สวัสดีค้าบ ผมปาร์ค กลับมาอีกครั้งแล้วนะคับ กับกระทู้ที่ 6 ของเราาาา ตอนนี้ผมเพิ่มเริ่มต้นชีวิต ป.โท ในรั้วมหาลัยที่ญี่ปุ่นเพียงแค่เทอมแรก เลยอยากมาแชร์ว่า การใช้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง ยุ่งมั้ย หรือว่ากระอักเลือดรึเปล่า เผื่อเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนไหนสนใจอาจเป็นแนวทางซักนิดด ก็ยังดีเนอะ ^^
ต้องขอบอกก่อนว่าก่อนมาญี่ปุ่นผมตั้งใจจะมาต่อคณะวิศวะไฟฟ้าอยู่แล้ว อยากเรียนเกี่ยวกับการแพทย์แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกหัวข้ออะไรดี เริ่มแรกคือ ที่มหาลัย(ที่ญี่ปุ่น)ของผมเขาจะมีคอร์สเรียนภาษาให้เรียนก่อน อันนี้คนที่เรียนก็มาจากหลากหลายที่เลย ทั้งนักเรียนแลกเปลี่ยนเกาหลี(เพราะงี้แหละ เลยได้รู้จักคุณคิม >.,< ใครยังไม่เคยอ่านลองไปดูกระทู้แรกของผมเน้อ ) หรือคนที่อยากเรียนแค่ภาษาเฉยๆ หรือคนที่อยากต่อคณะอื่นทั้ง ป.ตรี หรือ ป.โทเลย ผมเลือกเรียนสองเทอมเพราะว่าแอบขี้เกียจนิดนึง5555 เพราะบางคนก็เรียนเทอมเดียวแล้วเข้าเลยก็มี ระหว่างที่ผมเรียนภาษาอยู่ผมก็เริ่มไปติดต่อขอดูหัวข้อของอาจารย์ในสายวิศวะ เลือกเรื่องมาแล้วดูว่าสาขาไหนเราอยากเรียน หลังจากนั้นก็ติดต่ออาจารย์ในสายนั้นๆ พออาจารย์รับรู้ก็เป็นอันเสร็จ ที่เหลือก็แค่รอสอบเข้า ป. โท แล้วก็สอบเข้าไปได้ในที่สุด หลังจากเข้ามาได้ก็รู้สึกได้ว่าชีวิตเริ่มวุ่นวายกว่าสมัยตอนเรียนภาษานิดนึงงง ! เพราะมันต้องมีให้ลงเรียนวิชาเก็บหน่วยกิตเหมือนตอน ป.ตรี นี่สิ!!! แต่ยังดีที่เป็นการเรียนแบบชิวๆ บางอันก็เช็คแค่ชื่อเข้าห้องพออะไรงี้ เลยมีเวลาทำไบท์อยู่พอสมควร แต่ที่หนักพอๆกับเรื่องเรียนคือสร้างเพื่อนญี่ปุ่นนี่แหละ คือตอนสมัยที่เรียนภาษา บอกเลย เป็นเพื่อนกับคนต่างชาติง่ายมากกกก คือส่วนใหญ่เขาเปิดน่ะ แบบเหมือนกับว่าเราชอบภาษาญี่ปุ่นเหมือนกันเลยได้คุย กินเหล้า นัดกินข้าว เที่ยวกันบ่อย ไปไหนไปกันเหมือนคนไทย แต่คนญี่ปุ่นจะแนวแบบเรียบร้อยย ต้องให้เราชวนคุยก่อน แต่คนญี่ปุ่นที่ทักก่อนก็มีอยู่นะ โดยเฉพาะคนที่ชอบอะไรเกี่ยวกับไทยๆ แต่มีน้อยย 5555 แต่ก็ต้องพยายามกันไปเนอะ 55555
นี่คือมหาลัยผมเอง ต้นไม้เยอะมากกกก กลิ่นเขียวนี่หึ่งเลยย ฮ่าๆๆ แต่ร่มรื่นดีนะ แบบตอนอยู่มหาลัยอ่ะ รู้สึกเย็นกว่าอยู่ข้างนอกนะ
ต่อมา เรื่องเนื้อหาการเรียน ของผมเป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบหมดเลยคับ! อันนี้ความคิดส่วนตัวนะ คือถ้าตั้งใจจะมาเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วอ่ะ ถึงเขาจะบอกว่ามีหลักสูตรอินเตอร์ ก็หนีภาษาญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ดี เพราะกับเพื่อนหรือตอนติดต่ออาจารย์มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อ่าเนอะ เพราะตอนนี้มีเพื่อนกะรุ่นพี่บางคนพูดญี่ปุ่นแทบไม่ได้เลย ก็ลำบากอยู่ดี เพราะงั้นแนะนำให้เรียนภาษามาก่อนไม่ว่าจะที่ไทย หรือญี่ปุ่นก็ได้เน้อ
สิ่งที่ทุกคนจะต้องเรียนเหมือนกันที่นี่คือ คาบสัมมนา โดยใครอยู่แลปอาจารย์คนไหน ก็แยกๆ กันไป ตอนผมได้ข่าวว่าอาจารย์ของผมโหดที่สุดนี่แทบช็อค = = เห็นการพูดดูใจดี แต่เขาก็ใจดีแหละ แต่คาบสัมมนาเขาอ่าโหด คือเขาจะให้อ่านวิทยานิพนธ์ของคนอื่น แล้วมาสรุปพร้อมพรีเซนต์หน้าห้องด้วยภาษาญี่ปุ่น คือตอนแรกอาจารย์ก็ถามนะว่าจะพูดเป็นภาษาอะไร แต่เราเห็นว่าไหนๆ ก็มาเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วอ่ะเนอะ ก็เดินหน้าแบบเอ็กสตรีมเลยย ตอบอย่างมั่นหน้า (แต่ใจหวั่นมากกก) ว่า ญี่ปุ่นคับ! 55555 ตอนนี้ยังไม่ถึงคิวผมที่ต้องพรีเซน แต่จากคนก่อนหน้าที่พรีแล้ว ดูระยะเวลาอย่างต่ำหนึ่งชั่วโมง! แล้วระหว่างพรีอาจารย์ชอบถามคำถามมาอย่างฉับพลัน!!! ตอนนี้อยู่ระหว่างช่วงเตรียมตัว ถามว่าตื่นเต้นไหม ตอบเลยว่ามากกกกกกก แต่ต้องลุยไปอ่าเนอะ
ส่วนนี่ก็เป็นเอกสารที่เรียนคร่าวๆ ในตอนนี้ จะเห็นว่ายังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ที่พีคสุดคือ มันมีอยู่คาบนึงที่เขาให้ดิสคัสชั่น แบ่งกลุ่มทั้งหมดสิบกว่ากลุ่มๆละ 6 คน แล้วแบบมันจะมีสองกลุ่มที่แบบ เป็นต่างชาติล้วน แต่ด้วยความน่ารักของอาจารย์ อาจารย์บอกว่า "ปาร์คคุง เห็นว่าพูดญี่ปุ่นพอได้แล้วเนอะ อาจารย์เลยจัดกลุ่มให้อยู่กับคนญี่ปุ่นเลยเนอะ สู้ๆนะจ๊ะเบ่บี๋ ^3^" ตายสิคับเจองี้!!!!! โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ตอนนี้ผมก็พยายามแย่งเขาพูดให้ทันอยู่ ก็ต้องสู้กันต่อปายยย 55555
นอกจากนี้ การที่ผมได้มาใช้อยู่ที่นี่ ทำให้ผมรู้สึกว่ามีตารางนัดเยอะเหลือเกิน ทั้งตารางทำไบท์ ตารางการเข้าบรรยายกิจกรรมต่างๆ หรือแม้แต่ตารางเที่ยว ดังนั้นการมาญี่ปุ่นทำให้ผมต้องเริ่มมีสมุดโน้ตติดตัวเป็นของตนเอง เพื่อจะได้ไม่ลืมวันนัดสำคัญๆ
และในเล่มนี้เองผมก็จดตารางเรียนของผมไว้ด้วย กันลืมว่าเรียนอะไรบ้างกี่โมง แต่เรียนที่ตึกไหน
นอกจากเรื่องการเรียนแล้ว ก็มีเรื่องอื่นที่ต้องทำด้วย เช่นการย้ายหอ คือตอนเราเรียนภาษาญี่ปุ่นเนี่ย เราจะสามารถอยู่หอในของมหาลัยได้ แต่ถ้าจบหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นแล้ว ต้องย้ายออกมาอยู่ข้างนอก ดังนั้นผมก็ต้องเข้าไปหานายหน้าขายห้อง แล้วคุยตกลงทำสัญญากัน หลังจากนั้นก้ย้ายออก เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเราย้ายออกก็ต้องไปดำเนินการที่เขตเรื่องการย้ายเข้าที่ใหม่ย้ายออกที่เก่า แล้วค่อยขนของ ช่วงนั้นผมจำได้ว่ายุ่งพอสมควร เทียวไปเทียวมา แต่ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ คือตอนอยู่ไทยนี่แทบไม่ค่อยไปทำอะไรเกี่ยวกับราชการเลย ไปสำนักเขตน้อยมากๆ แต่พอมาญี่ปุ่นเราต้องทำเรื่องเองทั้งหมด ไปเขตบ่อยมากๆ ทำให้พอรู้ขั้นตอน แล้วพอหลังๆเลยสามารถพาน้องๆ ที่เพิ่งเข้าใหม่มาได้ ผมว่าส่วนนี้ด้วยแหละทำให้ผมพอได้ภาษาอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ได้คุยผิดคุยถูกแต่ก็ได้คุย คิดว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีนะ หน้าหนาๆเข้าไว้ ! 55555
ว่าด้วยเรื่องหอใหม่นี่ก็โอเคเลย เสียรายเดือนเดือนละ 33000 เยน ค่าไฟกับค่าแก็สเสียแยก ค่าน้ำฟรี ถ้ารวมๆ ก็ประมาณไม่เกิน 40000 เยนนะ ก็ใช้เงินจากทำไบท์นี่แหละ ออกค่าพวกนี้ไป ตอนนี้การใช้ชีวิตอยู่หอนอกของผมเริ่มอยู่ตัวละ ตอนแรกนี่ไปร้านไดโซเป็นว่าเล่น ซื้อของเข้าหอแบบถล่มทลายมากกก เห็นไรก็รู้สึกจำเป็นหมด 555 คือตอนซื้อที่แคชเชียร์ พนักงานเขาจะนับจำนวนสินค้าไปเรื่อยๆ ของผมเคยนับถึงยี่สิบกว่า ผมนี่เขินคนที่ต่อท้ายเลย แบบมองเหยียดๆว่า "จะซื้อไรเยอะแยะวะ" ฮ่าๆๆๆๆ
ล็อคนี้ล็อคการ์ตูน จำได้เลยตอนหน้าร้อน เคยอ่านเสร็จแล้วออกไปซื้อ ทำซ้ำๆ กันวันนึงประมาณสามสี่รอบ (ถามว่าเรื่องเรียนทุ่มเทงี้ไหมมม ฮ่าๆ) อ่านแล้วติดจิงงงง เหงื่อนี่แบบไหลเป็นน้ำเลย ตอนนี้พ้อยสะสมน่าจะพุ่งทะลุละ แต่ที่กลัวคือการ์ตูนต่อไปจะมีที่เก็บไหมนี่สิ 55555
เป็นคนที่พอเห็นแก้วสวยๆ แล้วชอบซื้อเก็บไว้ ช่วงนี้อยู่ในช่วงฝืนใจอยู่ เดี๋ยวงบหมด T^T
นี่เลย ล็อคเครื่องครัว ซีอิ๊วขาว น้ำตาล โชยุเนื้อย่าง น้ำจิ้มแจ่ว น้ำจิ้ม ทุกอย่างรวมอยู่ในนี้หมด อัดแน่นพร้อมปรุง!!
ส่วนพวกเนื้อ หรือไอติมก็เก็บไว้ในตู้เย็น ตู้นี้ซื้อมา 19000 เยน เป็นมือสอง แต่สะอาดมาก ไม่มีร่องรอยการบุบสลายเลย
ตามด้วยล็อคสุขภัณฑ์ ผงซักฟอก ทิชชู่แห้งหรือเปียก ครีมทาหน้า จะสแปร์ไว้ตรงนี้หมด
ของโดยรวมๆ
พวกฟิกเกอร์นี่โชคดี อาจารย์ที่สอนภาษาบอกว่ากำลังย้ายบ้าน เลยไม่เอาฟิกเกอร์วันพีชแล้ว ให้ฟรีเอาไหม เรานี่ตอบรับแทบไม่ทัน มาเป็นกล่องใหญ่ๆ เลยตอนนั้น ยังซึ้งไม่หายเลย >___________<
และนี่ก็คือบัตรของผมคับ เกือบเอาไปตั้งสำรับไพ่ยูกิได้ละ ฮ่าๆๆๆ บางคนนี้ต้องถึงกับเอากระเป๋าตังใบที่สองสำหรับเก็บบัตรเลยนะ คือเรื่องของเรื่องคือ พนักงานชอบถามว่ามีบัตรไหม ถ้าไม่มีทำได้นะ ฟรี ย้ำ! ฟรี!! ก็ทำสิคับ รออะไร !!! ฮ่าๆๆๆ แต่ว่าที่ใช้จริงๆ มีไม่กี่อย่างหรอก ของผมที่ใช้บ่อยๆ คือบัตร Tsutaya ไว้สะสมแต้มซื้อการ์ตูน กับ Waon ไว้สะสมแต้มตอนซื้อของที่อิออน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนถ้ามาใช้ชีวิตอยู่ที๋ญี่ปุ่นก็ต้องเริ่มมีบัตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน! ฟันธง !!! 55555
อย่างสุดท้ายที่ภูมิใจนำเสนอคือ!!! กระเทียมถุง!!! คือเยอะมากกกก และถูกมากกกก เหมาะสำหรับคนรักกระเทียมเลย อันนี้ซื้อมาสามร้อยกว่าเยน ยังกินไม่หมดเลย ผ่านมาจะเดือนนึงละ แนะนำสำหรับคนที่กำลังประหยัดตัง ต้องถูกใจแน่นอนนนนนนนนน
ก็หมดไปแล้วนะคับ กับชีวิตการเรียนแล้วความเป็นอยู่ของผมช่วงแรก ผมเชื่อว่าเราทุกคนก็ต้องเผชิญกับการปรับตัวอ่าเนอะ ทั้งการพบและการลาจาก เพื่อนบางคนมาเพื่อแลกเปลี่ยนภาษาแล้วก็กลับประเทศ(แบบคนเกาหลีที่คุยๆกันอยู่ทุกวันนี่แหละ เดี่ยวเขาก็กลับละ T^T) ถามว่าโหวงๆ ไหม โหวงมากกกกกกกกก แบบคนเคยเจอกันทุกวันอ่าเนอะ แต่ก็ต้องสู้ต่อไป!!!!!! (เหมือนปลอบใจตัวเองเลย ฮ่าๆๆ) ตอนนี้ผมก็ยึดหลักที่ว่า "อยู่กับปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับมัน และทำมันให้มีค่าที่สุดไม่ว่าจะเรื่องอะไร"ผมเชื่อว่าถ้าทำแบบนี้ต้องผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้แน่นอน
กระทู้นี้ผมก็จบลงเท่านี้นะคับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยเน้อ >.,< ปล. วันนี้เพิ่งไปอ่านหนึงสือกับคนเกาหลีมา(เขิน 555) เลยถือโอกาสไปถ่ายรูปมหาลัยวันนี้เองแหละ ~~ บ๊ายบาย เจอกันกระทู้หน้าเน้อ ขอบคุณที่ติดตามคับ
MyJapanLife ไดอารี่บทที่6 ชีวิตการเรียน ป.โท และความเป็นอยู่ของผมในญี่ปุ่น สุขเศร้าเหงาเคล้าน้ำตา(ก็ว่าไปนั่น555)
ต้องขอบอกก่อนว่าก่อนมาญี่ปุ่นผมตั้งใจจะมาต่อคณะวิศวะไฟฟ้าอยู่แล้ว อยากเรียนเกี่ยวกับการแพทย์แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกหัวข้ออะไรดี เริ่มแรกคือ ที่มหาลัย(ที่ญี่ปุ่น)ของผมเขาจะมีคอร์สเรียนภาษาให้เรียนก่อน อันนี้คนที่เรียนก็มาจากหลากหลายที่เลย ทั้งนักเรียนแลกเปลี่ยนเกาหลี(เพราะงี้แหละ เลยได้รู้จักคุณคิม >.,< ใครยังไม่เคยอ่านลองไปดูกระทู้แรกของผมเน้อ ) หรือคนที่อยากเรียนแค่ภาษาเฉยๆ หรือคนที่อยากต่อคณะอื่นทั้ง ป.ตรี หรือ ป.โทเลย ผมเลือกเรียนสองเทอมเพราะว่าแอบขี้เกียจนิดนึง5555 เพราะบางคนก็เรียนเทอมเดียวแล้วเข้าเลยก็มี ระหว่างที่ผมเรียนภาษาอยู่ผมก็เริ่มไปติดต่อขอดูหัวข้อของอาจารย์ในสายวิศวะ เลือกเรื่องมาแล้วดูว่าสาขาไหนเราอยากเรียน หลังจากนั้นก็ติดต่ออาจารย์ในสายนั้นๆ พออาจารย์รับรู้ก็เป็นอันเสร็จ ที่เหลือก็แค่รอสอบเข้า ป. โท แล้วก็สอบเข้าไปได้ในที่สุด หลังจากเข้ามาได้ก็รู้สึกได้ว่าชีวิตเริ่มวุ่นวายกว่าสมัยตอนเรียนภาษานิดนึงงง ! เพราะมันต้องมีให้ลงเรียนวิชาเก็บหน่วยกิตเหมือนตอน ป.ตรี นี่สิ!!! แต่ยังดีที่เป็นการเรียนแบบชิวๆ บางอันก็เช็คแค่ชื่อเข้าห้องพออะไรงี้ เลยมีเวลาทำไบท์อยู่พอสมควร แต่ที่หนักพอๆกับเรื่องเรียนคือสร้างเพื่อนญี่ปุ่นนี่แหละ คือตอนสมัยที่เรียนภาษา บอกเลย เป็นเพื่อนกับคนต่างชาติง่ายมากกกก คือส่วนใหญ่เขาเปิดน่ะ แบบเหมือนกับว่าเราชอบภาษาญี่ปุ่นเหมือนกันเลยได้คุย กินเหล้า นัดกินข้าว เที่ยวกันบ่อย ไปไหนไปกันเหมือนคนไทย แต่คนญี่ปุ่นจะแนวแบบเรียบร้อยย ต้องให้เราชวนคุยก่อน แต่คนญี่ปุ่นที่ทักก่อนก็มีอยู่นะ โดยเฉพาะคนที่ชอบอะไรเกี่ยวกับไทยๆ แต่มีน้อยย 5555 แต่ก็ต้องพยายามกันไปเนอะ 55555
นี่คือมหาลัยผมเอง ต้นไม้เยอะมากกกก กลิ่นเขียวนี่หึ่งเลยย ฮ่าๆๆ แต่ร่มรื่นดีนะ แบบตอนอยู่มหาลัยอ่ะ รู้สึกเย็นกว่าอยู่ข้างนอกนะ
ต่อมา เรื่องเนื้อหาการเรียน ของผมเป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบหมดเลยคับ! อันนี้ความคิดส่วนตัวนะ คือถ้าตั้งใจจะมาเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วอ่ะ ถึงเขาจะบอกว่ามีหลักสูตรอินเตอร์ ก็หนีภาษาญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ดี เพราะกับเพื่อนหรือตอนติดต่ออาจารย์มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อ่าเนอะ เพราะตอนนี้มีเพื่อนกะรุ่นพี่บางคนพูดญี่ปุ่นแทบไม่ได้เลย ก็ลำบากอยู่ดี เพราะงั้นแนะนำให้เรียนภาษามาก่อนไม่ว่าจะที่ไทย หรือญี่ปุ่นก็ได้เน้อ
สิ่งที่ทุกคนจะต้องเรียนเหมือนกันที่นี่คือ คาบสัมมนา โดยใครอยู่แลปอาจารย์คนไหน ก็แยกๆ กันไป ตอนผมได้ข่าวว่าอาจารย์ของผมโหดที่สุดนี่แทบช็อค = = เห็นการพูดดูใจดี แต่เขาก็ใจดีแหละ แต่คาบสัมมนาเขาอ่าโหด คือเขาจะให้อ่านวิทยานิพนธ์ของคนอื่น แล้วมาสรุปพร้อมพรีเซนต์หน้าห้องด้วยภาษาญี่ปุ่น คือตอนแรกอาจารย์ก็ถามนะว่าจะพูดเป็นภาษาอะไร แต่เราเห็นว่าไหนๆ ก็มาเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วอ่ะเนอะ ก็เดินหน้าแบบเอ็กสตรีมเลยย ตอบอย่างมั่นหน้า (แต่ใจหวั่นมากกก) ว่า ญี่ปุ่นคับ! 55555 ตอนนี้ยังไม่ถึงคิวผมที่ต้องพรีเซน แต่จากคนก่อนหน้าที่พรีแล้ว ดูระยะเวลาอย่างต่ำหนึ่งชั่วโมง! แล้วระหว่างพรีอาจารย์ชอบถามคำถามมาอย่างฉับพลัน!!! ตอนนี้อยู่ระหว่างช่วงเตรียมตัว ถามว่าตื่นเต้นไหม ตอบเลยว่ามากกกกกกก แต่ต้องลุยไปอ่าเนอะ
ส่วนนี่ก็เป็นเอกสารที่เรียนคร่าวๆ ในตอนนี้ จะเห็นว่ายังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ที่พีคสุดคือ มันมีอยู่คาบนึงที่เขาให้ดิสคัสชั่น แบ่งกลุ่มทั้งหมดสิบกว่ากลุ่มๆละ 6 คน แล้วแบบมันจะมีสองกลุ่มที่แบบ เป็นต่างชาติล้วน แต่ด้วยความน่ารักของอาจารย์ อาจารย์บอกว่า "ปาร์คคุง เห็นว่าพูดญี่ปุ่นพอได้แล้วเนอะ อาจารย์เลยจัดกลุ่มให้อยู่กับคนญี่ปุ่นเลยเนอะ สู้ๆนะจ๊ะเบ่บี๋ ^3^" ตายสิคับเจองี้!!!!! โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ตอนนี้ผมก็พยายามแย่งเขาพูดให้ทันอยู่ ก็ต้องสู้กันต่อปายยย 55555
นอกจากนี้ การที่ผมได้มาใช้อยู่ที่นี่ ทำให้ผมรู้สึกว่ามีตารางนัดเยอะเหลือเกิน ทั้งตารางทำไบท์ ตารางการเข้าบรรยายกิจกรรมต่างๆ หรือแม้แต่ตารางเที่ยว ดังนั้นการมาญี่ปุ่นทำให้ผมต้องเริ่มมีสมุดโน้ตติดตัวเป็นของตนเอง เพื่อจะได้ไม่ลืมวันนัดสำคัญๆ
และในเล่มนี้เองผมก็จดตารางเรียนของผมไว้ด้วย กันลืมว่าเรียนอะไรบ้างกี่โมง แต่เรียนที่ตึกไหน
นอกจากเรื่องการเรียนแล้ว ก็มีเรื่องอื่นที่ต้องทำด้วย เช่นการย้ายหอ คือตอนเราเรียนภาษาญี่ปุ่นเนี่ย เราจะสามารถอยู่หอในของมหาลัยได้ แต่ถ้าจบหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นแล้ว ต้องย้ายออกมาอยู่ข้างนอก ดังนั้นผมก็ต้องเข้าไปหานายหน้าขายห้อง แล้วคุยตกลงทำสัญญากัน หลังจากนั้นก้ย้ายออก เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเราย้ายออกก็ต้องไปดำเนินการที่เขตเรื่องการย้ายเข้าที่ใหม่ย้ายออกที่เก่า แล้วค่อยขนของ ช่วงนั้นผมจำได้ว่ายุ่งพอสมควร เทียวไปเทียวมา แต่ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ คือตอนอยู่ไทยนี่แทบไม่ค่อยไปทำอะไรเกี่ยวกับราชการเลย ไปสำนักเขตน้อยมากๆ แต่พอมาญี่ปุ่นเราต้องทำเรื่องเองทั้งหมด ไปเขตบ่อยมากๆ ทำให้พอรู้ขั้นตอน แล้วพอหลังๆเลยสามารถพาน้องๆ ที่เพิ่งเข้าใหม่มาได้ ผมว่าส่วนนี้ด้วยแหละทำให้ผมพอได้ภาษาอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ได้คุยผิดคุยถูกแต่ก็ได้คุย คิดว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีนะ หน้าหนาๆเข้าไว้ ! 55555
ว่าด้วยเรื่องหอใหม่นี่ก็โอเคเลย เสียรายเดือนเดือนละ 33000 เยน ค่าไฟกับค่าแก็สเสียแยก ค่าน้ำฟรี ถ้ารวมๆ ก็ประมาณไม่เกิน 40000 เยนนะ ก็ใช้เงินจากทำไบท์นี่แหละ ออกค่าพวกนี้ไป ตอนนี้การใช้ชีวิตอยู่หอนอกของผมเริ่มอยู่ตัวละ ตอนแรกนี่ไปร้านไดโซเป็นว่าเล่น ซื้อของเข้าหอแบบถล่มทลายมากกก เห็นไรก็รู้สึกจำเป็นหมด 555 คือตอนซื้อที่แคชเชียร์ พนักงานเขาจะนับจำนวนสินค้าไปเรื่อยๆ ของผมเคยนับถึงยี่สิบกว่า ผมนี่เขินคนที่ต่อท้ายเลย แบบมองเหยียดๆว่า "จะซื้อไรเยอะแยะวะ" ฮ่าๆๆๆๆ
ล็อคนี้ล็อคการ์ตูน จำได้เลยตอนหน้าร้อน เคยอ่านเสร็จแล้วออกไปซื้อ ทำซ้ำๆ กันวันนึงประมาณสามสี่รอบ (ถามว่าเรื่องเรียนทุ่มเทงี้ไหมมม ฮ่าๆ) อ่านแล้วติดจิงงงง เหงื่อนี่แบบไหลเป็นน้ำเลย ตอนนี้พ้อยสะสมน่าจะพุ่งทะลุละ แต่ที่กลัวคือการ์ตูนต่อไปจะมีที่เก็บไหมนี่สิ 55555
เป็นคนที่พอเห็นแก้วสวยๆ แล้วชอบซื้อเก็บไว้ ช่วงนี้อยู่ในช่วงฝืนใจอยู่ เดี๋ยวงบหมด T^T
นี่เลย ล็อคเครื่องครัว ซีอิ๊วขาว น้ำตาล โชยุเนื้อย่าง น้ำจิ้มแจ่ว น้ำจิ้ม ทุกอย่างรวมอยู่ในนี้หมด อัดแน่นพร้อมปรุง!!
ส่วนพวกเนื้อ หรือไอติมก็เก็บไว้ในตู้เย็น ตู้นี้ซื้อมา 19000 เยน เป็นมือสอง แต่สะอาดมาก ไม่มีร่องรอยการบุบสลายเลย
ตามด้วยล็อคสุขภัณฑ์ ผงซักฟอก ทิชชู่แห้งหรือเปียก ครีมทาหน้า จะสแปร์ไว้ตรงนี้หมด
ของโดยรวมๆ
พวกฟิกเกอร์นี่โชคดี อาจารย์ที่สอนภาษาบอกว่ากำลังย้ายบ้าน เลยไม่เอาฟิกเกอร์วันพีชแล้ว ให้ฟรีเอาไหม เรานี่ตอบรับแทบไม่ทัน มาเป็นกล่องใหญ่ๆ เลยตอนนั้น ยังซึ้งไม่หายเลย >___________<
และนี่ก็คือบัตรของผมคับ เกือบเอาไปตั้งสำรับไพ่ยูกิได้ละ ฮ่าๆๆๆ บางคนนี้ต้องถึงกับเอากระเป๋าตังใบที่สองสำหรับเก็บบัตรเลยนะ คือเรื่องของเรื่องคือ พนักงานชอบถามว่ามีบัตรไหม ถ้าไม่มีทำได้นะ ฟรี ย้ำ! ฟรี!! ก็ทำสิคับ รออะไร !!! ฮ่าๆๆๆ แต่ว่าที่ใช้จริงๆ มีไม่กี่อย่างหรอก ของผมที่ใช้บ่อยๆ คือบัตร Tsutaya ไว้สะสมแต้มซื้อการ์ตูน กับ Waon ไว้สะสมแต้มตอนซื้อของที่อิออน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนถ้ามาใช้ชีวิตอยู่ที๋ญี่ปุ่นก็ต้องเริ่มมีบัตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน! ฟันธง !!! 55555
อย่างสุดท้ายที่ภูมิใจนำเสนอคือ!!! กระเทียมถุง!!! คือเยอะมากกกก และถูกมากกกก เหมาะสำหรับคนรักกระเทียมเลย อันนี้ซื้อมาสามร้อยกว่าเยน ยังกินไม่หมดเลย ผ่านมาจะเดือนนึงละ แนะนำสำหรับคนที่กำลังประหยัดตัง ต้องถูกใจแน่นอนนนนนนนนน
ก็หมดไปแล้วนะคับ กับชีวิตการเรียนแล้วความเป็นอยู่ของผมช่วงแรก ผมเชื่อว่าเราทุกคนก็ต้องเผชิญกับการปรับตัวอ่าเนอะ ทั้งการพบและการลาจาก เพื่อนบางคนมาเพื่อแลกเปลี่ยนภาษาแล้วก็กลับประเทศ(แบบคนเกาหลีที่คุยๆกันอยู่ทุกวันนี่แหละ เดี่ยวเขาก็กลับละ T^T) ถามว่าโหวงๆ ไหม โหวงมากกกกกกกกก แบบคนเคยเจอกันทุกวันอ่าเนอะ แต่ก็ต้องสู้ต่อไป!!!!!! (เหมือนปลอบใจตัวเองเลย ฮ่าๆๆ) ตอนนี้ผมก็ยึดหลักที่ว่า "อยู่กับปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับมัน และทำมันให้มีค่าที่สุดไม่ว่าจะเรื่องอะไร"ผมเชื่อว่าถ้าทำแบบนี้ต้องผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้แน่นอน
กระทู้นี้ผมก็จบลงเท่านี้นะคับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยเน้อ >.,< ปล. วันนี้เพิ่งไปอ่านหนึงสือกับคนเกาหลีมา(เขิน 555) เลยถือโอกาสไปถ่ายรูปมหาลัยวันนี้เองแหละ ~~ บ๊ายบาย เจอกันกระทู้หน้าเน้อ ขอบคุณที่ติดตามคับ