สวัสดีค่ะกระทู้นี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลียเป็นเวลา 1 ปี (เมลเบิน 6 เดือน และบริสเบน 6 เดือน) ด้วยวีซ่า Work and Holiday และที่บอกว่าโลกไม่สวยนี่คือ หลายคนคิดว่าอยู่เมืองนอกคงจะสบาย มีชีวิตที่เลิศเลอเฟอร์เฟค แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ทั้งหมดค่ะ โดยเราจะแชร์ทั้งส่วนดี และไม่ค่อยจะสู้ดีนักที่เราได้พบเจอ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเพื่อนๆที่กำลังคิดว่าจะไป (ก่อนไปเราก็ได้เรื่องราวจากเพื่อนๆที่แชร์กระทู้พันทิพนี่แหละค่ะ เป็นเสบียงก่อนออกไปเจอโลกกว่าง อิอิ)
เนื่องจากมีเรื่องราวจะเล่ามากมาย กลัวตัวเอง และผู้อ่านสับสนเราเลยจะแบ่งเป็นหัวข้อคร่าวๆตามนนี้นะคะ Background, ภาพรวมใน 1 ปี, การเรียน, การทำงาน, ที่พัก, กิจกรรมอื่นๆ, ท่องเที่ยวและการกิน (ชอบมากหัวข้อนี้ 555) ทั้งนี้คงต้องออกตัวอย่างเป็นธรรมเนียมว่าเป็นกระทู้แรกของเรา (ที่มีสาระและเขียนยาวขนาดนี้) ถ้าผิดพลาดประการใดขอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวตามประสบการณ์และมุมมองของเรา ซึ่งแต่ละบุคคลอาจจะแตกต่างกันไป ใครมีอะไรจะเสริมหรือแนะนำก็ยินดีนะค้า
Background …… มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนวัยใกล้ 30 ที่จะลาออกจากงานไปเมืองนอก
เราเคยวางแพลนว่าอยากไปเรียนภาษาตั้งแต่หลังจบมหาลัย เพราะภาษาเราอ่อนมากๆๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะไม่มีเพื่อนไป คือกลัวมากถ้าจะต้องเดินทางคนเดียว กับภาษาง่อยๆ หลังจากจบ ป.ตรี เราไป Work and Travel ที่อเมริกา 4 เดือน ไปกับเพื่อน ทำงานร้านอาหารไทย อยู่บ้านกับคนไทย เที่ยวสนุกสนานเฮฮา กลับมาเงินติดลบ 55 ภาษาไม่กระดิกเหมือนเดิม ขนาดเจ้าของร้านจะให้ไปทำเป็นเด็กเสริฟ เรายังไม่ยอมเลยค่า กลัวมาก ไม่กล้าพูด หนูขอยู่หลังร้านดีกว่า (อยากกลับไปตีตัวเอง)
ทำงานที่แรกได้เจอรุ่นพี่ที่ไป Work and Travel มา ทำให้เราได้รู้จักโครงการนี้ แต่คิดว่าสำหรับเราเป็นได้ยากมากที่จะได้ IELTS 4.5 เลยดับฝันตัวเองไป ต่อมาเราย้ายทำงานและเรียนโทไปด้วย เรียกว่าชีวิตบางช่วงนั้นมีแต่มหาวิทยาลัยกับออฟฟิต T T และวันหนึ่งขณะนั่งเรียนในคลาส อจ. ผลิน ภู่จรูญ ถามขึ้นมาว่า “ทำไม่คนเราจะต้องเกิดและใช้ชีวิตอยู่ในที่เดิมๆ เพื่อนกลุ่มเดิม สังคมเดิมๆ ทำไมไม่ออกไปใช้ชีวิต เรียนรู้โลกกว้าง” จากนั้นแกก็เล่าประสบการณ์การเป็นเด็กส่งพิซซ่าตอนแกเรียนที่อเมริกาให้ฟัง ...... เราก็สะอึกในใจ เออว่ะ ทำไมชั้นจะต้องมีชีวิตอยู่แค่นี้ด้วย!!! หลังจากนั้นก็หาข้ออ้างให้รางวัลตัวเอง เป็น gap year 1 ปี หลังเรียนจบโท อยากท่องเทียวหาประสบการณ์ ใช้ชีวิตที่ต่างออกไปจากเดิมๆ
แต่กว่าจะตัดสินใจได้ก็ไม่ง่าย คิดจนหัวแทบแตก เพราะจะต้องออกจากงานที่มั่นคง งานสบาย รายได้ดี โบนัสเยอะ เรียกได้ว่าส่งตัวเองเรียนโท ไปเที่ยวเมืองนอก และยังมีเงินเก็บอีกเล็กๆน้อย สบายๆ แถมถ้าต้องทิ้งงานไปปีนึงจะหางานใหม่ก็อาจจะลำบาก บางคนถึงกะหาว่าฉันบ้า 555...... แต่ก็นะตัวแปลสำคัญที่กระตุ้นการตัดสินใจที่นอกจากเงิน คือ อายุ 555 คือถ้าไม่ไปตอนนี้ยิ่งพลัดออกไป ต้นทุนการตัดสินใจยิ่งมากขึ้นตามวัย ...... ฮืออออ ชีวิตไม่ง่ายเลยจริง
หลังจากตัดสินใจว่าจะไป ก็เริ่มหาข้อมูลโครงการ ขอบคุณแทบเท้าแหล่งข้อมูลสำคัญ พี่เกมส์ จาก
http://www.thaiwahclub.com และ พี่แม้วจาก
http://www.allaboutwah.com ทั้งสองคนน่ารักและใจดีมากๆ ทั้งให้คำแนะนำและตอบคำถาม แบบฟรีๆ!! (ของฟรีและดีมีในโลกนะเอออ) ….. แต่ละปี จะ line group Work and Holiday ช่วยกันเตรียมตัวตั้งแต่ สอบ Ielts เตียมเอกสาร ขอวีซ่า ไปจนถึงการใช้ชีวิตอยู่ที่นู่น โดยปีที่เราไปมีโควตาสำหรับเด็กไทย 500 คน (แต่ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน นี่ไม่จำกัดจำนวนจ้า หึหึ) เพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องสอบ ielts ให้ผ่าน มีเงินในบัญชีตามที่กำหนด ก็ต้องพึ่งดวงในการกดโควตาด้วยค่ะ เพื่อนเราช่วยกดทั้งหมด 6 คน และคนที่กดให้เราได้คือ เพื่อนจาก line group Work and Holiday ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ!!….. ของคุณแตงโมมากจ้า ^^
ก่อนไปสิ่งสำคัญคือการตั้งเป้าหมายในใจ เพราะมันจะเป็นเหตุผลสำคัญในการวางแนวทางการดำเนินชีวิตอยู่ที่นู่น (ฟังดูมีสาระ แต่เรื่องจริงคือใช้ชีวิตแบบไร้สาระมากกก 555) โดยสิ่งที่เราต้องการจากการเดินทางครั้งนี้ เรียงจามความสำคัญคือ
1 ประสบการณ์ : เราอยากใช้ชีวิตในแบบที่ต่างออกไป อยากลอง อยากทำอะไรใหม่ๆ มีเพื่อนต่างชาติ เดินทางคนเดียว ฯลฯ และคิดอยู่เสมอว่ามีเวลาแค่ 1 ปี ต้องใช้ให้สุด ปรากฏว่าตอนอยู่นู่นเราแทบจะไม่อยู่บ้านเฉยๆเลย เพราะรู้สึกเสียดายเวลา เลยมักจะออกไปเที่ยว ถ่ายรูป หรือหากิจกรรมทำ
2 ภาษา : เราไม่หวังว่าเราจะเก่งขึ้นภายใน 1 ปี แต่อย่างน้อยที่สุดตอนนั้นตั้งเป้าหมายแค่ว่าให้พอสื่อสารได้ และไม่รู้สึกเป็นปมด้อยอีกต่อไป
3 เงิน : ไม่คาดหวังเลยกับเรื่องเงิน แต่ก็คิดจะทำงานนะ ทำเท่าที่จะทำได้ เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายที่แพงหูฉี่
ที่ต้องเรียงลำดับเพราะบางสถานการณ์มันไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ทั้งหมดได้ เช่น ถ้ามีเรียนแล้วร้านให้เราทำงานได้เงินเพิ่ม คือเงินก็อยากได้ แต่ก็ต้องเตือนตัวเองว่าเฮ้ย แกบอกกับตัวเองไว้ว่าเรียนสำคัญกว่า เพราะงั้นห้ามโดด แม้จะต้องพลาดกระเป๋างามๆไปใบนึง 5555 และที่เราให้ประสบการณ์สำคัญกว่าภาพัฒนาภาษา เพราะเรามีเวลาแค่ 1 ปี ซึ่งภาษาเรายังกลับมาเรียนที่ไทยได้ แต่การใช้ชีวิต หรือกิจกรรมบางอย่าง เราไม่สามรถกลับมาทำได้ที่ไทย นั่นเป็นเหตุผลที่เราเลือก Work and holiday visa แทนที่จะเป็นวีซ่าเรียน เพราะ Flexible มากกว่า จะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ทำงานเท่าไหร่ก็ได้ จะย้ายไปเมืองไหนก็ได้ ยิ่งตอนนี้คนไทยขอ 2nd visa ได้แล้วยิ่งดีไปใหญ่ หุหุ
ถ้าคุณกำลังลังเลว่าจะไปดีไม่ไปดี ลองลิสเหตุผลทั้งสองข้างออกมาแล้วเรียงลำดับความสำคัญดูนะคะ แล้วถ้าตัดสินใจจะไปแล้วละก็ วางเป้าหมายให้ชัดเจน เพราะอาจจะมีบางสิ่งหรือบางคนทำให้คุณเขว เช่นที่เราเจอคือ มีเพื่อนบางคนบอกว่าทำไมเราทำงานน้อย ทำไม่ไม่ตั้งใจหาเงิน (ตอนนั้นเราเรียนอยู่ด้วย) เราก็เชื่อเค้าหางานเพิ่ม ปรากฏเราไม่มีเวลาทำกาบ้าน เพราะกลับบ้านก็เหนื่อย เพื่อนก็ไม่ค่อยมี เพราะเค้าไปแฮงเอาท์กัน เราก็ทำงาน คิดไปคิดมานี่มาทำไรวะ ตังนี่คิดดูแล้วก็ได้น้อยกว่าไทยอีก งานก็หนัก จิตตก จากนั้นเลยปรับตารางชีวิตใหม่ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้แต่แรก…… เนื่องจากว่าคนที่ไปต่างก็มีจุดประสงค์ที่ต่างกัน การจะขอคำแนะนำจากใครก็ควรจะดูตรงนี้ด้วย จะได้ไม่ไข้วเขว
1 Year @ Australia ,, ฉบับโลกไม่สวย
เนื่องจากมีเรื่องราวจะเล่ามากมาย กลัวตัวเอง และผู้อ่านสับสนเราเลยจะแบ่งเป็นหัวข้อคร่าวๆตามนนี้นะคะ Background, ภาพรวมใน 1 ปี, การเรียน, การทำงาน, ที่พัก, กิจกรรมอื่นๆ, ท่องเที่ยวและการกิน (ชอบมากหัวข้อนี้ 555) ทั้งนี้คงต้องออกตัวอย่างเป็นธรรมเนียมว่าเป็นกระทู้แรกของเรา (ที่มีสาระและเขียนยาวขนาดนี้) ถ้าผิดพลาดประการใดขอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวตามประสบการณ์และมุมมองของเรา ซึ่งแต่ละบุคคลอาจจะแตกต่างกันไป ใครมีอะไรจะเสริมหรือแนะนำก็ยินดีนะค้า
Background …… มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนวัยใกล้ 30 ที่จะลาออกจากงานไปเมืองนอก
เราเคยวางแพลนว่าอยากไปเรียนภาษาตั้งแต่หลังจบมหาลัย เพราะภาษาเราอ่อนมากๆๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะไม่มีเพื่อนไป คือกลัวมากถ้าจะต้องเดินทางคนเดียว กับภาษาง่อยๆ หลังจากจบ ป.ตรี เราไป Work and Travel ที่อเมริกา 4 เดือน ไปกับเพื่อน ทำงานร้านอาหารไทย อยู่บ้านกับคนไทย เที่ยวสนุกสนานเฮฮา กลับมาเงินติดลบ 55 ภาษาไม่กระดิกเหมือนเดิม ขนาดเจ้าของร้านจะให้ไปทำเป็นเด็กเสริฟ เรายังไม่ยอมเลยค่า กลัวมาก ไม่กล้าพูด หนูขอยู่หลังร้านดีกว่า (อยากกลับไปตีตัวเอง)
ทำงานที่แรกได้เจอรุ่นพี่ที่ไป Work and Travel มา ทำให้เราได้รู้จักโครงการนี้ แต่คิดว่าสำหรับเราเป็นได้ยากมากที่จะได้ IELTS 4.5 เลยดับฝันตัวเองไป ต่อมาเราย้ายทำงานและเรียนโทไปด้วย เรียกว่าชีวิตบางช่วงนั้นมีแต่มหาวิทยาลัยกับออฟฟิต T T และวันหนึ่งขณะนั่งเรียนในคลาส อจ. ผลิน ภู่จรูญ ถามขึ้นมาว่า “ทำไม่คนเราจะต้องเกิดและใช้ชีวิตอยู่ในที่เดิมๆ เพื่อนกลุ่มเดิม สังคมเดิมๆ ทำไมไม่ออกไปใช้ชีวิต เรียนรู้โลกกว้าง” จากนั้นแกก็เล่าประสบการณ์การเป็นเด็กส่งพิซซ่าตอนแกเรียนที่อเมริกาให้ฟัง ...... เราก็สะอึกในใจ เออว่ะ ทำไมชั้นจะต้องมีชีวิตอยู่แค่นี้ด้วย!!! หลังจากนั้นก็หาข้ออ้างให้รางวัลตัวเอง เป็น gap year 1 ปี หลังเรียนจบโท อยากท่องเทียวหาประสบการณ์ ใช้ชีวิตที่ต่างออกไปจากเดิมๆ
แต่กว่าจะตัดสินใจได้ก็ไม่ง่าย คิดจนหัวแทบแตก เพราะจะต้องออกจากงานที่มั่นคง งานสบาย รายได้ดี โบนัสเยอะ เรียกได้ว่าส่งตัวเองเรียนโท ไปเที่ยวเมืองนอก และยังมีเงินเก็บอีกเล็กๆน้อย สบายๆ แถมถ้าต้องทิ้งงานไปปีนึงจะหางานใหม่ก็อาจจะลำบาก บางคนถึงกะหาว่าฉันบ้า 555...... แต่ก็นะตัวแปลสำคัญที่กระตุ้นการตัดสินใจที่นอกจากเงิน คือ อายุ 555 คือถ้าไม่ไปตอนนี้ยิ่งพลัดออกไป ต้นทุนการตัดสินใจยิ่งมากขึ้นตามวัย ...... ฮืออออ ชีวิตไม่ง่ายเลยจริง
หลังจากตัดสินใจว่าจะไป ก็เริ่มหาข้อมูลโครงการ ขอบคุณแทบเท้าแหล่งข้อมูลสำคัญ พี่เกมส์ จาก http://www.thaiwahclub.com และ พี่แม้วจาก http://www.allaboutwah.com ทั้งสองคนน่ารักและใจดีมากๆ ทั้งให้คำแนะนำและตอบคำถาม แบบฟรีๆ!! (ของฟรีและดีมีในโลกนะเอออ) ….. แต่ละปี จะ line group Work and Holiday ช่วยกันเตรียมตัวตั้งแต่ สอบ Ielts เตียมเอกสาร ขอวีซ่า ไปจนถึงการใช้ชีวิตอยู่ที่นู่น โดยปีที่เราไปมีโควตาสำหรับเด็กไทย 500 คน (แต่ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน นี่ไม่จำกัดจำนวนจ้า หึหึ) เพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องสอบ ielts ให้ผ่าน มีเงินในบัญชีตามที่กำหนด ก็ต้องพึ่งดวงในการกดโควตาด้วยค่ะ เพื่อนเราช่วยกดทั้งหมด 6 คน และคนที่กดให้เราได้คือ เพื่อนจาก line group Work and Holiday ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ!!….. ของคุณแตงโมมากจ้า ^^
ก่อนไปสิ่งสำคัญคือการตั้งเป้าหมายในใจ เพราะมันจะเป็นเหตุผลสำคัญในการวางแนวทางการดำเนินชีวิตอยู่ที่นู่น (ฟังดูมีสาระ แต่เรื่องจริงคือใช้ชีวิตแบบไร้สาระมากกก 555) โดยสิ่งที่เราต้องการจากการเดินทางครั้งนี้ เรียงจามความสำคัญคือ
1 ประสบการณ์ : เราอยากใช้ชีวิตในแบบที่ต่างออกไป อยากลอง อยากทำอะไรใหม่ๆ มีเพื่อนต่างชาติ เดินทางคนเดียว ฯลฯ และคิดอยู่เสมอว่ามีเวลาแค่ 1 ปี ต้องใช้ให้สุด ปรากฏว่าตอนอยู่นู่นเราแทบจะไม่อยู่บ้านเฉยๆเลย เพราะรู้สึกเสียดายเวลา เลยมักจะออกไปเที่ยว ถ่ายรูป หรือหากิจกรรมทำ
2 ภาษา : เราไม่หวังว่าเราจะเก่งขึ้นภายใน 1 ปี แต่อย่างน้อยที่สุดตอนนั้นตั้งเป้าหมายแค่ว่าให้พอสื่อสารได้ และไม่รู้สึกเป็นปมด้อยอีกต่อไป
3 เงิน : ไม่คาดหวังเลยกับเรื่องเงิน แต่ก็คิดจะทำงานนะ ทำเท่าที่จะทำได้ เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายที่แพงหูฉี่
ที่ต้องเรียงลำดับเพราะบางสถานการณ์มันไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ทั้งหมดได้ เช่น ถ้ามีเรียนแล้วร้านให้เราทำงานได้เงินเพิ่ม คือเงินก็อยากได้ แต่ก็ต้องเตือนตัวเองว่าเฮ้ย แกบอกกับตัวเองไว้ว่าเรียนสำคัญกว่า เพราะงั้นห้ามโดด แม้จะต้องพลาดกระเป๋างามๆไปใบนึง 5555 และที่เราให้ประสบการณ์สำคัญกว่าภาพัฒนาภาษา เพราะเรามีเวลาแค่ 1 ปี ซึ่งภาษาเรายังกลับมาเรียนที่ไทยได้ แต่การใช้ชีวิต หรือกิจกรรมบางอย่าง เราไม่สามรถกลับมาทำได้ที่ไทย นั่นเป็นเหตุผลที่เราเลือก Work and holiday visa แทนที่จะเป็นวีซ่าเรียน เพราะ Flexible มากกว่า จะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ทำงานเท่าไหร่ก็ได้ จะย้ายไปเมืองไหนก็ได้ ยิ่งตอนนี้คนไทยขอ 2nd visa ได้แล้วยิ่งดีไปใหญ่ หุหุ
ถ้าคุณกำลังลังเลว่าจะไปดีไม่ไปดี ลองลิสเหตุผลทั้งสองข้างออกมาแล้วเรียงลำดับความสำคัญดูนะคะ แล้วถ้าตัดสินใจจะไปแล้วละก็ วางเป้าหมายให้ชัดเจน เพราะอาจจะมีบางสิ่งหรือบางคนทำให้คุณเขว เช่นที่เราเจอคือ มีเพื่อนบางคนบอกว่าทำไมเราทำงานน้อย ทำไม่ไม่ตั้งใจหาเงิน (ตอนนั้นเราเรียนอยู่ด้วย) เราก็เชื่อเค้าหางานเพิ่ม ปรากฏเราไม่มีเวลาทำกาบ้าน เพราะกลับบ้านก็เหนื่อย เพื่อนก็ไม่ค่อยมี เพราะเค้าไปแฮงเอาท์กัน เราก็ทำงาน คิดไปคิดมานี่มาทำไรวะ ตังนี่คิดดูแล้วก็ได้น้อยกว่าไทยอีก งานก็หนัก จิตตก จากนั้นเลยปรับตารางชีวิตใหม่ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้แต่แรก…… เนื่องจากว่าคนที่ไปต่างก็มีจุดประสงค์ที่ต่างกัน การจะขอคำแนะนำจากใครก็ควรจะดูตรงนี้ด้วย จะได้ไม่ไข้วเขว