สรุปแต่ละค่าของตารางงบย่อแบบเข้าใจง่ายๆ
ตารางงบย่อแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่
ส่วนที่ 1 เป็นเรื่องงบการเงิน
ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องของราคาหุ้น ความถูกแพงของหุ้น
จะเล่าส่วนที่ 1 ให้ฟังกันนะ
ในตารางงบย่อส่วนที่ 1 จะมี งบดุล งบกำไรขาดทุน
และ อัตราส่วนทางการเงินที่นำทั้ง 2 งบนี้มาสัมพันธ์กัน
3 บรรทัดแรกเป็น งบดุล
ซึ่งหลักการของงบดุลคือ ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ทุน
ที่ดีคือ หนี้ < ทุน แสดงว่ากิจการฐานะทางการเงินมั่นคง
(ทุนของกิจการ ก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้นนะ)
บรรทัดต่อมาคือ มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว เทียบง่ายๆ คือแบบนี้
มานีเปิดร้านส้มตำ เงินลงทุนร้านตอนแรก 5,000 บาทจากร้านรถเข็นข้างทางก็ขยายกิจการมาเป็นในตึกแถว
โดยที่มานีไม่ต้องควักเงินมาลงทุนเพิ่มอีกเลย
แสดงว่ากิจการของมานีไปได้ดีมาก มีกำไรเติบโตมาขยายกิจการเอง
เงินลงทุนแรกของมานีก็คือ "มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว"
จะดีถ้ามูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้วคงที่ตลอด
ที่แย่คือบริษัทที่ต้องขอเงินเพิ่มเอาไปลงทุนตลอด เพราะแสดงว่ากิจการนั้นไม่สามารถเติมโตได้เอง
2 บรรทัดต่อมาคือ รายได้ และ กำไรสุทธิ ซึ่งเป็นส่วนของ งบกำไรขาดทุน
ที่ดีรายได้รวมและกำไร ก็ต้องค่อยๆดีขึ้นๆบางปีอาจลดลงบ้าง แต่โดยรวมควรค่อยๆเพิ่มขึ้น
ถัดลงมา ก็จะเป็นกำไรต่อหุ้น
กำไรต่อหุ้น หรือ earning per share ก็คือ กำไร หารด้วย จำนวนหุ้น
ถ้ามีการออกหุ้นเพิ่มทุน ก็จะทำให้จำนวนหุ้นในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ กำไรต่อหุ้น ลดลงได้ ถึงแม้กำไรสุทธิจะเพิ่มก็ตาม เพราะตัวหารเยอะขึ้น
กำไรต่อหุ้นที่ดีควรค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ถัดลงมาจะเห็นค่า ROA และ ROE
ซึ่ง ROA และ ROE เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ที่เกิดจากการนำงบกำไรขาดทุน และ งบดุล มาสัมพันธ์กัน
ROA ย่อมาจาก return on asset
ROA = กำไร / ทรัพย์สินทั้งหมด
ROA ยิ่งสูง แสดงว่ากิจการนำทรัพย์สินมาทำให้เกิดผลตอบแทนได้ดี
ส่วน ROE ย่อมาจาก return on equity
ROE = กำไร / ทุน
ทุนของกิจการ ก็คือ "ส่วนของผู้ถือหุ้น" นะ
คิดง่ายๆ แบบนี้ เวลาเราเอาเงินไปลงทุน สิ่งสำคัญที่เราต้องดูคือ เราจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่
เช่น เราจะเอาเงินไปฝากประจำ ได้ดอกเบี้ย 2% ต่อปี เราก็ว่ามันได้น้อย ไม่คุ้มเงินลงทุน
ดังนั้น ROE ที่ดี คือ
ROE > 10% อย่างสม่ำเสมอ
ถ้ากิจการทำผลตอบแทนต่อเงินลงทุน หรือ ROE < 10% ก็ไม่น่าสนใจ
บรรทัดสุดท้ายของตารางงบย่อส่วนที่ 1 คือ อัตรากำไรสุทธิ
อัตรากำไรสุทธิ เกิดจากการนำ กำไร มาเทียบกับ ยอดขาย และทำออกมาเป็น %
อัตรากำไรสุทธิ =
กำไร x 100
ยอดขาย
ถ้าสินค้าไหนมีสัดส่วนกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่ายอดขาย จะทำให้อัตราส่วนนี้สูง
แสดงว่าสินค้านั้นควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี สามารถกำหนดราคาขายได้ดี บ่งบอกนัยๆว่า
สินค้านั้นมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ดีถ้าค่านี้สูง และรักษาระดับได้สม่ำเสมอ
อัตราส่วนกำไรสุทธิที่ดี คือ > 10%
และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
คุณปู่ Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “งบการเงิน คือ ภาษาธุรกิจ”
ดังนั้นการจะลงทุนในหุ้น เราควรเข้าใจภาษานี้
จากเพจ "หมอยุ่งอยากมีเวลา"
www.facebook.com/DoctorWantTime
สรุปตารางงบการเงินแบบเข้าใจง่ายๆ
ตารางงบย่อแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่
ส่วนที่ 1 เป็นเรื่องงบการเงิน
ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องของราคาหุ้น ความถูกแพงของหุ้น
จะเล่าส่วนที่ 1 ให้ฟังกันนะ
ในตารางงบย่อส่วนที่ 1 จะมี งบดุล งบกำไรขาดทุน
และ อัตราส่วนทางการเงินที่นำทั้ง 2 งบนี้มาสัมพันธ์กัน
3 บรรทัดแรกเป็น งบดุล
ซึ่งหลักการของงบดุลคือ ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ทุน
ที่ดีคือ หนี้ < ทุน แสดงว่ากิจการฐานะทางการเงินมั่นคง
(ทุนของกิจการ ก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้นนะ)
บรรทัดต่อมาคือ มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว
มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว เทียบง่ายๆ คือแบบนี้
มานีเปิดร้านส้มตำ เงินลงทุนร้านตอนแรก 5,000 บาทจากร้านรถเข็นข้างทางก็ขยายกิจการมาเป็นในตึกแถว
โดยที่มานีไม่ต้องควักเงินมาลงทุนเพิ่มอีกเลย
แสดงว่ากิจการของมานีไปได้ดีมาก มีกำไรเติบโตมาขยายกิจการเอง
เงินลงทุนแรกของมานีก็คือ "มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว"
จะดีถ้ามูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้วคงที่ตลอด
ที่แย่คือบริษัทที่ต้องขอเงินเพิ่มเอาไปลงทุนตลอด เพราะแสดงว่ากิจการนั้นไม่สามารถเติมโตได้เอง
2 บรรทัดต่อมาคือ รายได้ และ กำไรสุทธิ ซึ่งเป็นส่วนของ งบกำไรขาดทุน
ที่ดีรายได้รวมและกำไร ก็ต้องค่อยๆดีขึ้นๆบางปีอาจลดลงบ้าง แต่โดยรวมควรค่อยๆเพิ่มขึ้น
ถัดลงมา ก็จะเป็นกำไรต่อหุ้น
กำไรต่อหุ้น หรือ earning per share ก็คือ กำไร หารด้วย จำนวนหุ้น
ถ้ามีการออกหุ้นเพิ่มทุน ก็จะทำให้จำนวนหุ้นในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ กำไรต่อหุ้น ลดลงได้ ถึงแม้กำไรสุทธิจะเพิ่มก็ตาม เพราะตัวหารเยอะขึ้น
กำไรต่อหุ้นที่ดีควรค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ถัดลงมาจะเห็นค่า ROA และ ROE
ซึ่ง ROA และ ROE เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ที่เกิดจากการนำงบกำไรขาดทุน และ งบดุล มาสัมพันธ์กัน
ROA ย่อมาจาก return on asset
ROA = กำไร / ทรัพย์สินทั้งหมด
ROA ยิ่งสูง แสดงว่ากิจการนำทรัพย์สินมาทำให้เกิดผลตอบแทนได้ดี
ส่วน ROE ย่อมาจาก return on equity
ROE = กำไร / ทุน
ทุนของกิจการ ก็คือ "ส่วนของผู้ถือหุ้น" นะ
คิดง่ายๆ แบบนี้ เวลาเราเอาเงินไปลงทุน สิ่งสำคัญที่เราต้องดูคือ เราจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่
เช่น เราจะเอาเงินไปฝากประจำ ได้ดอกเบี้ย 2% ต่อปี เราก็ว่ามันได้น้อย ไม่คุ้มเงินลงทุน
ดังนั้น ROE ที่ดี คือ
ROE > 10% อย่างสม่ำเสมอ
ถ้ากิจการทำผลตอบแทนต่อเงินลงทุน หรือ ROE < 10% ก็ไม่น่าสนใจ
บรรทัดสุดท้ายของตารางงบย่อส่วนที่ 1 คือ อัตรากำไรสุทธิ
อัตรากำไรสุทธิ เกิดจากการนำ กำไร มาเทียบกับ ยอดขาย และทำออกมาเป็น %
อัตรากำไรสุทธิ = กำไร x 100
ยอดขาย
ถ้าสินค้าไหนมีสัดส่วนกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่ายอดขาย จะทำให้อัตราส่วนนี้สูง
แสดงว่าสินค้านั้นควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี สามารถกำหนดราคาขายได้ดี บ่งบอกนัยๆว่า
สินค้านั้นมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ดีถ้าค่านี้สูง และรักษาระดับได้สม่ำเสมอ
อัตราส่วนกำไรสุทธิที่ดี คือ > 10%
และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
คุณปู่ Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “งบการเงิน คือ ภาษาธุรกิจ”
ดังนั้นการจะลงทุนในหุ้น เราควรเข้าใจภาษานี้
จากเพจ "หมอยุ่งอยากมีเวลา"
www.facebook.com/DoctorWantTime