สังโยชน์ (บาลี: samyojana) คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี 10 อย่าง คือ
• ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่
• 1. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่ง
• 2. วิจิกิจฉา - มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
• 3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย
• 4. กามราคะ - มีความติดใจในกามคุณ
• 5. ปฏิฆะ - มีความกระทบกระทั่งในใจ
• ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่
• 6. รูปราคะ - มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
• 7. อรูปราคะ - มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
• 8. มานะ - มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตน
• 9. อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่าน
• 10. อวิชชา - มีความไม่รู้จริง
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้คือ หมดสักกายทิฏฐิ,วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส
พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะและปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย
พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อแรกได้หมด
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อ
พิจารณาตามหลักสังโยชน์ ๑๐ โสดาบันมีกามราคะ ปฏิฆะ และไม่น่าจะได้ฤทธิ์โลกีย์ เพราะมีกาม แต่เคยได้ฟังมา (จนลืมเลือน) พระอนุรุทธะ ได้ตาทิพย์ครั้งเป็นโสดาบัน กรณี ดร. สนอง วรอุไร ก็ประกาศว่าตนเป็นโสดาบัน และได้โลกียญาณ แต่ดร.ทางวิทยาศาสตร์ท่านนี้ ลดความน่าเชื่อหลังกรณีเณรคำ
ดู
https://www.youtube.com/watch?v=aPbPU0DStf4
https://www.youtube.com/watch?v=8Dn4dUSuYJY
โสดาบัน ได้ฤทธิ์หรือ?
• ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่
• 1. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่ง
• 2. วิจิกิจฉา - มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
• 3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย
• 4. กามราคะ - มีความติดใจในกามคุณ
• 5. ปฏิฆะ - มีความกระทบกระทั่งในใจ
• ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่
• 6. รูปราคะ - มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
• 7. อรูปราคะ - มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
• 8. มานะ - มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตน
• 9. อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่าน
• 10. อวิชชา - มีความไม่รู้จริง
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้คือ หมดสักกายทิฏฐิ,วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส
พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะและปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย
พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อแรกได้หมด
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อ
พิจารณาตามหลักสังโยชน์ ๑๐ โสดาบันมีกามราคะ ปฏิฆะ และไม่น่าจะได้ฤทธิ์โลกีย์ เพราะมีกาม แต่เคยได้ฟังมา (จนลืมเลือน) พระอนุรุทธะ ได้ตาทิพย์ครั้งเป็นโสดาบัน กรณี ดร. สนอง วรอุไร ก็ประกาศว่าตนเป็นโสดาบัน และได้โลกียญาณ แต่ดร.ทางวิทยาศาสตร์ท่านนี้ ลดความน่าเชื่อหลังกรณีเณรคำ
ดู https://www.youtube.com/watch?v=aPbPU0DStf4
https://www.youtube.com/watch?v=8Dn4dUSuYJY