูงไล่จี้ท้ายตามหลังมาตลอดทางเหมือนคนเมา หลบลงซ้ายให้แซงก็ไม่ยอมแซง ผมเหลือบมองช่องเก็บปืนที่ว่างเปล่า
#####################
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ผมได้รับโทรศัพท์จากเจ้าพนักงานสอบสวน ให้เดินทางมาที่สำนักงานอัยการจังหวัดชุมพรในวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ในเวลาเก้าโมงเช้า เพื่อจะดำเนินการให้แล้วเสร็จทุกกระบวนการภายในหนึ่งถึงสองวัน เนื่องจากอยู่ต่างจังหวัด ต้องขอบคุณที่ช่วยอำนวยความสะดวกในหลายๆประการครับ
วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ผมกับแฟนเดินทางกลับมาที่จังหวัดชุมพรอีกครั้ง เราขับรถผ่านโรงพักสลุย ผ่านด่านตรวจที่เคยถูกจับกุมเมื่อครั้งก่อน มุ่งหน้าเข้าที่พักรอขึ้นศาลในวันถัดไป พยายามใช้เวลาให้คุ้มค่า เดินเที่ยวชายหาด กินอาหารทะเล
วันที่ 1 มิถุนายน 2560 เราไปถึงที่สำนักงานอัยการจังหวัดก่อนเวลานัดเล็กน้อย นั่งรอผู้ช่วย อัยการอยู่ราวๆสี่สิบนาที จึงได้เริ่มกระบวนการงานเอกสาร จากนั้นผู้ช่วยอัยการให้ผมไปหาเจ้าหน้าที่นิติกรที่ศาลที่อยู่ตึกติดกัน ผมกับแฟนเข้าไปแลกบัตรกับรปภ.แล้วนั่งรอ สักพักมีพี่นิติกรเข้ามาพาผมไปแลกบัตรคืน ให้พกบัตรประชาชนไว้กับตัว แล้วพาผมลงไปชั้นล่างที่เหมือนชั้นใต้ดินทึบๆ ส่วนแฟนผมให้นั่งรอชั้นบน
ที่ชั้นล่างของศาลยุติธรรม บรรยากาศค่อนข้างอับชื้น มีการแบ่งห้องเป็นห้องๆ มีกรงกั้นช่องหน้าต่าง ญาติกับนักโทษในนั้น นั่งคุยกันผ่านโทรศัพท์รุ่นเก่าสีครีมน้ำตาลสีเดียวกับสีเสื้อของผู้ต้องขัง เขาพาผมไปถึงทางเดินเล็กๆ มีพี่ตำรวจร่างสูงตัวดำๆหน้าตาเหี้ยมเกรียมนั่งคุมอยู่ จากนั้นนิติกรหันมาบอกผมว่า ผมต้องถูกควบคุมตัวในนี้รอขึ้นศาล และถูกริบโทรศัพท์มือถือทันที
ผมร้องขอพี่ตำรวจ "พี่ ผมขอโทรบอกแฟนก่อนได้มั้ย เพราะกลัวจะไม่รู้ว่าผมถูกพาไปไหน เดี๋ยวจะรออยู่นาน" แต่ก็ถูกปฏิเสธและบอกว่า "เดี๋ยวไม่เกินเที่ยงก็เสร็จแล้วล่ะ" ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 10:00น ผมถูกพาเข้าไปในห้องด้านหลัง ลักษณะเป็นห้องขังขนาดใหญ่ มีคนอยู่ในนั้นแล้ว 7-8 คน พี่ตำรวจดันหลังผมผ่านประตูเหล็กเข้าไป จากนั้นปิดประตูแล้วหันหลังเดินกลับไปนั่งที่เดิมอย่างไม่ค่อยจะใยดีนัก
ในห้องขังขนาดประมาณ 8x10 เมตร เพดานสูง มีหน้าต่างโปร่งเป็นกรงเหล็กรอบสามทิศ มีส้วมที่มีผนังเตี้ยๆระดับหน้าอก เป็นเหมือนคอกม้า 3 ห้อง เวลานั่งลงแล้วหัวเกือบจะโผล่มาคุยกันได้ มีพัดลมดูดอากาศใหญ่ๆ 1ตัว และพัดลมเล็กๆดูดอากาศตรงส้วมอีกสามตัว เพดานห้องสูงสี่เมตรกว่า มีระบบท่อน้ำดับเพลิง พร้อมพัดลมเพดานสี่ตัวใหญ่ๆที่คอยเป่าอากาศร้อนด้านบนกลับลงมา พื้นห้องโล่งปูกระเบื้องเคลือบเก่าๆสีครีม ไม่มีเก้าอี้ ทุกคนต้องนั่งกับพื้น มีกลุ่มนักโทษที่ใส่เสื้อไม่มีปก มีกระดุมสีน้ำตาลอ่อน กางเกงสะดอสีน้ำตาลเข้ม ผมสั้นเกรียน ทุกคนมีโซ่ตรวนขนาดใหญ่ยาวประมาณ60เซ็นติเมตร มีปลอกเหล็กรัดขาตรงปลายร้อยขาทั้งสองข้างไว้ เวลาเดินต้องคอยก้มลงไปเอามือหิ้วขึ้นเพื่อให้ไปได้เร็วๆ กลุ่มนักโทษนั่งรวมกันอยู่ฝั่งซ้าย เป็นฝั่งที่ใกล้หน้าต่างเล็กๆที่เอาไว้รับกล่องข้าว น้ำดื่ม ประมาณ 5-6 คน ทุกคนผิวเข้มสีเดียวกัน แววตาเดียวกัน แววตาเหล่านั้นเหลือบมามองผมแว็บหนึ่งแล้วก็หันไปสูบบุหรี่ และคุยกันต่อเป็นภาษาถิ่นที่ผมพอจะฟังออกเป็นบางประโยค
อีกฝั่งด้านขวามือ เป็นเด็กวัยรุ่น นั่งอยู่สองคู่ อายุน่าจะไม่เกิน 21 ปี ทั้งสี่คนไม่ได้ใส่ชุดนักโทษ แต่เป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ไม่ถูกใส่ตรวน ผมเลือกผนังด้านที่สกปรกน้อยที่สุดใกล้กับกลุ่มนี้ จึงค่อยหย่อนตัวนั่งลงแล้วคิดหาทางหนีแบบทีเล่นทีจริง ผมเลือกพัดลมดูดอากาศช่องซ้ายสุด ที่สามารถปีนไปยืนบนขอบปูนหลังส้วม จากตรงนั้นผมสามารถเอื้อมไปดึงปลั๊กพัดลมออก แล้วจับพัดลมด้วยมือขวา กระชากออกมาแรงๆได้ทั้งชุด ผมก็จะได้ช่องหลบหนีใหญ่พอจะลอดออกไปได้ เมื่อออกไปแล้ว ค่อยไปว่ากันกับด้านหลังที่เป็นป่าทึบและเขาสูงชันอีกที ด้านผนังที่ผมพิง มีสายไฟเส้นเล็กๆ น่าจะเป็นสายลำโพงที่ถูกถอดออกไปนานแล้ว ห้อยลงมาเกือบถึงพื้น สายไฟเส้นนี้ใครๆก็ใช้เป็นอาวุธได้ และใช้มันแขวนคอตายได้เช่นกัน หลังจากที่ฟุ้งซ่านอยู่ราวสิบนาที แต่กลับเหมือนผ่านไปนับชั่วโมง ผมจึงเลื่อนตัวอันเหนียวเหนอะหนะไปใกล้กับกลุ่มเด็กสองคนด้านขวาแล้วเริ่มชวนคุย