... อุปสรรคยิ่งยากเท่าไหร่ รางวัลของความสำเร็จยิ่งคุ้มค่ามากเท่านั้น ...
เราเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน ไม่ว่าจะเป็นฝันวัยเด็ก ฝันเล็กๆ ไปจนถึงฝันยิ่งใหญ่ที่คิดว่าชีวิตนี้คงเป็นได้แค่ฝัน และหลายๆความฝันอาจจะถูกทิ้งไปแล้วด้วยคำที่ว่า “เป็นไปไม่ได้” จากคนรอบตัว เราก็เป็นคนนึงที่มีความฝัน แถมเป็นฝันที่ดูจะไกลเกินเอื้อมมากๆซะด้วย เกือบทุกครั้งที่เราบอกคนอื่นว่าเราฝันอยากเป็น “แอร์โฮสเตส” เราก็จะได้ยินแต่คำพูดประมาณว่า
… “ตื่นก่อนมั้ย ฝันสูงไปละ” …
… “จะไหวหรอ” …
… “เค้ารับแต่คนสวยๆไม่ใช่หรอ” …
แต่เราเข้าใจนะว่า “แอร์โฮสเตส” เป็นอาชีพในฝันของผู้หญิงหลายคน เพราะภาพลักษณ์ที่ดูดี ได้แต่งหน้าแต่งตัวสวย บุคลิกดี จนใครหลายคนเรียกกันว่า “นางฟ้า” ในสายตาคนอื่นเราคงฝันไกลเกินไปมากจริงๆ เค้าจะคิดแบบนั้นกันมันก็ไม่ผิดอ่ะเนอะ แต่เราเชื่อมาตลอดว่าในเมื่อเราฝันได้ เราก็ทำให้มันกลายเป็นจริงได้เหมือนกัน คนอื่นจะมองเรายังไงไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรามองตัวเองยังไงต่างหาก เราเชื่อแบบนี้ค่ะ ^_^
วันนี้เราเลยอยากจะมาแชร์เรื่องราวของเรา เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นแรงผลักดันให้คนอื่นที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส หรือมีความฝันอะไรก็ตาม ที่คุณคิดว่ามันเกินเอื้อม คิดว่าไม่มีทางเป็นจริง ได้หันกลับมาทุ่มเทให้กับความฝันนั้นอีกครั้งค่ะ เชื่อเถอะว่า ถ้าเรารักและอยากคว้าฝันนั้นจริงๆ ซักวันมันต้องมาอยู่ในมือเราได้แน่ๆค่ะ
คำพูดแย่ๆจากคนอื่นและอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามามีแต่ตัวเราเท่านั้น ที่จะเป็นคนเลือกหยิบมาทำลายความฝัน หรือจะใช้เป็นรากฐานเพื่อปีนขึ้นไปสู่ความสำเร็จ และทางที่เราเลือกในวันนั้น ก็ทำให้วันนี้เราก็ได้เป็นนางฟ้าอย่างที่ฝันแล้วค่ะ
เห็นรูปเราก็คงพอจะเข้าใจกันอ่ะเนอะว่าทำไมถึงมีแต่คนบอกว่าเราไม่มีทางเป็นแอร์โฮสเตสได้ เมื่อก่อนเรามักจะถูกเรียกว่า “อ้วนดำสิว” บ่อยๆค่ะ คือครบอ่ะ ครบองค์ประกอบของความนกอาชีพแอร์แน่ๆ รูปร่างหน้าตาเราก็คงที่มาจนถึงช่วงมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเราเลยยังไม่ได้จริงจังอะไรกับการล่าฝันมากนักค่ะ แต่ก็ยังเก็บความฝันนี้มาตลอดนะไม่ได้ทิ้งไปไหน แค่เหมือนว่าช่วงนั้นยังเรียนอยู่ก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องหน้าที่การงานมากค่ะ กะว่าจะเรียนให้จบก่อน ค่อยลุยทีเดียว แล้วยิ่งช่วงใกล้จบยิ่งเป็นอะไรที่โทรมมาก เครียด โทรม สิวบุก ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเลยค่ะ
พอเรียนจบมาเราก็ไปทำงานบริษัทเอกชนอยู่พักนึงก่อน เพราะว่าช่วงที่จบใหม่ๆเนี่ยรุ่นพี่ที่เอกเราเค้าจะช่วยหางานให้น้องๆกันอยู่แล้ว ระหว่างนี้เราก็ปรึกษากับรุ่นพี่ที่เป็นแอร์โฮสเตสคนนึง บอกเค้าว่าถ้าเราอยากเป็นแอร์ฯเหมือนพี่เค้า มีที่ไหนเปิดรับก็ลองไปสมัครดูก่อนก็ได้ แต่แนะนำให้เราดูแลตัวเองอีกซักหน่อย ให้รูปร่างดีกว่านี้อีกนิด ให้สิวหายก่อน เรื่องรอยแผลรอยอะไรบนผิวหน้านี่แทบไม่อยากให้มีเลย
แต่ถ้าเราแต่งหน้าเป็น เอารองพื้นปิดไว้ได้ก็โอเคอยู่ อีกอย่างเรื่องความสวยมันอาจจะแค่ทำให้เราดูน่ามอง ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะทำให้เราได้เป็นแอร์ฯ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เค้ามองเราเช่น บุคลิกภาพที่ดีดูสง่า ความอ่อนโยนยิ้มแย้ม พูดจาสุภาพ รักงานบริการ ที่สำคัญต้องมีไหวพริบปฏิภาณที่ดีมากๆ …. โห พอเราได้ยินแบบนี้เราเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาเลยค่ะ คิดว่าแค่เรื่องดำเรื่องสิวแค่นี้ไม่น่าเป็นอุปสรรคละ นอกจากเรื่องพวกนั้นคิดว่าเราพร้อมลุยอยู่แล้ว ตอนนั้นเราเลยตั้งใจลดน้ำหนักสุดๆเลยค่ะ
ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนเราก็เปลี่ยนจากหุ่นอวบๆมาเป็นหุ่นเกือบเอสได้ พอออกกำลังกายก็รู้สึกว่าเออหน้ามันดีขึ้นด้วยนะ แล้วช่วงนั้นเราประโคมดูแลตัวเอง เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ เริ่มใช้ครีมบำรุงผิวแบบจริงๆจังๆ มีไปกดสิวที่คลินิกด้วยนะพวกสิวก็เลยน้อยลง เหลือแต่พวกหลุมสิวรอยสิวที่หายยากมาก เลยกะว่าจะแต่งหน้ากลบเอาค่ะ
ตอนนั้นก็มั่นหน้ามั่นอกมั่นใจเต็มที่เลย คิดว่าอย่างน้อยๆต้องผ่านซักรอบ สองรอบแหละน่า เพราะนอกจากเรื่องอ้วนดำสิว ที่ตอนนี้ไม่อ้วนแล้ว สิวก็ไม่ค่อยมี เรื่องอื่นเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นซักเท่าไหร่ ทั้งบุคลิกภาพ ส่วนสูง อาจจะไม่มาก แต่ก็ผ่านเกณฑ์แน่ๆ เรื่องภาษา คะแนน TOEIC เราก็ 700+ ตอนนั้นบอกเลยว่าความมั่นใจเต็มเปี่ยมค่ะ และแล้วโอกาสก็มาถึง มีสายการบินนึงเปิดรับสมัครพอดี เราเลยตัดสินใจกรอกใบสมัครออนไลน์ไปเลยค่ะ แล้วโชคดีได้ invitation กลับมาด้วยค่ะ
วันนั้นเราแต่งหน้าทำผมเองหมดค่ะ ชุด สูทอะไรก็หาเองหมดเลย เดินไปพร้อมเอกสารที่ต้องใช้และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แต่พอไปถึงสิ่งที่เราคิดไว้มันไม่เป็นแบบนั้นเลยค่ะ ทำไมมีแต่คนสวยๆ ผิวดี หุ่นดี ทั้งเรื่องการแต่งหน้า ทำผม เรื่องเสื้อผ้า บุคลิกที่ดูดีไปหมด ตรงนี้เรายอมรับว่าเราผิดเองที่ไม่หาข้อมูลให้ดีกว่านี้ค่ะ ไม่รู้ว่าสายการบินนี้เค้าชอบการแต่งหน้าแต่งตัวแบบไหน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากแต่เราพลาดเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรามั่นใจแล้วแต่พอไปอยู่ตรงนั้นเจอคนที่มั่นใจกว่าเราเยอะมาก หลายคนเป็นลูกเรือเก่า หรือเป็นแอร์ที่อื่นอยู่แล้วด้วย บอกตรงๆว่าตอนนั้นเริ่มลังเล แต่เราคิดว่าวันนี้เราเพิ่งมาครั้งแรก ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร ถือว่ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก็แล้วกัน และก็เป็นตามคาดค่ะ ... เราตกรอบ …
จากที่มีความหวังขึ้นมา ตอนนั้นกลายเป็นเราผิดหวังและเสียใจมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว แต่เราไม่ยอมแพ้ค่ะ เราคิดว่าโอกาสและความสำเร็จของเราอาจจะอยู่หลังจากความผิดหวังครั้งนี้อีกแค่นิดเดียวก็ได้ หลังจากนั้นเราเลยกลับมาฮึดมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าเลย เพราะเรารู้แล้วว่าเราพลาดตรงไหนบ้าง เรากลับมาอ่านพวกรีวิวจากคนที่เป็นแอร์โฮสเตสสำเร็จมาแชร์กันไว้ในเน็ต นั่งหาข้อมูลว่าสายการบินที่เราอยากได้เค้าชอบสไตล์ไหน แต่งหน้าแต่งตัวยังไง มีขั้นตอนอะไรยังไงบ้าง คราวนี้แหละอ่านทุกรีวิว อ่านแล้วอ่านอีก พอเราได้อ่าน
หลายๆรีวิวแล้วทำให้เราเห็นหลายๆมุมค่ะ ได้รู้ว่าคนอื่นเค้าเจอปัญหาอะไรบ้าง เราก็เอาปัญหาเหล่านั้นมาเก็บไว้ในคลังข้อมูลของเรา จะได้รู้ว่าถ้าถึงเวลาที่เราเจอปัญหานี้หรือปัญหาอื่นๆ เราจะแก้ไขสถานการณ์นั้นๆได้ยังไง ซึ่งการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าเป็นเรื่องที่สำคัญมากของการเป็นแอร์โฮสเตสเลยค่ะ
อีกอย่างนึงที่เราพลาดคราวก่อนก็คือเรื่องผิว เรื่องความสวยงามภายนอกด้วยค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าแอร์โฮสเตส เรื่องบุคลิกภาพภายนอกเป็นสิ่งแรกเลยที่จะทำให้ผู้โดยสารประทับใจ เราเลยหันมาดูแลผิวหน้า รักษาสิวแบบจริงจังมากขึ้น คราวนี้อะไรที่คิดว่าจะทำให้สิวหายได้เราเอาหมดเลยค่ะ เรื่องราคาเราไม่สนเลยค่ะ ขอให้เค้าว่าดีเราก็ลองหมด ตอนนั้นเราคิดแต่ว่าสิวต้องหาย แพงแค่ไหนก็ยอม (ขอให้ปลอดภัยอย่างเดียวก็พอ) ก็ตามดูจากรีวิวฮาวทูในพันทิปบ้าง จีบันบ้าง ตัวไหนเค้าว่าดีว่าเด็ดก็ไปซื้อมาใช้ตามสารพัด ตอนนี้ที่ใช้อยู่แล้วเห็นผล ช่วยลดสิว รักษาสิวได้จริงๆก็เป็นพวกนี้ค่ะ
นอกจากใช้ครีมพวกนี้แล้วเราก็มีไปรักษาที่คลินิกเพิ่มด้วยค่ะ ความที่เราเป็นคนใจร้อนด้วยละมั้ง พอนึกจะรักษาเราก็อยากให้มันหายไปเร็วๆเลย บอกแล้วว่ามีวิธีไหนทำได้เราทำหมดค่ะ พอไปหาหมอก็รู้สึกว่าหายเร็วขึ้นมากๆนะ แล้วเหมือนผิวหน้ามันดีขึ้นด้วย ตอนนี้เราเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาเยอะมากแล้วค่ะ
ตอนนี้เริ่มไม่มีเม็ดสิวแล้ว เหลือแต่รอยสิวกับหลุมสิว ในภาพอาจจะเห็นไม่ชัด แต่พวกนี้แหละรักษายากที่สุดแล้ว พวกรอยสิวยังใช้ครีมทาให้มันจางลงได้อยู่นะ แต่หลุมนี่ยากมาก เราเลยต้องหันไปหาวิธีลดหลุมสิวแบบจริงจังค่ะ หาในกูเกิ้ลนี่แหละง่ายสุดสำหรับเรา เจอวิธีรักษาหลุมสิวหลายแบบมาก ทั้ง Dermaroller, เลเซอร์ Fraxel, เลเซอร์ Fractional CO2, ฉีดฟิลเลอร์, กรอผิว, เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน, แล้วก็ IPL ค่ะ ...
IPL เนียเราเคยเห็นในคลินิคที่เราไปรักษาสิวอยู่ค่ะ ก็เลยตัดสินใจกลับไปลองทำที่นั่นดู ทำไปได้ 1 คอร์ส เออมันดีขึ้นนะ ไม่ได้หายไปเลย แต่มันเห็นผลจริงๆค่ะ กลายเป็นว่าเราติดใจ IPL ไปเลย ช่วงนั้นเราลองหาคอร์ส IPL ที่อื่นดูเผื่อจะดีกว่านี้ ก็ไปเจอรีวิวนึงของคุณสายป่าน (Sp Saypan) เค้ารีวิวเครื่อง Personal IPL เอาไว้ดูคุณสมบัติของเครื่องบอกว่าช่วยลดเลือนรอยที่เกิดจากสิวได้ด้วย พออ่านข้อมูลบวกกับดูรีวิวของคุณสายป่าน ก็เลยสนใจค่ะ ตั้งใจจะเอาไว้ทำเองที่บ้านเลย แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่าจะตัดสินใจได้ เราถึงกับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมพวกข้อมูลทางการแพทย์ของเครื่อง Personal IPL เห็นว่าได้ผลพอๆกับเครื่องที่ใช้ในคลินิค เราเลยตัดสินใจจ่ายทีเดียวแล้วใช้ไปยาวๆ ก็จัดมาเลย 1 เครื่อง รู้สึกตัวก็ตอนนี้แหละว่าเราลงทุนลงแรงจริงจังแล้วสินะ เพราะสายการบินที่เราอยากได้ค่อนข้างเคร่งครัดมากค่ะ เคยอ่านเจอมาว่ามีหลุมสิว รอยสิวนิดเดียวก็อาจจะตกรอบได้ง่ายๆเลย T_T
ไม่พอค่ะ เรื่องหลุมสิว กลัวจะไม่หายจริงๆ เพราะเราจะไม่ยอมพลาดโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง ทุกอย่างจะต้องเพอเฟคท์ เลยไปหาครีมบำรุงที่ช่วยเรื่องหลุมสิวมาอีกตัวนึง เลือกจากรีวิวในเน็ตอีกตามเคย ได้ชุดนี้มาค่ะ เป็นเวชสำอางจากเกาหลีเหมือนกันค่ะ
เราใช้ทั้งเครื่อง Personal IPL และสกินแคร์ สองอย่างนี้ควบคู่กันไปค่ะ ผ่านไปประมาณ 2 เดือนพวกหลุมสิวก็ค่อยๆ ลดเลือนไปพอสมควรค่ะ พอเริ่มเห็นผลชัดขึ้น เลยใช้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆค่ะทีนี้
แต่ถึงจะไม่มีสิวแล้ว รอยสิวจางไปเยอะ เรียกได้ว่าตอนนี้หน้าใสแล้วก็จริง แต่เราก็ยังดูแลผิวหน้าตัวเองอย่างสม่ำเสมอนะคะ เพราะไม่รู้ว่าสิวมันจะกลับมาหาเราอีกเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเราต้องมีวินัยมากๆเลย ทั้งเรื่องการรักษาความสะอาด การใช้ครีมต่างๆ หรือแม้แต่เครื่องทำ IPL นี่ก็ยังทำอยู่เรื่อยๆค่ะ เพราะมันจะมีหัวที่ไว้ยิงเพื่อป้องกันการเกิดสิวซ้ำด้วย พูดง่ายๆคือตั้งแต่ตอนนั้นเรากลายเป็นคนมีวินัยในการดูแลตัวเองไปเลยค่ะ
นอกจากนี้เราก็ยังใช้เวลาระหว่างนั้นในการพัฒนาตัวเองด้วยการไปลงเรียนหลักสูตรการพัฒนาบุคลิกภาพเพิ่มเติมค่ะ เรื่องภาษาก็พลาดไม่ได้เลย ถึงแม้ก่อนหน้านี้เราจะมั่นใจแล้ว แต่ก็คิดว่าอาจจะยังไม่พอ เพราะวันที่ไปสมัครรอบแรกนั้นเราหน้างานเราก็ประหม่าจนตอบผิดตอบถูกไปหมด เราก็เลยไปลงเรียนภาษาเพิ่มด้วย บอกกับตัวเองแล้วว่าถ้าเราจะกลับไปอีกครั้ง เราจะต้องไม่พลาดค่ะ
หลังจากดูแลตัวเองทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตา ผิวหน้า รักษาสิว ริ้วรอย พัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาสกิลภาษาอังกฤษของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เราก็รอให้สายการบินเค้าเปิดรับสมัครอีกครั้งค่ะ คราวนี้เราสมัครออนไลน์ก่อนเหมือนเดิม พอได้ invitation มาก็ถึงเวลาไป drop cv ค่ะ เหมือนวันชี้ชะตาเลยแหละ ว่าความพยายามที่เราทำมาตลอดหลายเดือนนี้จะสำเร็จมั้ย
จริงๆเราค่อนข้างตื่นเต้นเลยนะ เหมือนจะตื่นเต้นกว่าตอนที่มารอบแรกด้วยซ้ำ อาจจะเพราะครั้งนี้เราเตรียมตัวมาเต็มที่กว่าครั้งที่แล้ว เลยกลัวจะผิดหวังอีกล่ะมั้ง แต่เราก็บอกตัวเองมาตลอดนะคะว่าถ้าเราฝันได้ เราก็ทำให้มันเป็นจริงได้เหมือนกัน ต่อให้มันไม่ใช่วันนี้ ก็ต้องมีซักวันแหละ ที่ความฝันนั้นจะเป็นจริง ถ้าเราไม่ยอมแพ้ซะก่อน
ถ้าฉันยอมแพ้ตั้งแต่วันนั้น คงไม่ได้เป็นนางฟ้าในวันนี้ … จากผู้หญิงธรรมดา ที่พัฒนาตัวเองเพื่อความฝัน
เราเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน ไม่ว่าจะเป็นฝันวัยเด็ก ฝันเล็กๆ ไปจนถึงฝันยิ่งใหญ่ที่คิดว่าชีวิตนี้คงเป็นได้แค่ฝัน และหลายๆความฝันอาจจะถูกทิ้งไปแล้วด้วยคำที่ว่า “เป็นไปไม่ได้” จากคนรอบตัว เราก็เป็นคนนึงที่มีความฝัน แถมเป็นฝันที่ดูจะไกลเกินเอื้อมมากๆซะด้วย เกือบทุกครั้งที่เราบอกคนอื่นว่าเราฝันอยากเป็น “แอร์โฮสเตส” เราก็จะได้ยินแต่คำพูดประมาณว่า
… “ตื่นก่อนมั้ย ฝันสูงไปละ” …
… “จะไหวหรอ” …
… “เค้ารับแต่คนสวยๆไม่ใช่หรอ” …
แต่เราเข้าใจนะว่า “แอร์โฮสเตส” เป็นอาชีพในฝันของผู้หญิงหลายคน เพราะภาพลักษณ์ที่ดูดี ได้แต่งหน้าแต่งตัวสวย บุคลิกดี จนใครหลายคนเรียกกันว่า “นางฟ้า” ในสายตาคนอื่นเราคงฝันไกลเกินไปมากจริงๆ เค้าจะคิดแบบนั้นกันมันก็ไม่ผิดอ่ะเนอะ แต่เราเชื่อมาตลอดว่าในเมื่อเราฝันได้ เราก็ทำให้มันกลายเป็นจริงได้เหมือนกัน คนอื่นจะมองเรายังไงไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรามองตัวเองยังไงต่างหาก เราเชื่อแบบนี้ค่ะ ^_^
วันนี้เราเลยอยากจะมาแชร์เรื่องราวของเรา เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นแรงผลักดันให้คนอื่นที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส หรือมีความฝันอะไรก็ตาม ที่คุณคิดว่ามันเกินเอื้อม คิดว่าไม่มีทางเป็นจริง ได้หันกลับมาทุ่มเทให้กับความฝันนั้นอีกครั้งค่ะ เชื่อเถอะว่า ถ้าเรารักและอยากคว้าฝันนั้นจริงๆ ซักวันมันต้องมาอยู่ในมือเราได้แน่ๆค่ะ
คำพูดแย่ๆจากคนอื่นและอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามามีแต่ตัวเราเท่านั้น ที่จะเป็นคนเลือกหยิบมาทำลายความฝัน หรือจะใช้เป็นรากฐานเพื่อปีนขึ้นไปสู่ความสำเร็จ และทางที่เราเลือกในวันนั้น ก็ทำให้วันนี้เราก็ได้เป็นนางฟ้าอย่างที่ฝันแล้วค่ะ
เห็นรูปเราก็คงพอจะเข้าใจกันอ่ะเนอะว่าทำไมถึงมีแต่คนบอกว่าเราไม่มีทางเป็นแอร์โฮสเตสได้ เมื่อก่อนเรามักจะถูกเรียกว่า “อ้วนดำสิว” บ่อยๆค่ะ คือครบอ่ะ ครบองค์ประกอบของความนกอาชีพแอร์แน่ๆ รูปร่างหน้าตาเราก็คงที่มาจนถึงช่วงมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเราเลยยังไม่ได้จริงจังอะไรกับการล่าฝันมากนักค่ะ แต่ก็ยังเก็บความฝันนี้มาตลอดนะไม่ได้ทิ้งไปไหน แค่เหมือนว่าช่วงนั้นยังเรียนอยู่ก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องหน้าที่การงานมากค่ะ กะว่าจะเรียนให้จบก่อน ค่อยลุยทีเดียว แล้วยิ่งช่วงใกล้จบยิ่งเป็นอะไรที่โทรมมาก เครียด โทรม สิวบุก ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเลยค่ะ
พอเรียนจบมาเราก็ไปทำงานบริษัทเอกชนอยู่พักนึงก่อน เพราะว่าช่วงที่จบใหม่ๆเนี่ยรุ่นพี่ที่เอกเราเค้าจะช่วยหางานให้น้องๆกันอยู่แล้ว ระหว่างนี้เราก็ปรึกษากับรุ่นพี่ที่เป็นแอร์โฮสเตสคนนึง บอกเค้าว่าถ้าเราอยากเป็นแอร์ฯเหมือนพี่เค้า มีที่ไหนเปิดรับก็ลองไปสมัครดูก่อนก็ได้ แต่แนะนำให้เราดูแลตัวเองอีกซักหน่อย ให้รูปร่างดีกว่านี้อีกนิด ให้สิวหายก่อน เรื่องรอยแผลรอยอะไรบนผิวหน้านี่แทบไม่อยากให้มีเลย
แต่ถ้าเราแต่งหน้าเป็น เอารองพื้นปิดไว้ได้ก็โอเคอยู่ อีกอย่างเรื่องความสวยมันอาจจะแค่ทำให้เราดูน่ามอง ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะทำให้เราได้เป็นแอร์ฯ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เค้ามองเราเช่น บุคลิกภาพที่ดีดูสง่า ความอ่อนโยนยิ้มแย้ม พูดจาสุภาพ รักงานบริการ ที่สำคัญต้องมีไหวพริบปฏิภาณที่ดีมากๆ …. โห พอเราได้ยินแบบนี้เราเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาเลยค่ะ คิดว่าแค่เรื่องดำเรื่องสิวแค่นี้ไม่น่าเป็นอุปสรรคละ นอกจากเรื่องพวกนั้นคิดว่าเราพร้อมลุยอยู่แล้ว ตอนนั้นเราเลยตั้งใจลดน้ำหนักสุดๆเลยค่ะ
ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนเราก็เปลี่ยนจากหุ่นอวบๆมาเป็นหุ่นเกือบเอสได้ พอออกกำลังกายก็รู้สึกว่าเออหน้ามันดีขึ้นด้วยนะ แล้วช่วงนั้นเราประโคมดูแลตัวเอง เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ เริ่มใช้ครีมบำรุงผิวแบบจริงๆจังๆ มีไปกดสิวที่คลินิกด้วยนะพวกสิวก็เลยน้อยลง เหลือแต่พวกหลุมสิวรอยสิวที่หายยากมาก เลยกะว่าจะแต่งหน้ากลบเอาค่ะ
ตอนนั้นก็มั่นหน้ามั่นอกมั่นใจเต็มที่เลย คิดว่าอย่างน้อยๆต้องผ่านซักรอบ สองรอบแหละน่า เพราะนอกจากเรื่องอ้วนดำสิว ที่ตอนนี้ไม่อ้วนแล้ว สิวก็ไม่ค่อยมี เรื่องอื่นเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นซักเท่าไหร่ ทั้งบุคลิกภาพ ส่วนสูง อาจจะไม่มาก แต่ก็ผ่านเกณฑ์แน่ๆ เรื่องภาษา คะแนน TOEIC เราก็ 700+ ตอนนั้นบอกเลยว่าความมั่นใจเต็มเปี่ยมค่ะ และแล้วโอกาสก็มาถึง มีสายการบินนึงเปิดรับสมัครพอดี เราเลยตัดสินใจกรอกใบสมัครออนไลน์ไปเลยค่ะ แล้วโชคดีได้ invitation กลับมาด้วยค่ะ
วันนั้นเราแต่งหน้าทำผมเองหมดค่ะ ชุด สูทอะไรก็หาเองหมดเลย เดินไปพร้อมเอกสารที่ต้องใช้และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แต่พอไปถึงสิ่งที่เราคิดไว้มันไม่เป็นแบบนั้นเลยค่ะ ทำไมมีแต่คนสวยๆ ผิวดี หุ่นดี ทั้งเรื่องการแต่งหน้า ทำผม เรื่องเสื้อผ้า บุคลิกที่ดูดีไปหมด ตรงนี้เรายอมรับว่าเราผิดเองที่ไม่หาข้อมูลให้ดีกว่านี้ค่ะ ไม่รู้ว่าสายการบินนี้เค้าชอบการแต่งหน้าแต่งตัวแบบไหน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากแต่เราพลาดเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรามั่นใจแล้วแต่พอไปอยู่ตรงนั้นเจอคนที่มั่นใจกว่าเราเยอะมาก หลายคนเป็นลูกเรือเก่า หรือเป็นแอร์ที่อื่นอยู่แล้วด้วย บอกตรงๆว่าตอนนั้นเริ่มลังเล แต่เราคิดว่าวันนี้เราเพิ่งมาครั้งแรก ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร ถือว่ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก็แล้วกัน และก็เป็นตามคาดค่ะ ... เราตกรอบ …
จากที่มีความหวังขึ้นมา ตอนนั้นกลายเป็นเราผิดหวังและเสียใจมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว แต่เราไม่ยอมแพ้ค่ะ เราคิดว่าโอกาสและความสำเร็จของเราอาจจะอยู่หลังจากความผิดหวังครั้งนี้อีกแค่นิดเดียวก็ได้ หลังจากนั้นเราเลยกลับมาฮึดมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าเลย เพราะเรารู้แล้วว่าเราพลาดตรงไหนบ้าง เรากลับมาอ่านพวกรีวิวจากคนที่เป็นแอร์โฮสเตสสำเร็จมาแชร์กันไว้ในเน็ต นั่งหาข้อมูลว่าสายการบินที่เราอยากได้เค้าชอบสไตล์ไหน แต่งหน้าแต่งตัวยังไง มีขั้นตอนอะไรยังไงบ้าง คราวนี้แหละอ่านทุกรีวิว อ่านแล้วอ่านอีก พอเราได้อ่าน
หลายๆรีวิวแล้วทำให้เราเห็นหลายๆมุมค่ะ ได้รู้ว่าคนอื่นเค้าเจอปัญหาอะไรบ้าง เราก็เอาปัญหาเหล่านั้นมาเก็บไว้ในคลังข้อมูลของเรา จะได้รู้ว่าถ้าถึงเวลาที่เราเจอปัญหานี้หรือปัญหาอื่นๆ เราจะแก้ไขสถานการณ์นั้นๆได้ยังไง ซึ่งการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าเป็นเรื่องที่สำคัญมากของการเป็นแอร์โฮสเตสเลยค่ะ
อีกอย่างนึงที่เราพลาดคราวก่อนก็คือเรื่องผิว เรื่องความสวยงามภายนอกด้วยค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าแอร์โฮสเตส เรื่องบุคลิกภาพภายนอกเป็นสิ่งแรกเลยที่จะทำให้ผู้โดยสารประทับใจ เราเลยหันมาดูแลผิวหน้า รักษาสิวแบบจริงจังมากขึ้น คราวนี้อะไรที่คิดว่าจะทำให้สิวหายได้เราเอาหมดเลยค่ะ เรื่องราคาเราไม่สนเลยค่ะ ขอให้เค้าว่าดีเราก็ลองหมด ตอนนั้นเราคิดแต่ว่าสิวต้องหาย แพงแค่ไหนก็ยอม (ขอให้ปลอดภัยอย่างเดียวก็พอ) ก็ตามดูจากรีวิวฮาวทูในพันทิปบ้าง จีบันบ้าง ตัวไหนเค้าว่าดีว่าเด็ดก็ไปซื้อมาใช้ตามสารพัด ตอนนี้ที่ใช้อยู่แล้วเห็นผล ช่วยลดสิว รักษาสิวได้จริงๆก็เป็นพวกนี้ค่ะ
นอกจากใช้ครีมพวกนี้แล้วเราก็มีไปรักษาที่คลินิกเพิ่มด้วยค่ะ ความที่เราเป็นคนใจร้อนด้วยละมั้ง พอนึกจะรักษาเราก็อยากให้มันหายไปเร็วๆเลย บอกแล้วว่ามีวิธีไหนทำได้เราทำหมดค่ะ พอไปหาหมอก็รู้สึกว่าหายเร็วขึ้นมากๆนะ แล้วเหมือนผิวหน้ามันดีขึ้นด้วย ตอนนี้เราเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาเยอะมากแล้วค่ะ
ตอนนี้เริ่มไม่มีเม็ดสิวแล้ว เหลือแต่รอยสิวกับหลุมสิว ในภาพอาจจะเห็นไม่ชัด แต่พวกนี้แหละรักษายากที่สุดแล้ว พวกรอยสิวยังใช้ครีมทาให้มันจางลงได้อยู่นะ แต่หลุมนี่ยากมาก เราเลยต้องหันไปหาวิธีลดหลุมสิวแบบจริงจังค่ะ หาในกูเกิ้ลนี่แหละง่ายสุดสำหรับเรา เจอวิธีรักษาหลุมสิวหลายแบบมาก ทั้ง Dermaroller, เลเซอร์ Fraxel, เลเซอร์ Fractional CO2, ฉีดฟิลเลอร์, กรอผิว, เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน, แล้วก็ IPL ค่ะ ...
IPL เนียเราเคยเห็นในคลินิคที่เราไปรักษาสิวอยู่ค่ะ ก็เลยตัดสินใจกลับไปลองทำที่นั่นดู ทำไปได้ 1 คอร์ส เออมันดีขึ้นนะ ไม่ได้หายไปเลย แต่มันเห็นผลจริงๆค่ะ กลายเป็นว่าเราติดใจ IPL ไปเลย ช่วงนั้นเราลองหาคอร์ส IPL ที่อื่นดูเผื่อจะดีกว่านี้ ก็ไปเจอรีวิวนึงของคุณสายป่าน (Sp Saypan) เค้ารีวิวเครื่อง Personal IPL เอาไว้ดูคุณสมบัติของเครื่องบอกว่าช่วยลดเลือนรอยที่เกิดจากสิวได้ด้วย พออ่านข้อมูลบวกกับดูรีวิวของคุณสายป่าน ก็เลยสนใจค่ะ ตั้งใจจะเอาไว้ทำเองที่บ้านเลย แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่าจะตัดสินใจได้ เราถึงกับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมพวกข้อมูลทางการแพทย์ของเครื่อง Personal IPL เห็นว่าได้ผลพอๆกับเครื่องที่ใช้ในคลินิค เราเลยตัดสินใจจ่ายทีเดียวแล้วใช้ไปยาวๆ ก็จัดมาเลย 1 เครื่อง รู้สึกตัวก็ตอนนี้แหละว่าเราลงทุนลงแรงจริงจังแล้วสินะ เพราะสายการบินที่เราอยากได้ค่อนข้างเคร่งครัดมากค่ะ เคยอ่านเจอมาว่ามีหลุมสิว รอยสิวนิดเดียวก็อาจจะตกรอบได้ง่ายๆเลย T_T
ไม่พอค่ะ เรื่องหลุมสิว กลัวจะไม่หายจริงๆ เพราะเราจะไม่ยอมพลาดโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง ทุกอย่างจะต้องเพอเฟคท์ เลยไปหาครีมบำรุงที่ช่วยเรื่องหลุมสิวมาอีกตัวนึง เลือกจากรีวิวในเน็ตอีกตามเคย ได้ชุดนี้มาค่ะ เป็นเวชสำอางจากเกาหลีเหมือนกันค่ะ
เราใช้ทั้งเครื่อง Personal IPL และสกินแคร์ สองอย่างนี้ควบคู่กันไปค่ะ ผ่านไปประมาณ 2 เดือนพวกหลุมสิวก็ค่อยๆ ลดเลือนไปพอสมควรค่ะ พอเริ่มเห็นผลชัดขึ้น เลยใช้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆค่ะทีนี้
แต่ถึงจะไม่มีสิวแล้ว รอยสิวจางไปเยอะ เรียกได้ว่าตอนนี้หน้าใสแล้วก็จริง แต่เราก็ยังดูแลผิวหน้าตัวเองอย่างสม่ำเสมอนะคะ เพราะไม่รู้ว่าสิวมันจะกลับมาหาเราอีกเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเราต้องมีวินัยมากๆเลย ทั้งเรื่องการรักษาความสะอาด การใช้ครีมต่างๆ หรือแม้แต่เครื่องทำ IPL นี่ก็ยังทำอยู่เรื่อยๆค่ะ เพราะมันจะมีหัวที่ไว้ยิงเพื่อป้องกันการเกิดสิวซ้ำด้วย พูดง่ายๆคือตั้งแต่ตอนนั้นเรากลายเป็นคนมีวินัยในการดูแลตัวเองไปเลยค่ะ
นอกจากนี้เราก็ยังใช้เวลาระหว่างนั้นในการพัฒนาตัวเองด้วยการไปลงเรียนหลักสูตรการพัฒนาบุคลิกภาพเพิ่มเติมค่ะ เรื่องภาษาก็พลาดไม่ได้เลย ถึงแม้ก่อนหน้านี้เราจะมั่นใจแล้ว แต่ก็คิดว่าอาจจะยังไม่พอ เพราะวันที่ไปสมัครรอบแรกนั้นเราหน้างานเราก็ประหม่าจนตอบผิดตอบถูกไปหมด เราก็เลยไปลงเรียนภาษาเพิ่มด้วย บอกกับตัวเองแล้วว่าถ้าเราจะกลับไปอีกครั้ง เราจะต้องไม่พลาดค่ะ
หลังจากดูแลตัวเองทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตา ผิวหน้า รักษาสิว ริ้วรอย พัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาสกิลภาษาอังกฤษของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เราก็รอให้สายการบินเค้าเปิดรับสมัครอีกครั้งค่ะ คราวนี้เราสมัครออนไลน์ก่อนเหมือนเดิม พอได้ invitation มาก็ถึงเวลาไป drop cv ค่ะ เหมือนวันชี้ชะตาเลยแหละ ว่าความพยายามที่เราทำมาตลอดหลายเดือนนี้จะสำเร็จมั้ย
จริงๆเราค่อนข้างตื่นเต้นเลยนะ เหมือนจะตื่นเต้นกว่าตอนที่มารอบแรกด้วยซ้ำ อาจจะเพราะครั้งนี้เราเตรียมตัวมาเต็มที่กว่าครั้งที่แล้ว เลยกลัวจะผิดหวังอีกล่ะมั้ง แต่เราก็บอกตัวเองมาตลอดนะคะว่าถ้าเราฝันได้ เราก็ทำให้มันเป็นจริงได้เหมือนกัน ต่อให้มันไม่ใช่วันนี้ ก็ต้องมีซักวันแหละ ที่ความฝันนั้นจะเป็นจริง ถ้าเราไม่ยอมแพ้ซะก่อน