เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับคนใกล้ตัวเรา ไม่ใช่ของเรานะคะ
แต่ในฐานะที่รู้เห็นมาตลอด และได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวแบบละเอียด เลยคิดว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเยอะมากๆ ในสังคมไทย น่าสนใจ และน่าคิดมากค่ะ ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปของเรื่องนี้ จะลงเอยอย่างไร
เรื่องนี้เป็นเรื่องของ A (นามสมมุติ)
A เป็นทอมค่ะ อายุ 30 กลางๆ ทำงานมีรายได้ 2.7- 4หมื่น/เดือน
ขึ้นอยู่กับคอมมิชชั่น
A เรียนจบป.ตรี มีรถที่ยังผ่อน (ทำงานต้องใช้รถ)
A เป็นลูกคนที่ 3 เป็นคนสุดท้อง มีพี่ชายคนโต และพี่สาวคนรอง
พี่ทั้ง 2 คน เรียนไม่จบ ม.3 เพราะไม่ชอบเรียน ค่อนข้างเกเร
ฐานะของบ้าน A ไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ถึงกับอดอยาก
พ่อแม่ทำงานรับจ้างทั่วไป มีรายได้ไม่คงที่ ไม่มีสมบัติเดิม ไม่มีเงินเก็บ เรียกว่าหาเช้ากินค่ำ
ด้วยความที่ A เห็นแล้ว ว่าพ่อแม่ลำบากเพราะไม่มีความรู้ พี่ชาย-พี่สาวไม่เป็นโล้เป็นพาย A เลยตั้งใจที่จะเรียนให้สูงที่สุด
A จบป.ตรี ด้วยเงินกู้กยศ.
ขอกล่าวถึงพ่อแม่ของ A เพื่อให้เห็นภาพ
#แม่ : แม่ A เป็นแม่ที่รักลูกนะคะ และคาดหวังว่าลูกจะต้องกตัญญูด้วย ลักษณะการเลี้ยงดูลูกของแม่ A คือ เลี้ยงแบบแม่ตามชนบททั่วไป ให้กินอิ่ม นอนหลับ แต่จะรักลูกผู้ชายและหลานผู้ชายมากๆ
#พ่อ : พ่อ A เป็นคนทำงานรับจ้างและขับรถบรรทุก เป็นพ่อแบบที่ไม่สนใจโลก ชอบแต่งรถ ขี้หึงมาก ทะเลาะกับแม่ A เสมอ
และที่สำคัญ เป็นคนไม่สนับสนุนให้เยาวชนในครอบครัวเรียนหนังสือ แกชอบพูดบ่อยๆว่า เรียนไปทำไม ทำงานได้ไม่กี่ตังค์ แกก็ไม่ได้เรียนยังขับรถมีตังค์ใช้ได้เลย อะไรประมาณนี้
เห็นได้จากการที่แกสอนหลาน ( ลูกพี่ชาย A ทิ้งไว้ให้เลี้ยง) ว่าไม่ต้องไปเรียนหรอก มาขับรถกับปู่ดีกว่า และตอนที่ A เรียนป.ตรี แกมีตังค์นะคะ แต่แกไม่ให้ ตอนนั้นแกติดผู้หญิง(เมียน้อย)
A จึงจบมาได้ด้วยเงินกู้ กยศ.และทำงานพาร์ทไทม์
เมื่อเกือบๆ 3 ปีที่แล้ว A เพิ่งซื้อบ้านหลังเล็กๆ ในจังหวัดในภาคกลาง ไม่ใช่อำเภอเมือง แต่ก็เป็นแหล่งชุมชน เป็นทาวเฮ้าส์แคบๆ
บ้านหลังนี้ พ่อแม่และครอบครัว A เคยเช่า ในราคาเดือนละ 2,000 บาท เมื่อ A ทำงานได้ราวๆ 6 เดือน (เป็นงานใหม่ งานเก่ารายได้น้อยทำได้ 2-3 ปีจึงเปลี่ยน) แม่และพ่อ บอกให้ Aกู้ซื้อบ้านหลังนี้ให้หน่อย อยากมีบ้านอยู่ ไม่อยากเช่าเขา
ถามว่า A พร้อมไหม A ไม่พร้อมเลย เพราะตอนนั้น A เพิ่งเริ่มงานใหม่ และลงทุนทำธุรกิจเสริม โดยเช่าร้านทำการค้าสินค้าเสื้อผ้าและงานของขวัญ จำเป็นต้องหมุนเงินก่อนในช่วง 2-3 เดือนแรก
A จึงขอต่อรองว่า ขอให้ร้านอยู่ได้สัก 6 เดือนได้ไหม ถ้าอยู่ตัวแล้วจะดำเนินการให้ เพราะตอนนี้ต้องทำงานประจำ บริหารร้าน และยังต้องผ่อนรถอยู่ เกรงจะไม่ไหว
......เกิดดราม่าทันที.....
แม่..ร้องไห้ต่อว่าA ว่าอกตัญญู
พ่อ...ต่อว่า A และพูดว่า A ไม่ใช่ลูกพ่อ ไม่ต้องมาเรียกพ่อ
พี่สาว..ว่า A ว่าไร้น้ำใจ
พี่ชาย...ไม่มาวุ่นวาย ไม่มาสนใจ
A ถามทุกๆคนว่า แล้ว A จะเอาที่ไหนส่ง เพราะถ้าซื้อส่งแพงกว่าเช่านะ
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า.."ช่วยกัน"
แม่บอกว่ายังมีรายได้จากงานซักรีดช่วย
พ่อบอกว่ามีเงินเก็บ และวิ่งรถได้เงินสม่ำเสมอ
พี่สาวบอกว่า จะช่วยเดือนละ 1,000-2,000
สุดท้าย A ไปดำเนินการเพื่อให้ทุกคนสบายใจ
แต่....
เมื่อต้องผ่อนส่งเดือนแรก..ไม่มีสักคนที่จะแสดงตัวช่วย
A ไม่ว่าอะไรพ่อแม่ แต่ได้โทร.ไปหาพี่สาวเพื่อขอให้ช่วย
พี่สาวตอบว่า .. บ้านชื่อเมิง เมิงก็ต้องผ่อน กรุผ่อนก็เป็นชื่อเมิง
A...พูดไม่ออก เห้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา😂
แม่บอกว่าไม่มีตังช่วย
พ่อบอกว่าจ่ายค่าไฟแล้ว หมดหน้าที่แล้ว
สุดท้าย...A เอาเงินที่ใช้หมุนในร้านมาจ่าย และทำให้บัญชีร้านติดลบ เพราะเงินเข้ามาจากร้าน แต่จ่ายไปโดยไม่ได้เติมของในร้าน เป็นแบบนี้ได้ 3 เดือน ร้านก็ต้องเซ้ง เพราะไม่มีเงินหมุน
และในเดือนถัดๆมา A เริ่มกดบัตรเครดิตเพื่อส่งให้ครอบครัว
และการเงินเริ่มติดลบ เพราะลงทุนกับร้านไปเยอะมาก แล้วขาดทุน ประกอบกับงานที่ทำเพิ่งเริ่มต้น ค่าคอมมิชชั่นจากการหาลูกค้ายังไม่สูงนัก
และก็มีเรื่องต่อมา...
พี่ชาย A อยากมีรถขับ แต่ด้วยอาชีพการงานไม่มั่นคงนัก เงินเดือนค่อนข้างต่ำ (ตามวุฒิ) จึงต้องใช้คนค้ำ 2 คนจึงจะออกรถมือ2 ได้สักคัน คนแรกคือภรรยาของเขาเอง คนที่2 เขาต้องการให้ A ค้ำ เพราะพี่สาว A ไม่มีรายได้แน่นอน
เมื่อ A ทราบครั้งแรก A ปฏิเสธ เพราะขนาดเงินที่พี่ชายขอยืมไป 1,000-2,000 ยังไม่เคยได้คืน
A จึงไม่ยอมค้ำให้ และ A รู้นิสัยพี่ชายของ Aดี ว่าไร้ความรับผิดชอบแค่ไหน มีลูกยังไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูเลย ให้ปู่กับย่าและอาๆช่วยเลี้ยง แต่....
พี่ชาย A โทร.มาหาแม่ บอกว่าพ่อกับแม่ไม่ยุติธรรม ทีรถ A ยังช่วยดาวน์ให้ขับได้ ( พ่อให้ยืมเงินดาวน์รถ แต่เมื่อได้คืนภาษี A ใช้คืนหมดทุกบาท เพราะตกลงกันแต่แรกแล้ว )
และอย่างที่บอก แม่รักลูกชายคนเดียวมาก แม่เลยมาขอร้อง A
ให้ช่วยค้ำประกันหน่อย A ปฏิเสธหลายครั้ง ถึงแม้ว่าแม่จะตื๊อขนาดไหนก็ตาม ช่วงนั้น A ไม่อยากรับสายจากแม่และพี่ชายเลย
จนในที่สุด แม่ของ A ร้องไห้ บอกว่าถ้าให้กราบก็ยอม มาค้ำประกันให้พี่ชายเถอะ สงสารพี่ชาย อยากมีรถขับ
คราวนี้พี่สาวและพ่อก็มาร่วมกันกล่อม A
A ถามเหมือนเดิม ว่าถ้าพี่ชายไม่ส่งทำไง
ทุกคนตอบเหมือนเดิมว่า "ช่วยกัน"
และเหมือนเดิม A ยอมลงชื่อค้ำประกัน เพื่อความสบายใจของทุกคน
และต่อไปนี้คือมหกรรมความทุกข์ใหญ่หลวงของ A
1.พี่ชายส่งรถเพียงงวดเดียว (3,000++) แล้วหนีหายไปพร้อมเมียและรถ
2.ไฟแนนซ์ ตามหาตัวไม่เจอจึงตามทวงกับ A ในฐานะผู้ค้ำ
3.A ไม่เคยหนีไฟแนนซ์ A พยายามตามหาพี่ชาย แต่เขาทำตัวหายไปแบบไร้ร่องรอย
4.ไฟแนนซ์แต่งตั้งทนาย ส่งฟ้อง ระหว่างนั้นเจรจาประนอมหนี้กันหลายรอบ โดย A ไม่เคยบิดพริ้วไปศาลทุกนัด
5. ศาลพิพากษาให้ชดใช้ไฟแนนซ์เพียงยอดต้นตามราคารถเท่านั้น ยอดนั้นเต็มจำนวนเพราะพี่ชายส่งเพียงงวดเดียว ส่วนค่าปรับ ค่าอะไรที่ทางไฟแนนซ์บวกเพิ่ม ศาลปัดตกไป
6.เวลาผ่านไปประมาณ 1.6 ปี มีหมายมาบ้าน A ให้ขายทอดตลาด หรือไม่ก็หาเงินกว่า 3 แสนมาปิดยอดเต็ม ไม่รับผ่อน
7.ถ้า A เลือกขายบ้านทอดตลาด A ก็ยังต้องผ่อนบ้านต่อแม้ขายไปแล้ว เพราะเงินที่ขายได้ต้องเอาไปปิดหนี้รถ ธนาคารก็เรียกเก็บค่างวดบ้านปกติ
......ตอนนี้ A เหมือนคนตายไปครึ่งชีวิต....
.......ชีวิต A ที่ดิ้นรนเพื่อตัวเองและครอบครัว ...
.......A ที่กตัญญูที่สุด เท่าที่ทำได้....
บางที A ก็อยากตะโกนถามใครสักคนว่า A ทำอะไรผิด?
A เหนื่อยมาก ระหว่างที่โดนฟ้อง A ก็พยายามที่จะหารายได้เพิ่ม ทั้งขายของออนไลน์ ขายของตลาดนัด A เอาทุกทาง
แต่ภาระที่ A มีคือ
-ผ่อนรถ
-ผ่อนบ้าน
-ผ่อนบัตร
-ผ่อนหนี้นอกระบบให้แม่
-ให้พ่อ-แม่รายเดือน
A สู้จนสุดมือแล้ว
ณ.เวลานี้ เมื่อทุกคนในครอบครัวได้รับรู้ถึงหมายศาล
#แม่ : ร้องไห้ฟูมฟาย ด่าทอพี่ชาย นอนซมทั้งวัน พูดพร่ำว่าอยากตายไม่มีบ้านจะอยู่
#พ่อ : จ้องจะให้หลานชายเลิกเรียนบอกเปลือง(??)
#พี่สาว : เฉยๆ เพราะไม่มาช่วยเหลือข้องเกี่ยว
ตอนนี้เราได้แต่ให้กำลังใจ A
A โทร.หาแม่ทุกครั้ง แม่ก็ร้องไห้ฟูมฟาย ตีอกชกตัว ตัดพ้อโชคชะตาว่าจะไร้บ้านซุกหัวนอน
โทร.หาพ่อ พ่อก็บอกไม่มีกะจิตกะใจไปทำงาน นอนอยู่บ้านมาหลายอาทิตย์
ตอนนี้ A จิตตก เพราะแม่และพ่อไร้สติและฟูมฟายหนักมาก
เราสงสารนะ
แต่ในมุมมองคนนอกอย่างเรา..เราคิดว่า
A ควรปล่อยให้ขายทอดตลาดบ้านไป เพราะถ้า A ไปหากู้เงินแสนนอกระบบมาปิด A จะมีภาระใหญ่หลวงเพิ่ม เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่างคงเดิม
ส่วนเรื่องผ่อนบ้านต่อ คงต้องยอมรับ ว่ากันไปตามกฏหมาย อาจดูไม่ยุติธรรม แต่หนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องใช้หนี้ แม้จะไม่ได้เป็นคนก่อ
ซึ่งก็ไม่ต่างจากการผ่อนใช้หนี้นั่นเอง
ส่วนครอบครัวพ่อ-แม่-หลาน อาจต้องหาเช่าบ้านอยู่อีกครั้ง
แต่...อย่าลืมว่าที่ผ่านมาก็เช่ามาแต่ไหนแต่ไร เพิ่งซื้อในไม่เกิน 3 ปีนี้ ฟังดูอาจเหมือนโหดร้าย แต่เราอยากให้แม่และพ่อมีบทเรียนในการดำเนินครอบครัว การรักลูกอย่างไร้ตรรกะและเหตุผลมันส่งผลร้ายแรงแค่ไหน
สิ่งที่เป็นคำถามสำหรับเราคือ...
ในเมื่อ A ซึ่งเป็นน้อง ยังมองออกว่าพี่ชายของตัวเองไม่ไหว ไม่น่าไว้ใจและจะสร้างเรื่องเดือดร้อน..
แล้วทำไมแม่และพ่อ A ไม่รู้?? อันนี้สงสัยจริงๆ
เราไม่มีความรู้กฏหมายนัก ถ้าเพื่อนๆสมาชิกท่านไหนมีคำแนะนำดีๆ ก็รบกวนด้วยนะคะ เราสงสาร A มาก
เราหวังว่า ใครก็ตามที่มีปัญหาครอบครัว
และสงสัยเรื่องความกตัญญูเหมือนเรา จะเข้าใจเจตนาในการตั้งกระทู้ของเรา
สำหรับเรา พ่อแม่ก็เป็นผู้มีพระคุณเสมอค่ะ
นี่แค่อีกมุมมองจากชีวิตจริงเท่านั้น ชีวิตที่มอบให้คำว่ากตัญญูค่ะ
คำว่ากตัญญูและรักครอบครัว..เคยทำร้ายใครบ้างคะ?
แต่ในฐานะที่รู้เห็นมาตลอด และได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวแบบละเอียด เลยคิดว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเยอะมากๆ ในสังคมไทย น่าสนใจ และน่าคิดมากค่ะ ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปของเรื่องนี้ จะลงเอยอย่างไร
เรื่องนี้เป็นเรื่องของ A (นามสมมุติ)
A เป็นทอมค่ะ อายุ 30 กลางๆ ทำงานมีรายได้ 2.7- 4หมื่น/เดือน
ขึ้นอยู่กับคอมมิชชั่น
A เรียนจบป.ตรี มีรถที่ยังผ่อน (ทำงานต้องใช้รถ)
A เป็นลูกคนที่ 3 เป็นคนสุดท้อง มีพี่ชายคนโต และพี่สาวคนรอง
พี่ทั้ง 2 คน เรียนไม่จบ ม.3 เพราะไม่ชอบเรียน ค่อนข้างเกเร
ฐานะของบ้าน A ไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ถึงกับอดอยาก
พ่อแม่ทำงานรับจ้างทั่วไป มีรายได้ไม่คงที่ ไม่มีสมบัติเดิม ไม่มีเงินเก็บ เรียกว่าหาเช้ากินค่ำ
ด้วยความที่ A เห็นแล้ว ว่าพ่อแม่ลำบากเพราะไม่มีความรู้ พี่ชาย-พี่สาวไม่เป็นโล้เป็นพาย A เลยตั้งใจที่จะเรียนให้สูงที่สุด
A จบป.ตรี ด้วยเงินกู้กยศ.
ขอกล่าวถึงพ่อแม่ของ A เพื่อให้เห็นภาพ
#แม่ : แม่ A เป็นแม่ที่รักลูกนะคะ และคาดหวังว่าลูกจะต้องกตัญญูด้วย ลักษณะการเลี้ยงดูลูกของแม่ A คือ เลี้ยงแบบแม่ตามชนบททั่วไป ให้กินอิ่ม นอนหลับ แต่จะรักลูกผู้ชายและหลานผู้ชายมากๆ
#พ่อ : พ่อ A เป็นคนทำงานรับจ้างและขับรถบรรทุก เป็นพ่อแบบที่ไม่สนใจโลก ชอบแต่งรถ ขี้หึงมาก ทะเลาะกับแม่ A เสมอ
และที่สำคัญ เป็นคนไม่สนับสนุนให้เยาวชนในครอบครัวเรียนหนังสือ แกชอบพูดบ่อยๆว่า เรียนไปทำไม ทำงานได้ไม่กี่ตังค์ แกก็ไม่ได้เรียนยังขับรถมีตังค์ใช้ได้เลย อะไรประมาณนี้
เห็นได้จากการที่แกสอนหลาน ( ลูกพี่ชาย A ทิ้งไว้ให้เลี้ยง) ว่าไม่ต้องไปเรียนหรอก มาขับรถกับปู่ดีกว่า และตอนที่ A เรียนป.ตรี แกมีตังค์นะคะ แต่แกไม่ให้ ตอนนั้นแกติดผู้หญิง(เมียน้อย)
A จึงจบมาได้ด้วยเงินกู้ กยศ.และทำงานพาร์ทไทม์
เมื่อเกือบๆ 3 ปีที่แล้ว A เพิ่งซื้อบ้านหลังเล็กๆ ในจังหวัดในภาคกลาง ไม่ใช่อำเภอเมือง แต่ก็เป็นแหล่งชุมชน เป็นทาวเฮ้าส์แคบๆ
บ้านหลังนี้ พ่อแม่และครอบครัว A เคยเช่า ในราคาเดือนละ 2,000 บาท เมื่อ A ทำงานได้ราวๆ 6 เดือน (เป็นงานใหม่ งานเก่ารายได้น้อยทำได้ 2-3 ปีจึงเปลี่ยน) แม่และพ่อ บอกให้ Aกู้ซื้อบ้านหลังนี้ให้หน่อย อยากมีบ้านอยู่ ไม่อยากเช่าเขา
ถามว่า A พร้อมไหม A ไม่พร้อมเลย เพราะตอนนั้น A เพิ่งเริ่มงานใหม่ และลงทุนทำธุรกิจเสริม โดยเช่าร้านทำการค้าสินค้าเสื้อผ้าและงานของขวัญ จำเป็นต้องหมุนเงินก่อนในช่วง 2-3 เดือนแรก
A จึงขอต่อรองว่า ขอให้ร้านอยู่ได้สัก 6 เดือนได้ไหม ถ้าอยู่ตัวแล้วจะดำเนินการให้ เพราะตอนนี้ต้องทำงานประจำ บริหารร้าน และยังต้องผ่อนรถอยู่ เกรงจะไม่ไหว
......เกิดดราม่าทันที.....
แม่..ร้องไห้ต่อว่าA ว่าอกตัญญู
พ่อ...ต่อว่า A และพูดว่า A ไม่ใช่ลูกพ่อ ไม่ต้องมาเรียกพ่อ
พี่สาว..ว่า A ว่าไร้น้ำใจ
พี่ชาย...ไม่มาวุ่นวาย ไม่มาสนใจ
A ถามทุกๆคนว่า แล้ว A จะเอาที่ไหนส่ง เพราะถ้าซื้อส่งแพงกว่าเช่านะ
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า.."ช่วยกัน"
แม่บอกว่ายังมีรายได้จากงานซักรีดช่วย
พ่อบอกว่ามีเงินเก็บ และวิ่งรถได้เงินสม่ำเสมอ
พี่สาวบอกว่า จะช่วยเดือนละ 1,000-2,000
สุดท้าย A ไปดำเนินการเพื่อให้ทุกคนสบายใจ
แต่....
เมื่อต้องผ่อนส่งเดือนแรก..ไม่มีสักคนที่จะแสดงตัวช่วย
A ไม่ว่าอะไรพ่อแม่ แต่ได้โทร.ไปหาพี่สาวเพื่อขอให้ช่วย
พี่สาวตอบว่า .. บ้านชื่อเมิง เมิงก็ต้องผ่อน กรุผ่อนก็เป็นชื่อเมิง
A...พูดไม่ออก เห้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา😂
แม่บอกว่าไม่มีตังช่วย
พ่อบอกว่าจ่ายค่าไฟแล้ว หมดหน้าที่แล้ว
สุดท้าย...A เอาเงินที่ใช้หมุนในร้านมาจ่าย และทำให้บัญชีร้านติดลบ เพราะเงินเข้ามาจากร้าน แต่จ่ายไปโดยไม่ได้เติมของในร้าน เป็นแบบนี้ได้ 3 เดือน ร้านก็ต้องเซ้ง เพราะไม่มีเงินหมุน
และในเดือนถัดๆมา A เริ่มกดบัตรเครดิตเพื่อส่งให้ครอบครัว
และการเงินเริ่มติดลบ เพราะลงทุนกับร้านไปเยอะมาก แล้วขาดทุน ประกอบกับงานที่ทำเพิ่งเริ่มต้น ค่าคอมมิชชั่นจากการหาลูกค้ายังไม่สูงนัก
และก็มีเรื่องต่อมา...
พี่ชาย A อยากมีรถขับ แต่ด้วยอาชีพการงานไม่มั่นคงนัก เงินเดือนค่อนข้างต่ำ (ตามวุฒิ) จึงต้องใช้คนค้ำ 2 คนจึงจะออกรถมือ2 ได้สักคัน คนแรกคือภรรยาของเขาเอง คนที่2 เขาต้องการให้ A ค้ำ เพราะพี่สาว A ไม่มีรายได้แน่นอน
เมื่อ A ทราบครั้งแรก A ปฏิเสธ เพราะขนาดเงินที่พี่ชายขอยืมไป 1,000-2,000 ยังไม่เคยได้คืน
A จึงไม่ยอมค้ำให้ และ A รู้นิสัยพี่ชายของ Aดี ว่าไร้ความรับผิดชอบแค่ไหน มีลูกยังไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูเลย ให้ปู่กับย่าและอาๆช่วยเลี้ยง แต่....
พี่ชาย A โทร.มาหาแม่ บอกว่าพ่อกับแม่ไม่ยุติธรรม ทีรถ A ยังช่วยดาวน์ให้ขับได้ ( พ่อให้ยืมเงินดาวน์รถ แต่เมื่อได้คืนภาษี A ใช้คืนหมดทุกบาท เพราะตกลงกันแต่แรกแล้ว )
และอย่างที่บอก แม่รักลูกชายคนเดียวมาก แม่เลยมาขอร้อง A
ให้ช่วยค้ำประกันหน่อย A ปฏิเสธหลายครั้ง ถึงแม้ว่าแม่จะตื๊อขนาดไหนก็ตาม ช่วงนั้น A ไม่อยากรับสายจากแม่และพี่ชายเลย
จนในที่สุด แม่ของ A ร้องไห้ บอกว่าถ้าให้กราบก็ยอม มาค้ำประกันให้พี่ชายเถอะ สงสารพี่ชาย อยากมีรถขับ
คราวนี้พี่สาวและพ่อก็มาร่วมกันกล่อม A
A ถามเหมือนเดิม ว่าถ้าพี่ชายไม่ส่งทำไง
ทุกคนตอบเหมือนเดิมว่า "ช่วยกัน"
และเหมือนเดิม A ยอมลงชื่อค้ำประกัน เพื่อความสบายใจของทุกคน
และต่อไปนี้คือมหกรรมความทุกข์ใหญ่หลวงของ A
1.พี่ชายส่งรถเพียงงวดเดียว (3,000++) แล้วหนีหายไปพร้อมเมียและรถ
2.ไฟแนนซ์ ตามหาตัวไม่เจอจึงตามทวงกับ A ในฐานะผู้ค้ำ
3.A ไม่เคยหนีไฟแนนซ์ A พยายามตามหาพี่ชาย แต่เขาทำตัวหายไปแบบไร้ร่องรอย
4.ไฟแนนซ์แต่งตั้งทนาย ส่งฟ้อง ระหว่างนั้นเจรจาประนอมหนี้กันหลายรอบ โดย A ไม่เคยบิดพริ้วไปศาลทุกนัด
5. ศาลพิพากษาให้ชดใช้ไฟแนนซ์เพียงยอดต้นตามราคารถเท่านั้น ยอดนั้นเต็มจำนวนเพราะพี่ชายส่งเพียงงวดเดียว ส่วนค่าปรับ ค่าอะไรที่ทางไฟแนนซ์บวกเพิ่ม ศาลปัดตกไป
6.เวลาผ่านไปประมาณ 1.6 ปี มีหมายมาบ้าน A ให้ขายทอดตลาด หรือไม่ก็หาเงินกว่า 3 แสนมาปิดยอดเต็ม ไม่รับผ่อน
7.ถ้า A เลือกขายบ้านทอดตลาด A ก็ยังต้องผ่อนบ้านต่อแม้ขายไปแล้ว เพราะเงินที่ขายได้ต้องเอาไปปิดหนี้รถ ธนาคารก็เรียกเก็บค่างวดบ้านปกติ
......ตอนนี้ A เหมือนคนตายไปครึ่งชีวิต....
.......ชีวิต A ที่ดิ้นรนเพื่อตัวเองและครอบครัว ...
.......A ที่กตัญญูที่สุด เท่าที่ทำได้....
บางที A ก็อยากตะโกนถามใครสักคนว่า A ทำอะไรผิด?
A เหนื่อยมาก ระหว่างที่โดนฟ้อง A ก็พยายามที่จะหารายได้เพิ่ม ทั้งขายของออนไลน์ ขายของตลาดนัด A เอาทุกทาง
แต่ภาระที่ A มีคือ
-ผ่อนรถ
-ผ่อนบ้าน
-ผ่อนบัตร
-ผ่อนหนี้นอกระบบให้แม่
-ให้พ่อ-แม่รายเดือน
A สู้จนสุดมือแล้ว
ณ.เวลานี้ เมื่อทุกคนในครอบครัวได้รับรู้ถึงหมายศาล
#แม่ : ร้องไห้ฟูมฟาย ด่าทอพี่ชาย นอนซมทั้งวัน พูดพร่ำว่าอยากตายไม่มีบ้านจะอยู่
#พ่อ : จ้องจะให้หลานชายเลิกเรียนบอกเปลือง(??)
#พี่สาว : เฉยๆ เพราะไม่มาช่วยเหลือข้องเกี่ยว
ตอนนี้เราได้แต่ให้กำลังใจ A
A โทร.หาแม่ทุกครั้ง แม่ก็ร้องไห้ฟูมฟาย ตีอกชกตัว ตัดพ้อโชคชะตาว่าจะไร้บ้านซุกหัวนอน
โทร.หาพ่อ พ่อก็บอกไม่มีกะจิตกะใจไปทำงาน นอนอยู่บ้านมาหลายอาทิตย์
ตอนนี้ A จิตตก เพราะแม่และพ่อไร้สติและฟูมฟายหนักมาก
เราสงสารนะ
แต่ในมุมมองคนนอกอย่างเรา..เราคิดว่า
A ควรปล่อยให้ขายทอดตลาดบ้านไป เพราะถ้า A ไปหากู้เงินแสนนอกระบบมาปิด A จะมีภาระใหญ่หลวงเพิ่ม เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่างคงเดิม
ส่วนเรื่องผ่อนบ้านต่อ คงต้องยอมรับ ว่ากันไปตามกฏหมาย อาจดูไม่ยุติธรรม แต่หนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องใช้หนี้ แม้จะไม่ได้เป็นคนก่อ
ซึ่งก็ไม่ต่างจากการผ่อนใช้หนี้นั่นเอง
ส่วนครอบครัวพ่อ-แม่-หลาน อาจต้องหาเช่าบ้านอยู่อีกครั้ง
แต่...อย่าลืมว่าที่ผ่านมาก็เช่ามาแต่ไหนแต่ไร เพิ่งซื้อในไม่เกิน 3 ปีนี้ ฟังดูอาจเหมือนโหดร้าย แต่เราอยากให้แม่และพ่อมีบทเรียนในการดำเนินครอบครัว การรักลูกอย่างไร้ตรรกะและเหตุผลมันส่งผลร้ายแรงแค่ไหน
สิ่งที่เป็นคำถามสำหรับเราคือ...
ในเมื่อ A ซึ่งเป็นน้อง ยังมองออกว่าพี่ชายของตัวเองไม่ไหว ไม่น่าไว้ใจและจะสร้างเรื่องเดือดร้อน..
แล้วทำไมแม่และพ่อ A ไม่รู้?? อันนี้สงสัยจริงๆ
เราไม่มีความรู้กฏหมายนัก ถ้าเพื่อนๆสมาชิกท่านไหนมีคำแนะนำดีๆ ก็รบกวนด้วยนะคะ เราสงสาร A มาก
เราหวังว่า ใครก็ตามที่มีปัญหาครอบครัว
และสงสัยเรื่องความกตัญญูเหมือนเรา จะเข้าใจเจตนาในการตั้งกระทู้ของเรา
สำหรับเรา พ่อแม่ก็เป็นผู้มีพระคุณเสมอค่ะ
นี่แค่อีกมุมมองจากชีวิตจริงเท่านั้น ชีวิตที่มอบให้คำว่ากตัญญูค่ะ