สวัสดีค่ะ *-*
จ๋าก็เป็นอีกคนนึงที่ชอบดูรีวิวและใช้เครื่องสำอางตามรีวิวหรือเสียงโหวต จ๋าก็เป็นคนไทยที่มาทำงานที่ญี่ปุ่นซึ่งที่ญี่ปุ่นจะมีเว็บไซต์เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ดังมากๆ คนที่คุ้นเคยกับญี่ปุ่นน่าจะรู้จักกันดี 1ในเว็บไซต์เกี่ยวกับเครื่องสำอางและความงามที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เปิดมานานกว่า 18ปีที่มีรีวิวและเสียงโหวตจากคนใช้ในญี่ปุ่นนับแสนต่อปี นั่นก็คือ Cosme นั่นเอง เอง เอง (ทำเสียงก้อง) ซึ่งแต่ละปีก็จะมีการเปิดโหวตเครื่องสำอางในสาขาและประเภทต่างๆ โดยที่จ๋าเลือกมาวันนี้เป็นสกินแคร์ที่ใช้แล้วชอบ ราคาจับต้องได้
https://www.img.in.th/image/fsk7
*รูปไม่ขึ้นจึงขอลงเป็นเว็ปฝากรูปแทนนะคะ
1.รางวัลประเภทชีทมาร์ค ปี 2016
(Keana nadeshiko) by Ishizawa Lab
“นุ่มราวกับข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จ”
ราคา – 650 เยน / 10 แผ่น
มาร์คที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดเดือนพ.ย. ปี2015 แต่สามารถเข้าชาร์ตอันดับ 1 ในเวลาเพียงไม่นานในสาขารางวัลสินค้าหน้าใหม่ปี 2016 ส่วนประกอบทำจากสารสกัดจากข้าวญี่ปุ่นมากกว่า 4 ชนิดและวิตามิน E เซร่มยังเป็นไลฟ์เซรั่มหรือชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน คุณสมบัติที่เขาโฆษณาไว้คือ ช่วยลดรูขุมขน ขนาดชื่อสินค้าแปลตามตัวยังแบบว่า เด็กน้อยไร้รูขุมขน ???? ตั้งได้ตรงตัวมากกก นอกจากช่วยเรื่องรูขุมขนแล้วยังเด่นเรื่องความชุ่มชื้นและปรับสภาพผิวให้ผิวแข็งแรงด้วยวิตามิน ผิวเด้งนุ่มดึ๋งดั๋ง (หน้าหรือหมูเด้ง 55)รวมถึงรักษาผิวหยาบกร้าน และตัวเด่นอีกเรื่องคือ คุณภาพของมาร์คที่เขาเลือกใช้มาร์คคุณภาพ มีความหนานุ่มมากกว่ามาร์คทั่วไปซึ่งตอนสัมผัสครั้งแรกก็รู้สึกได้เลยค่ะ ว่าตัวมาร์คมันนุ่มจริงๆ ถ้าเทียบกับที่เคยใช้มา
ความรู้สึกหลังใช้
ตอนนี้ใช้มาได้ประมาณ 5 ครั้งแล้วค่ะ วิธีการใช้คือหลังล้างหน้าเราก็มามาร์คหน้าตามปกติ ตามที่เขาบอกก็ทิ้งไว้แค่ 5 นาทีก็ดึงออกได้แล้วค่ะ พวกเซร่มที่เหลืออยู่บนหน้าก็ให้ใช้นิ้วนวดเบาๆซ้ำซักพัก เขาบอกว่าจะเสริมการทำงานของเซรั่มให้ดีขึ้นค่ะ ถ้าเป็นจ๋าจะนวดๆซักพักแล้วล้างหน้านิดหน่อยด้วยน้ำเปล่า เช็ดให้แห้งแล้วลงครีมบำรุงตัวอื่นต่อค่ะ เรื่องรูขุมขนก็รู้สึกว่าช่วยได้นะ อาจจะยังไม่เห็นผลชัดเพราะเพิ่งใช้แต่รู้สึกผิวนุ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ ราคาก็ไม่แพงด้วยถ้าเทียบเงินไทยก็ประมาณ 200บาท ถ้าใครไปญี่ปุ่นละเจอก็อย่าลืมซื้อมาใช้ได้นะคะ มีขายตามร้านเครื่องสำอางทั่วไป
ข้อเสีย
รู้สึกตัวเซรั่มค่อนข้างหนักหน้า เหนียวเหนอะหนะ หลังจากใช้แล้วเราจะล้างน้ำเปล่าอีกรอบค่ะแล้วค่อยลงบำรุงตัวอื่นต่อ ให้ลงต่อเลยไม่ไหวจริงๆ
https://www.img.in.th/image/fskC
*รูปไม่ขึ้นจึงขอลงเป็นเว็ปฝากรูปแทนนะคะ
2. ลิปมัน DHC
“ทาทีเดียวชุ่มชื่นตลอดวัน”
ราคา – 700เยน
ลิปมันตัวนี้มีส่วนประกอบหลักคือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ สารสกัดจากโสมและว่านหางจระเข้ ได้รับรางวัล Best Cosme ประเภทลิปมันตั้งแต่ปี 2005-2007 4ปีซ้อนและเข้าHall of Frame ในปี2008 คำโปรยคือ ทาแค่ทีเดียวชุ่มชื่นไปทั้งวัน เราทาตัวนี้แค่ตอนเช้าก่อนทาลิปสติก ทั้งวันแทบไม่ต้องเติมลิปมันเพิ่มเลย ตัวนี้ให้ความชุ่มชื้นดีมากๆ รวมถึงไร้สี ไร้กลิ่น เหมาะกับคนแพ้ง่าย
ความรู้สึกหลังใช้
ก่อนเราใช้ เรามีลิปมันอยู่แล้วแต่พอมาเข้าช่วงหน้าหนาว ลิปมันที่มีเริ่มเอาไม่อยู่ ปากแห้ง แตกเป็นขุยหนักมาก ทาลิปสติกอะไรก็ไม่สวย ลิปกรอสยังทาไม่ได้เลยหาซื้อลิปตัวใหม่ก็มาเจอตัวนี้ละ บอกเลยว่าชอบมากๆ ปากแห้งคือหายไปเลย ทุกวันนี้ไม่กังวลเรื่องนี้อีก ราคาก็ถือว่าโอเคไม่แพงมาก
ข้อเสีย
เข้าใจว่าไม่ใส่กลิ่นแต่ไม่ค่อยชอบกลิ่นตัวนี้เลย กลิ่นมันออกน้ำมันมะกอกมาก เรารู้สึกหืนๆ เหมือนเอาน้ำมันทาปาก แต่กับใครที่โอเคก็ไม่มีปัญหาค่ะ
https://www.img.in.th/image/fskN
3. Hatomugi Skin Conditioner Gel by Naturie
ราคา – 900เยน / 180กรัม
เจลแบบ All in one สารสกัดจากลูกเดือย ได้รับรางวัลที่1ในสาขา Essence ครึ่งปีแรกของ2016 ขึ้นชื่อในเรื่องของการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ไม่เหนอะหนะหน้า บำรุงผิวให้แข็งแรงเนียนนุ่มน่าสัมผัส เหมาะกับคนที่ผิวหน้าหยาบกร้านและแห้งสาก นอกจากจะใช้ทาหน้าแล้วด้วยปริมาณที่เยอะจึงสามารถเอามาทำเป็นที่มาร์คหน้าได้อีกด้วยรวมถึงเอามาใช้เป็นบอดี้โลชั่นก็ยังได้ และยังไร้สี ไร้กลิ่น ไร้แอลกอฮอล ไม่ต้องกังวลเรื่องแพ้หรือสิวขึ้น
ความรู้สึกหลังใช้
ใช้แล้วรู้สึกหน้านุ่มขึ้น จับหน้าแล้วเด้งๆดี ตอนแรกฮาดะลาโบะกำลังจะหมดเลยหาครีมที่เติมน้ำให้ผิว เนื่องจากเราเป็นคนหน้ามันแต่ผิวขาดน้ำ ช่วงนอกทีโซนจะแห้งเป็นขุยง่าย ตัวนี้ตอบโจทย์เรื่องนี้ให้กับเราได้ดีเลย แถมปริมาณและราคาคุ้มค่าสุดๆ น่าจะใช้ได้เป็นปี ชอบตรงที่ซึมลงหน้าไว ตัวเจลดูหนักนะแต่พอทาแล้วเนื้อเบากว่าที่เห็น ทาแล้วซึมเหมือนน้ำเลยอะ ลงตัวอื่นต่อได้สบายๆแบบไม่หงุดหงิด
ข้อเสีย
-ยังไม่เจอ นอกจากให้มาเยอะจนกลัวว่าจะเบื่อก่อนใช้หมด 555
https://www.img.in.th/image/fskS
*รูปไม่ขึ้นจึงขอใช้เว็ปฝากรูปแทนนะคะ
4.Intensive Moisture Cream – Curel
ราคา – 2300-2400 เยน / 40กรัม
เวชสำอางชื่อดังจากญี่ปุ่น ออกมากี่ตัวๆก็ใช้ดี 1 ในตัวที่ขายดีที่สุดคือครีมตัวนี้ เป็นครีมสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหยาบ ผิวขาดน้ำอย่างรุนแรง หลังจากได้รางวัล Best cosme ปี 2015 ในประเภท face cream ก็ได้รางวัลซ้ำอีกและเข้า Hall of frame ของ cosme ไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งๆที่วางขายเพียงแค่ไม่กี่ปี ตัวครีมจะทำหน้าที่เหมือนกับเซราไมด์หรือชั้นไขมันตามธรรมชาติที่ช่วยเคลือบผิวเพื่อปกป้องสิ่งสกปรกและมลภาวะต่างๆจากภายนอก รวมถึงช่วยเก็บกักความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหน้าเรายังเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้แม้ในสภาพอากาศที่เลวร้าย
ความรู้สึกหลังใช้
ตัวนี้เป็นตัวที่จ๋าชอบมาก ตอนที่ไปญี่ปุ่นใหม่ๆ ด้วยความที่เป็นประเทศหนาว เราจึงมีปัญหาผิวแห้งแตกแบบหน้ายับเยินมาก ทั้งแก้มทั้งจมูกเป็นขุยอยู่เป็นเดือน ไอ้เราก็บ่นๆกับพี่ที่ร่วมงานแล้วก็ถามแบบว่ามีสกินแคร์ตัวไหนดีๆแนะนำไหม บังเอิญพี่ร่วมงานคนนึงได้ยินที่เราบ่น (หูสวรรค์ชัดๆ)ก็แนะนำตัวนี้มาให้ เค้าบอกแพงหน่อยแต่คุ้มแน่นอน เราก็ด้วยความที่ไม่ไหวละ ถ้าปล่อยไว้อีกซักพักกลัวหน้าจะพัง วันต่อมารีบไปหาซื้อเลย คืนนั้นก็ลองใช้ ใช้แค่ตัวนี้ตัวเดียวด้วย อยากลอง แล้วพบว่า โอ้ แม่เจ้ามันสุดยอดมาก ตื่นเช้ามาอีกวัน หน้าที่เคยแห้ง แตกเป็นขุย ดีขึ้นประมาณ 50เปอเซน คือดีขึ้นจนเห็นได้ชัดแม้มองด้วยตาเนื้อ 555 ตัวนี้เก็บเข้ากรุลูกรักเป็นที่เรียบร้อย ขาดไม่ได้ สำหรับคนที่ผิวแตกแห้ง ขาดน้ำจนแบบไม่ไหวแล้ว ต้องตัวนี้เลย
ข้อเสีย
-ราคาค่อนข้างแพงนะ ถ้าเทียบกับปริมาณ คนญี่ปุ่นด้วยกันยังบ่นๆเลยว่าแพง บางคนเก็บไว้ใช้เฉพาะหน้าหนาวก็มี 555
จบกันไปแล้วนะคะกับรีวิวสกินแคร์จากญี่ปุ่นที่จ๋าคิดว่าราคาถูกแต่ดี ดีต่อหน้าและตังในกระเป๋า แฮะๆ ส่วนใหญ่ก็เห็นมีวางขายในไทยแล้ว ใครที่อยากลองก็ไม่ต้องลำบากไปถึงญี่ปุ่นก็ไปหาซื้อตามร้านเครื่องสำอางที่นำเข้าจากญี่ปุ่นหรือบางแบรนด์มาเปิดตลาดในไทยแล้วก็มี ขอให้ผิวสวยจงสถิตอยู่กับคุณทุกคนนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
ส่วนอันนี้เป็นคลิปรีวิวนะคะ เราลองทำเป็นคลิปรีวิวในยูทูปดู คลิปแรกของเราเลย อาจจะยังไม่ค่อยดี ติชมกันได้นะคะ ^^-
https://www.youtube.com/watch?v=Rr2U_9mFUts
[CR] ดีต่อหน้าและเป๋าตัง รีวิวสกินแคร์อันดับ1จากcosmeญี่ปุ่นแค่หลักร้อยแต่คุ้ม! มันดีจริงใช่ไหม?
จ๋าก็เป็นอีกคนนึงที่ชอบดูรีวิวและใช้เครื่องสำอางตามรีวิวหรือเสียงโหวต จ๋าก็เป็นคนไทยที่มาทำงานที่ญี่ปุ่นซึ่งที่ญี่ปุ่นจะมีเว็บไซต์เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ดังมากๆ คนที่คุ้นเคยกับญี่ปุ่นน่าจะรู้จักกันดี 1ในเว็บไซต์เกี่ยวกับเครื่องสำอางและความงามที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เปิดมานานกว่า 18ปีที่มีรีวิวและเสียงโหวตจากคนใช้ในญี่ปุ่นนับแสนต่อปี นั่นก็คือ Cosme นั่นเอง เอง เอง (ทำเสียงก้อง) ซึ่งแต่ละปีก็จะมีการเปิดโหวตเครื่องสำอางในสาขาและประเภทต่างๆ โดยที่จ๋าเลือกมาวันนี้เป็นสกินแคร์ที่ใช้แล้วชอบ ราคาจับต้องได้
https://www.img.in.th/image/fsk7
*รูปไม่ขึ้นจึงขอลงเป็นเว็ปฝากรูปแทนนะคะ
1.รางวัลประเภทชีทมาร์ค ปี 2016
(Keana nadeshiko) by Ishizawa Lab
“นุ่มราวกับข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จ”
ราคา – 650 เยน / 10 แผ่น
มาร์คที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดเดือนพ.ย. ปี2015 แต่สามารถเข้าชาร์ตอันดับ 1 ในเวลาเพียงไม่นานในสาขารางวัลสินค้าหน้าใหม่ปี 2016 ส่วนประกอบทำจากสารสกัดจากข้าวญี่ปุ่นมากกว่า 4 ชนิดและวิตามิน E เซร่มยังเป็นไลฟ์เซรั่มหรือชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน คุณสมบัติที่เขาโฆษณาไว้คือ ช่วยลดรูขุมขน ขนาดชื่อสินค้าแปลตามตัวยังแบบว่า เด็กน้อยไร้รูขุมขน ???? ตั้งได้ตรงตัวมากกก นอกจากช่วยเรื่องรูขุมขนแล้วยังเด่นเรื่องความชุ่มชื้นและปรับสภาพผิวให้ผิวแข็งแรงด้วยวิตามิน ผิวเด้งนุ่มดึ๋งดั๋ง (หน้าหรือหมูเด้ง 55)รวมถึงรักษาผิวหยาบกร้าน และตัวเด่นอีกเรื่องคือ คุณภาพของมาร์คที่เขาเลือกใช้มาร์คคุณภาพ มีความหนานุ่มมากกว่ามาร์คทั่วไปซึ่งตอนสัมผัสครั้งแรกก็รู้สึกได้เลยค่ะ ว่าตัวมาร์คมันนุ่มจริงๆ ถ้าเทียบกับที่เคยใช้มา
ความรู้สึกหลังใช้
ตอนนี้ใช้มาได้ประมาณ 5 ครั้งแล้วค่ะ วิธีการใช้คือหลังล้างหน้าเราก็มามาร์คหน้าตามปกติ ตามที่เขาบอกก็ทิ้งไว้แค่ 5 นาทีก็ดึงออกได้แล้วค่ะ พวกเซร่มที่เหลืออยู่บนหน้าก็ให้ใช้นิ้วนวดเบาๆซ้ำซักพัก เขาบอกว่าจะเสริมการทำงานของเซรั่มให้ดีขึ้นค่ะ ถ้าเป็นจ๋าจะนวดๆซักพักแล้วล้างหน้านิดหน่อยด้วยน้ำเปล่า เช็ดให้แห้งแล้วลงครีมบำรุงตัวอื่นต่อค่ะ เรื่องรูขุมขนก็รู้สึกว่าช่วยได้นะ อาจจะยังไม่เห็นผลชัดเพราะเพิ่งใช้แต่รู้สึกผิวนุ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ ราคาก็ไม่แพงด้วยถ้าเทียบเงินไทยก็ประมาณ 200บาท ถ้าใครไปญี่ปุ่นละเจอก็อย่าลืมซื้อมาใช้ได้นะคะ มีขายตามร้านเครื่องสำอางทั่วไป
ข้อเสีย
รู้สึกตัวเซรั่มค่อนข้างหนักหน้า เหนียวเหนอะหนะ หลังจากใช้แล้วเราจะล้างน้ำเปล่าอีกรอบค่ะแล้วค่อยลงบำรุงตัวอื่นต่อ ให้ลงต่อเลยไม่ไหวจริงๆ
https://www.img.in.th/image/fskC
*รูปไม่ขึ้นจึงขอลงเป็นเว็ปฝากรูปแทนนะคะ
2. ลิปมัน DHC
“ทาทีเดียวชุ่มชื่นตลอดวัน”
ราคา – 700เยน
ลิปมันตัวนี้มีส่วนประกอบหลักคือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ สารสกัดจากโสมและว่านหางจระเข้ ได้รับรางวัล Best Cosme ประเภทลิปมันตั้งแต่ปี 2005-2007 4ปีซ้อนและเข้าHall of Frame ในปี2008 คำโปรยคือ ทาแค่ทีเดียวชุ่มชื่นไปทั้งวัน เราทาตัวนี้แค่ตอนเช้าก่อนทาลิปสติก ทั้งวันแทบไม่ต้องเติมลิปมันเพิ่มเลย ตัวนี้ให้ความชุ่มชื้นดีมากๆ รวมถึงไร้สี ไร้กลิ่น เหมาะกับคนแพ้ง่าย
ความรู้สึกหลังใช้
ก่อนเราใช้ เรามีลิปมันอยู่แล้วแต่พอมาเข้าช่วงหน้าหนาว ลิปมันที่มีเริ่มเอาไม่อยู่ ปากแห้ง แตกเป็นขุยหนักมาก ทาลิปสติกอะไรก็ไม่สวย ลิปกรอสยังทาไม่ได้เลยหาซื้อลิปตัวใหม่ก็มาเจอตัวนี้ละ บอกเลยว่าชอบมากๆ ปากแห้งคือหายไปเลย ทุกวันนี้ไม่กังวลเรื่องนี้อีก ราคาก็ถือว่าโอเคไม่แพงมาก
ข้อเสีย
เข้าใจว่าไม่ใส่กลิ่นแต่ไม่ค่อยชอบกลิ่นตัวนี้เลย กลิ่นมันออกน้ำมันมะกอกมาก เรารู้สึกหืนๆ เหมือนเอาน้ำมันทาปาก แต่กับใครที่โอเคก็ไม่มีปัญหาค่ะ
https://www.img.in.th/image/fskN
3. Hatomugi Skin Conditioner Gel by Naturie
ราคา – 900เยน / 180กรัม
เจลแบบ All in one สารสกัดจากลูกเดือย ได้รับรางวัลที่1ในสาขา Essence ครึ่งปีแรกของ2016 ขึ้นชื่อในเรื่องของการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ไม่เหนอะหนะหน้า บำรุงผิวให้แข็งแรงเนียนนุ่มน่าสัมผัส เหมาะกับคนที่ผิวหน้าหยาบกร้านและแห้งสาก นอกจากจะใช้ทาหน้าแล้วด้วยปริมาณที่เยอะจึงสามารถเอามาทำเป็นที่มาร์คหน้าได้อีกด้วยรวมถึงเอามาใช้เป็นบอดี้โลชั่นก็ยังได้ และยังไร้สี ไร้กลิ่น ไร้แอลกอฮอล ไม่ต้องกังวลเรื่องแพ้หรือสิวขึ้น
ความรู้สึกหลังใช้
ใช้แล้วรู้สึกหน้านุ่มขึ้น จับหน้าแล้วเด้งๆดี ตอนแรกฮาดะลาโบะกำลังจะหมดเลยหาครีมที่เติมน้ำให้ผิว เนื่องจากเราเป็นคนหน้ามันแต่ผิวขาดน้ำ ช่วงนอกทีโซนจะแห้งเป็นขุยง่าย ตัวนี้ตอบโจทย์เรื่องนี้ให้กับเราได้ดีเลย แถมปริมาณและราคาคุ้มค่าสุดๆ น่าจะใช้ได้เป็นปี ชอบตรงที่ซึมลงหน้าไว ตัวเจลดูหนักนะแต่พอทาแล้วเนื้อเบากว่าที่เห็น ทาแล้วซึมเหมือนน้ำเลยอะ ลงตัวอื่นต่อได้สบายๆแบบไม่หงุดหงิด
ข้อเสีย
-ยังไม่เจอ นอกจากให้มาเยอะจนกลัวว่าจะเบื่อก่อนใช้หมด 555
https://www.img.in.th/image/fskS
*รูปไม่ขึ้นจึงขอใช้เว็ปฝากรูปแทนนะคะ
4.Intensive Moisture Cream – Curel
ราคา – 2300-2400 เยน / 40กรัม
เวชสำอางชื่อดังจากญี่ปุ่น ออกมากี่ตัวๆก็ใช้ดี 1 ในตัวที่ขายดีที่สุดคือครีมตัวนี้ เป็นครีมสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวหยาบ ผิวขาดน้ำอย่างรุนแรง หลังจากได้รางวัล Best cosme ปี 2015 ในประเภท face cream ก็ได้รางวัลซ้ำอีกและเข้า Hall of frame ของ cosme ไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งๆที่วางขายเพียงแค่ไม่กี่ปี ตัวครีมจะทำหน้าที่เหมือนกับเซราไมด์หรือชั้นไขมันตามธรรมชาติที่ช่วยเคลือบผิวเพื่อปกป้องสิ่งสกปรกและมลภาวะต่างๆจากภายนอก รวมถึงช่วยเก็บกักความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหน้าเรายังเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้แม้ในสภาพอากาศที่เลวร้าย
ความรู้สึกหลังใช้
ตัวนี้เป็นตัวที่จ๋าชอบมาก ตอนที่ไปญี่ปุ่นใหม่ๆ ด้วยความที่เป็นประเทศหนาว เราจึงมีปัญหาผิวแห้งแตกแบบหน้ายับเยินมาก ทั้งแก้มทั้งจมูกเป็นขุยอยู่เป็นเดือน ไอ้เราก็บ่นๆกับพี่ที่ร่วมงานแล้วก็ถามแบบว่ามีสกินแคร์ตัวไหนดีๆแนะนำไหม บังเอิญพี่ร่วมงานคนนึงได้ยินที่เราบ่น (หูสวรรค์ชัดๆ)ก็แนะนำตัวนี้มาให้ เค้าบอกแพงหน่อยแต่คุ้มแน่นอน เราก็ด้วยความที่ไม่ไหวละ ถ้าปล่อยไว้อีกซักพักกลัวหน้าจะพัง วันต่อมารีบไปหาซื้อเลย คืนนั้นก็ลองใช้ ใช้แค่ตัวนี้ตัวเดียวด้วย อยากลอง แล้วพบว่า โอ้ แม่เจ้ามันสุดยอดมาก ตื่นเช้ามาอีกวัน หน้าที่เคยแห้ง แตกเป็นขุย ดีขึ้นประมาณ 50เปอเซน คือดีขึ้นจนเห็นได้ชัดแม้มองด้วยตาเนื้อ 555 ตัวนี้เก็บเข้ากรุลูกรักเป็นที่เรียบร้อย ขาดไม่ได้ สำหรับคนที่ผิวแตกแห้ง ขาดน้ำจนแบบไม่ไหวแล้ว ต้องตัวนี้เลย
ข้อเสีย
-ราคาค่อนข้างแพงนะ ถ้าเทียบกับปริมาณ คนญี่ปุ่นด้วยกันยังบ่นๆเลยว่าแพง บางคนเก็บไว้ใช้เฉพาะหน้าหนาวก็มี 555
จบกันไปแล้วนะคะกับรีวิวสกินแคร์จากญี่ปุ่นที่จ๋าคิดว่าราคาถูกแต่ดี ดีต่อหน้าและตังในกระเป๋า แฮะๆ ส่วนใหญ่ก็เห็นมีวางขายในไทยแล้ว ใครที่อยากลองก็ไม่ต้องลำบากไปถึงญี่ปุ่นก็ไปหาซื้อตามร้านเครื่องสำอางที่นำเข้าจากญี่ปุ่นหรือบางแบรนด์มาเปิดตลาดในไทยแล้วก็มี ขอให้ผิวสวยจงสถิตอยู่กับคุณทุกคนนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
ส่วนอันนี้เป็นคลิปรีวิวนะคะ เราลองทำเป็นคลิปรีวิวในยูทูปดู คลิปแรกของเราเลย อาจจะยังไม่ค่อยดี ติชมกันได้นะคะ ^^-
https://www.youtube.com/watch?v=Rr2U_9mFUts