สวัดดีคะ เราพึ่งเริ่มเล่นพันทิป ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไร แท๊คห้องผิดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
เริ่มกันเลย บ้านเรามีธุระกิจเล็กๆอยู่ เป็นธุระกิจ สระว่ายน้ำแล้วร้านอาหารตั้งอยู่กลางทู่งนา หาไกลจากบ้านคนมีธรรมชาต ต้นไม้สวยงาม มีแม่ มีพ่อเป็นชาวต่างชาติ และคนงาน 2 คนเป็นสามีภรรยากัน ที่ทำงานกะบ้านเรามาเกือบ 10 ปี แต่เราออกไปทำงาน ตั้งแต่เริ่นจบ จนวันหนึ่งพ่อเราก็ป่วย แม่กะพ่อเราเลยคิดว่า ควรจะพาพ่อไปรักษาตัวที่เมืองนอก เลยมานั้งคุยกันว่าใครจะอยู่บ้านดูธุระกิจ คนงานเลยบอกว่า มาดูแลให้ได้แต่อยากให้ ลูกสาว(ตัวเรา) มาดูแลเรื่องการเงินเอง เค้าไม่สดวกจะดูให้ แม่เราก็เลยโทรหาเรา ขอให้เรากลับมาอยู่บ้าน เราก็ไม่อยากกลับมาเท่าไร แม่เราเลยบอกว่า ถ้าตัวเราไม่กลับมา แม่เราก็พูดว่า ถ้าธุระกิจตัวเอง บ้านตัวเองแล้วลูกไม่อยากดูแล ไม่อยากได้ ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องเก็บไว้ ก็ตั้งใจจะขาย เราก็เลยรุ้สึกผิด ก็เลยรับคำ กลับมาดูแลธุระกิจที่บ้าน
ช่วงแรกๆทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี กลางวันคนงานก็มาทำงานปกติเช้าเที่ยง กินข้าวด้วยกัน ตอนเย็นคนงานกลับเราก็ต้มมาม่า หรือหาอะไรง่ายๆกิน เป็นแบบนี้มากสักอาทิต เราก็เริ่มไม่อยากข้าวเย็นเพราะมันต้องกินคนเกียว เริ่มรู้สึกว่าบ้าน ตอนกลางคืนมันชั้งเงียบ เหงา ไม่มีแสงไฟจากที่ใหน นอกจากบ้านเรา เวลาแม่โทรมาถาม ว่าเป็นไงอยู่ได้มั้ย เราก็ตอบว่า แน่นอน เรื่องแค่นี้สบายมาก เวลาคนงานถามว่า นอนคนเดียวได้ใช่มั้ย เราก็ยิ้มและตอบไปว่า ได้อยู่แล้ว น้าก็รู้ว่าหนูเก่งจะตาย ระหว่างที่คนงานอยู่บ้าน 8 ชั่วโมง เรายิ้มและร่าเริงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่พอคนงานกลับ เราก็เศร้าและเหงามาก เหมือนว่าในโลกนี้มีแค่เราคนเดียว แต่ปันหามันคือ เราหลอกตัวเองว่า ดูสิ บ้านหลังใหญ่โต เป็นเจ้าของธุระกิจขนาดนี้ตอนอายุแค่ 27 เงินก็มีใช้ อาหารก็เต็มตู้ คนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้หรอ นี้คือสิ่งที่ สมองเราหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนวันนี้ผ่านมา เกือบๆ 1 เดือน เรากลายเป็นที่สมองหลอกทุกๆอย่างไปแล้ว เวลาเศร้าจะยิ้ม เป็นความเศร้าที่บอกพ่อและแม่ไม่ได้ เป็นความเหงา ที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ แม่เราก็โทรมาถามคนงานว่าเราเป็นไงมั้ง อยู่ได้มั้ย ซึ้งคนงานนี้จะเห็นเรายิ้มอยู่ตลอดเวลา เค้าก็คิดว่าเรา โอเค เราควรไปพบหมอรึเปล่าคะ
#ขอโทษที่เล่ายาวนะคะ ก็มีแค่ในนี้ที่เราพอจะเล่าได้ ขอบคุณที่รับฟังคะ
เราควรไปพบหมอหรือเปล่าคะ
เริ่มกันเลย บ้านเรามีธุระกิจเล็กๆอยู่ เป็นธุระกิจ สระว่ายน้ำแล้วร้านอาหารตั้งอยู่กลางทู่งนา หาไกลจากบ้านคนมีธรรมชาต ต้นไม้สวยงาม มีแม่ มีพ่อเป็นชาวต่างชาติ และคนงาน 2 คนเป็นสามีภรรยากัน ที่ทำงานกะบ้านเรามาเกือบ 10 ปี แต่เราออกไปทำงาน ตั้งแต่เริ่นจบ จนวันหนึ่งพ่อเราก็ป่วย แม่กะพ่อเราเลยคิดว่า ควรจะพาพ่อไปรักษาตัวที่เมืองนอก เลยมานั้งคุยกันว่าใครจะอยู่บ้านดูธุระกิจ คนงานเลยบอกว่า มาดูแลให้ได้แต่อยากให้ ลูกสาว(ตัวเรา) มาดูแลเรื่องการเงินเอง เค้าไม่สดวกจะดูให้ แม่เราก็เลยโทรหาเรา ขอให้เรากลับมาอยู่บ้าน เราก็ไม่อยากกลับมาเท่าไร แม่เราเลยบอกว่า ถ้าตัวเราไม่กลับมา แม่เราก็พูดว่า ถ้าธุระกิจตัวเอง บ้านตัวเองแล้วลูกไม่อยากดูแล ไม่อยากได้ ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องเก็บไว้ ก็ตั้งใจจะขาย เราก็เลยรุ้สึกผิด ก็เลยรับคำ กลับมาดูแลธุระกิจที่บ้าน
ช่วงแรกๆทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี กลางวันคนงานก็มาทำงานปกติเช้าเที่ยง กินข้าวด้วยกัน ตอนเย็นคนงานกลับเราก็ต้มมาม่า หรือหาอะไรง่ายๆกิน เป็นแบบนี้มากสักอาทิต เราก็เริ่มไม่อยากข้าวเย็นเพราะมันต้องกินคนเกียว เริ่มรู้สึกว่าบ้าน ตอนกลางคืนมันชั้งเงียบ เหงา ไม่มีแสงไฟจากที่ใหน นอกจากบ้านเรา เวลาแม่โทรมาถาม ว่าเป็นไงอยู่ได้มั้ย เราก็ตอบว่า แน่นอน เรื่องแค่นี้สบายมาก เวลาคนงานถามว่า นอนคนเดียวได้ใช่มั้ย เราก็ยิ้มและตอบไปว่า ได้อยู่แล้ว น้าก็รู้ว่าหนูเก่งจะตาย ระหว่างที่คนงานอยู่บ้าน 8 ชั่วโมง เรายิ้มและร่าเริงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่พอคนงานกลับ เราก็เศร้าและเหงามาก เหมือนว่าในโลกนี้มีแค่เราคนเดียว แต่ปันหามันคือ เราหลอกตัวเองว่า ดูสิ บ้านหลังใหญ่โต เป็นเจ้าของธุระกิจขนาดนี้ตอนอายุแค่ 27 เงินก็มีใช้ อาหารก็เต็มตู้ คนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้หรอ นี้คือสิ่งที่ สมองเราหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนวันนี้ผ่านมา เกือบๆ 1 เดือน เรากลายเป็นที่สมองหลอกทุกๆอย่างไปแล้ว เวลาเศร้าจะยิ้ม เป็นความเศร้าที่บอกพ่อและแม่ไม่ได้ เป็นความเหงา ที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ แม่เราก็โทรมาถามคนงานว่าเราเป็นไงมั้ง อยู่ได้มั้ย ซึ้งคนงานนี้จะเห็นเรายิ้มอยู่ตลอดเวลา เค้าก็คิดว่าเรา โอเค เราควรไปพบหมอรึเปล่าคะ
#ขอโทษที่เล่ายาวนะคะ ก็มีแค่ในนี้ที่เราพอจะเล่าได้ ขอบคุณที่รับฟังคะ