เท่าที่ผมทราบขั้นตอนในการเข้ารับการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์คือ ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจเลือดเพื่อหาค่า ซีดี4 ของเม็ดเลือดขาว เป็นระยะตามที่แพทย์นัด
( ค่า CD 4 ของคนปกติควรมีค่าสูงกว่า 400 )
คือว่า ตลอดระยะเวลา 14 ที่คุณผู้หญิงคนนี้ได้รับยารักษาโรคเอดส์ ผมว่าต้องได้รับการตรวจเลือดหาค่า CD 4 ของเม็ดเลือดขาวไม่ต่ำกว่า 14 ครั้งแน่นอน
เพราะฉะนั้น แพทย์ผู้ตรวจก็ต้องรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นโรคเอดส์ตั้งแต่การตรวจเลือดหาค่า CD 4 ครั้งแรกแล้วครับ ( คือเลือดของคนปกติจะมีค่า CD 4
สูงกว่า 400 - 1600 ต่อปริมาณเลือด 1 ลบ.มม.)
ผมเลยข้องใจว่าคุณผู้หญิงคนนี้ ได้ไปรับการตรวจหาค่า CD 4 หรือไม่ครับ.
เพราะถ้าได้รับการตรวจเลือดหาค่า CD 4 หมอที่รักษาต้องเอะใจกับผลค่า CD 4 ตั้งแต่การตรวจครั้งที่ 1 - 2 แล้วนะครับว่าคนป่วยไม่ได้เป็นโรคเอดส์
เพราะต่า CD 4 มันสูงเกิน 400 ชัดเจนอยู่แล้วครับ.
ข้องใจกรณีคุณผู้หญิงได้รับคำวินิจฉัยผิดพลาดจากคุณหมอว่าติดเชื้อ HIV.ตั้งแต่อายุ 8 ขวบจนถึงอายุ 22 ปี จึงรู้ว่าไม่ได้เป็น
( ค่า CD 4 ของคนปกติควรมีค่าสูงกว่า 400 )
คือว่า ตลอดระยะเวลา 14 ที่คุณผู้หญิงคนนี้ได้รับยารักษาโรคเอดส์ ผมว่าต้องได้รับการตรวจเลือดหาค่า CD 4 ของเม็ดเลือดขาวไม่ต่ำกว่า 14 ครั้งแน่นอน
เพราะฉะนั้น แพทย์ผู้ตรวจก็ต้องรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นโรคเอดส์ตั้งแต่การตรวจเลือดหาค่า CD 4 ครั้งแรกแล้วครับ ( คือเลือดของคนปกติจะมีค่า CD 4
สูงกว่า 400 - 1600 ต่อปริมาณเลือด 1 ลบ.มม.)
ผมเลยข้องใจว่าคุณผู้หญิงคนนี้ ได้ไปรับการตรวจหาค่า CD 4 หรือไม่ครับ.
เพราะถ้าได้รับการตรวจเลือดหาค่า CD 4 หมอที่รักษาต้องเอะใจกับผลค่า CD 4 ตั้งแต่การตรวจครั้งที่ 1 - 2 แล้วนะครับว่าคนป่วยไม่ได้เป็นโรคเอดส์
เพราะต่า CD 4 มันสูงเกิน 400 ชัดเจนอยู่แล้วครับ.