สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
- คิดง่ายๆ เดิมที่รถยนต์มีแค่ 4 ล้อ หลังจากการพัฒนา เลยเพิ่มล้อเรื่อยๆ เพื่อกระจายแรง และช่วยสำรองด้วยหากยางเกิดเสียหายระเบิดเพียงบางเส้น ก็ยังพอประคองวิ่งไปได้ ประกอบกำลังเครื่องยนต์มีกำลังฉุดลากมากขึ้น จึงยิ่งออกแบบเพิ่มล้อได้
เมื่อไม่มีโหลดบรรทุก เลยไม่มีความจำเป็นต้องเอาล้อลงถ่ายแรงทั้งหมด
นอกจากไม่เปลืองดอกยางแล้ว วิ่งได้คล่องตัวขึ้น
เห็นจขกท. มีคำถามเพิ่ม เลยช่วยขยายความ
- รถยนต์แต่ไหนแต่ไรมา (รวมรถบัส รถบรรทุกด้วย) ระบบส่งกำลังจากเครื่องไปเพลากลางใช้ล้อหลังเท่านั้น ล้อหน้าแค่คันโยกบังคับทิศทาง
รถยนต์ปกติ ที่เห็นเครื่องยนต์อยู่ด้านหน้า แต่ถ้ามุดไปใต้ท้อง จะเห็นเพลาส่งกำลัง "เพลาขับ" หรือ "เพลากลาง" ส่งจากเครื่องผ่านกระปุกเกียร์ ไปเฟืองท้ายขับเพลาล้อหลัง
เฟืองท้ายขับเพลาล้อหลัง เฟืองนี้สำคัญ ฝรั่งตั้งชื่อเรียกเฟือง differential ช่วยให้เพลาขับ และ 2 ดุมล้อหลัง หมุนแยกโยกเป็นอิสระ โดยที่ยังรับกำลังส่งจากเครื่องยนต์ได้ไม่ขาดตอน
และ 2 ดุมล้อ ก็แยกจากกันด้วย ต่างจากรถโบราณ รถของเล่น ที่เพลาเป็นแกนเดียวกัน เมื่อถนนไม่สม่ำเสมอ และโค้ง เกิดแรงต้านจนเพลาหัก หรือล้อหลุดได้ง่าย เกิดสะบัดและคว่ำได้ง่าย
ล้อหน้ามีแค่นี้
จะมีแต่รถที่ออกแบบพิเศษ ที่ใช้ในที่ทุรกันดาร หรือรถใช้ในกองทัพ ที่ต่อมาออกแบบให้ล้อหน้าขับด้วย
(แถมบางประเทศ ในบางฤดู ยางรถต้องหุ้มโซ่ด้วย เพราะลื่น ในประเทศที่โคลนเยอะ หรือหิมะหนา)
ที่ต่อมาเป็นที่นิยม เลยกระบะ 4 ล้อก็มีด้วย ที่เห็นคำว่า 4WD: 4-wheel drive หรือ 4x4 คือ 4 ล้อ ขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ
แนวคิดคือ ถ้าล้อหลังติดหล่ม เกิดการลื่นอยู่ในโคลน แรงส่งที่ไปล้อหน้าที่มีแรงเสียดทานกับพื้นสูงกว่า ก็จะช่วยฉุดรถขึ้นได้
แต่ในสภาวะปกติก็คล้ายกรณีมีล้อเยอะ คือบางทีก็เป็นภาระต่อเครื่อง เมื่อใช้วิ่งบนถนนเรียบ
ภายหลัง ก็ออกแบบเป็น option คันบังคับลือกในรถด้วย ว่าจะขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อ หรือ 2 ล้อ
หลักการกว้างๆ ก็คือมีชุดเฟือง differential ชุดหน้าอีก
เมื่อไม่มีโหลดบรรทุก เลยไม่มีความจำเป็นต้องเอาล้อลงถ่ายแรงทั้งหมด
นอกจากไม่เปลืองดอกยางแล้ว วิ่งได้คล่องตัวขึ้น
เห็นจขกท. มีคำถามเพิ่ม เลยช่วยขยายความ
- รถยนต์แต่ไหนแต่ไรมา (รวมรถบัส รถบรรทุกด้วย) ระบบส่งกำลังจากเครื่องไปเพลากลางใช้ล้อหลังเท่านั้น ล้อหน้าแค่คันโยกบังคับทิศทาง
รถยนต์ปกติ ที่เห็นเครื่องยนต์อยู่ด้านหน้า แต่ถ้ามุดไปใต้ท้อง จะเห็นเพลาส่งกำลัง "เพลาขับ" หรือ "เพลากลาง" ส่งจากเครื่องผ่านกระปุกเกียร์ ไปเฟืองท้ายขับเพลาล้อหลัง
เฟืองท้ายขับเพลาล้อหลัง เฟืองนี้สำคัญ ฝรั่งตั้งชื่อเรียกเฟือง differential ช่วยให้เพลาขับ และ 2 ดุมล้อหลัง หมุนแยกโยกเป็นอิสระ โดยที่ยังรับกำลังส่งจากเครื่องยนต์ได้ไม่ขาดตอน
และ 2 ดุมล้อ ก็แยกจากกันด้วย ต่างจากรถโบราณ รถของเล่น ที่เพลาเป็นแกนเดียวกัน เมื่อถนนไม่สม่ำเสมอ และโค้ง เกิดแรงต้านจนเพลาหัก หรือล้อหลุดได้ง่าย เกิดสะบัดและคว่ำได้ง่าย
ล้อหน้ามีแค่นี้
จะมีแต่รถที่ออกแบบพิเศษ ที่ใช้ในที่ทุรกันดาร หรือรถใช้ในกองทัพ ที่ต่อมาออกแบบให้ล้อหน้าขับด้วย
(แถมบางประเทศ ในบางฤดู ยางรถต้องหุ้มโซ่ด้วย เพราะลื่น ในประเทศที่โคลนเยอะ หรือหิมะหนา)
ที่ต่อมาเป็นที่นิยม เลยกระบะ 4 ล้อก็มีด้วย ที่เห็นคำว่า 4WD: 4-wheel drive หรือ 4x4 คือ 4 ล้อ ขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ
แนวคิดคือ ถ้าล้อหลังติดหล่ม เกิดการลื่นอยู่ในโคลน แรงส่งที่ไปล้อหน้าที่มีแรงเสียดทานกับพื้นสูงกว่า ก็จะช่วยฉุดรถขึ้นได้
แต่ในสภาวะปกติก็คล้ายกรณีมีล้อเยอะ คือบางทีก็เป็นภาระต่อเครื่อง เมื่อใช้วิ่งบนถนนเรียบ
ภายหลัง ก็ออกแบบเป็น option คันบังคับลือกในรถด้วย ว่าจะขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อ หรือ 2 ล้อ
หลักการกว้างๆ ก็คือมีชุดเฟือง differential ชุดหน้าอีก
แสดงความคิดเห็น
รถบรรทุกใหญ่ๆ รถพ่วง 18 ล้อ ทำไมบางครั้งถึงเห็น "ยกล้อ" คู่นึงวิ่งครับ ?
เคยเห็นเวลาขับรถไกลๆ บางคันก็เอาล้อลงสัมผัสผิวถนนครบทุกล้อ แต่บางคันกลับยกล้อบางคู่ขึ้น
พอมันไม่สัมผัสถนน ล้อมันก็ไม่หมุน ลอยอยู่นิ่งๆ แบบนั้น มีประโยชน์อย่างไรเหรอครับ ?
ขอแท็กหว้ากอนะครับ ผมว่ามันต้องมีเหตุผลเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์