เมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นทีมอันดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่ง
เป็นรองแค่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งการบริหารงานแตกต่างจาก บุรีรัมย์
ศูนย์รวมการตัดสินใจของ บุรีรัมย์ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ฉับไว เพราะการบริหารงาน อำนาจสิทธิ์ขาด อยู่ที่คนๆ คนเดียว
ส่วนเมืองทองเป็นไปแบบ ทีมองค์กร ต้องผ่าน คณะกรรมการ หรือบอร์ดประชุมผู้บริหาร
แต่ถึงแม้ เมืองทองจะประสบผลสำเร็จทางด้านผลงาน และฐานแฟนบอล แต่ผลประกอบการ
ขาดทุนหลัก ระดับ 200-300 ล้านบาท ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ ทาง SCG ส่งทีมบริหารเข้ามากุมอำนาจในบอร์ด
จากกลุ่ม สยามสปอร์ต และทางผู้บริหารใหม่ ต้องรัดเข็มขัด เพิ่มมาตรการประหยัด นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา
นับตั้งแต่ปี 2016 มาตรการการประหยัด ก็เริ่มขึ้น ด้วยการปล่อยนักเตะที่ไม่ค่อยได้ใช้งานออกไป
รวมทั้งโค้ชที่เงินเดือนแพงๆ อย่า ดราแกน ทาลายิช ก่อนที่จะคว้าตัว ธชตวัน ศรีปาน มาจาก เพื่อนตำรวจ
ที่พาทีมได้แช้มป์ D1 ณ เวลานั้น
เมื่อปี 2016 จะเห็นข่าวการเปิดตัวนักเตะต่างชาติ ต่างก็เป็นไปอย่างครึกโครม เป็นที่ฮือฮาของแฟนบอลชาวไทย
แต่ข่าวการเปิดตัวนักเตะต่างชาติ ของเมืองทอง เป็นไปอย่างเงียบเหงา ไม่มีตัวนักเตะเด็ดๆ เข้ามา นอกจากที่มีอยู่ อย่าง คลีตั้น ซิลวา
ส่วนที่เข้ามาใหม่ อย่าง เนเกรา หรือ เฮนดรี้ และ อบรานเต้ ก็สร้างผลงานไม่ดีนัก ในสีเสื้อเมืองทอง ทำให้มีการปล่อยตัวออกไปในปีต่อมา
มาตรการการประหยัดของเมืองทอง มีมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2017 ก่อนเปิดฤดูกาล ก็สร้างความฮือฮา
ด้วยการปล่อยตัวเด็ดๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นมาริโอ้ คลีตั้น รวมถึง ธนบูรณ์ ซึ่งก็เป็นไปตามวิถีบอลอาชีพ
แต่กลับไม่หาตัวใหม่ๆ เจ๋งๆ เข้ามาแทน
เมื่อมองภาพรวม ของ เมืองทอง ยูไนเต็ด สองปียุคที่มีบอร์ด บริหาร จากองค์กร จะเห็นภาพความแตกต่างจาก ยุคอดีต ชัดเจน
สมัยที่อำนาจการตัดสินใจ อยู่ในกลุ่มเดียว คือกลุ่มสยามสอร์ต หรือคุณระวิ โหลทอง จะเห็นภาพชัดเจน
เพราะในยุคของ คุณระวิ การตัดสินใจ ซื้อขายนักเตะ มักจะเป้นที่ ฮือฮา เสมอๆ และการเปิดตัวนักเตะต่างชาติใหม่ๆ
ก็ ฮือฮา ไม่แพ้ บุรีรัมย์ .... แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวในการบริหาร สมัยก่อนมีความคล่องตัวมากกว่ายุคนี้
ยุคนี้ การตัดสินใจซื้อขายนักเตะ จึงต้องผ่านความเห็นชอบของบอร์ดบริหาร ดังนั้นการตัดสินใจ อะไรต่างๆ
จึงไม่ค่อยจะทันใจแฟนบอล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว นักเตะ การเปิดตัวเสื้อในแต่ละละ ฤดูกาล จึงเป็นไปอย่างล่าช้า เมื่อเทียบจากอดีต
สิ่งที่น่าแปลกใจ ก็คือ รู้ทั้งรู้รู้ว่า ทีมติดเข้าไปเล่นฟุตบอล AFC Champion League กลับไม่เสริมตัวต่างชาติ ให้เต็มโควต้า
และรู้ทั้งรู้ ว่านักเตะถ้าติดทีมชาติแล้ว สภาพทีมที่กรอบ ล้า บาดเจ็บ เจอมาทุกปี แต่ปีนี้ กลับมีนักเตะที่พร้อมใช้งาน น้อยที่สุด
ดังนั้นผลงาน แพ้มา 5 นัด ไม่แปลก เพราะนับตั้งแต่ จบทีมชาติ กลับจากญี่ปุ่น สภาพทีมก็อย่างที่เห็น
ตอนที่นักเตะแรงยังดี การเล่นทุกอย่างมันก็เป็นไปตามแผน ที่โค้ชวางไว้
เมื่อยามที่นักเตะอ่อนล้า แผนการเล่น แท็คติก ที่วางไว้มันก็ไม่ได้ดั่งใจ
กระทู้ข้างล่าง โทษ โค้ช ผมว่ายังเชื่อมั่นว่า โค้ชแบน มีกึ๋นพอ แต่ตัวจะใช้งานมีขีดจำกัด
จะเห็นว่า ตัวเด็กๆ ที่ส่งลงไป ก็ไม่ได้ทำให้ทีมดีขึ้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
✤ วิเคราะห์ ความล้มเหลวของ เมืองทอง ยูไนเต็ด
เป็นรองแค่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งการบริหารงานแตกต่างจาก บุรีรัมย์
ศูนย์รวมการตัดสินใจของ บุรีรัมย์ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ฉับไว เพราะการบริหารงาน อำนาจสิทธิ์ขาด อยู่ที่คนๆ คนเดียว
ส่วนเมืองทองเป็นไปแบบ ทีมองค์กร ต้องผ่าน คณะกรรมการ หรือบอร์ดประชุมผู้บริหาร
แต่ถึงแม้ เมืองทองจะประสบผลสำเร็จทางด้านผลงาน และฐานแฟนบอล แต่ผลประกอบการ
ขาดทุนหลัก ระดับ 200-300 ล้านบาท ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ ทาง SCG ส่งทีมบริหารเข้ามากุมอำนาจในบอร์ด
จากกลุ่ม สยามสปอร์ต และทางผู้บริหารใหม่ ต้องรัดเข็มขัด เพิ่มมาตรการประหยัด นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา
นับตั้งแต่ปี 2016 มาตรการการประหยัด ก็เริ่มขึ้น ด้วยการปล่อยนักเตะที่ไม่ค่อยได้ใช้งานออกไป
รวมทั้งโค้ชที่เงินเดือนแพงๆ อย่า ดราแกน ทาลายิช ก่อนที่จะคว้าตัว ธชตวัน ศรีปาน มาจาก เพื่อนตำรวจ
ที่พาทีมได้แช้มป์ D1 ณ เวลานั้น
เมื่อปี 2016 จะเห็นข่าวการเปิดตัวนักเตะต่างชาติ ต่างก็เป็นไปอย่างครึกโครม เป็นที่ฮือฮาของแฟนบอลชาวไทย
แต่ข่าวการเปิดตัวนักเตะต่างชาติ ของเมืองทอง เป็นไปอย่างเงียบเหงา ไม่มีตัวนักเตะเด็ดๆ เข้ามา นอกจากที่มีอยู่ อย่าง คลีตั้น ซิลวา
ส่วนที่เข้ามาใหม่ อย่าง เนเกรา หรือ เฮนดรี้ และ อบรานเต้ ก็สร้างผลงานไม่ดีนัก ในสีเสื้อเมืองทอง ทำให้มีการปล่อยตัวออกไปในปีต่อมา
มาตรการการประหยัดของเมืองทอง มีมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2017 ก่อนเปิดฤดูกาล ก็สร้างความฮือฮา
ด้วยการปล่อยตัวเด็ดๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นมาริโอ้ คลีตั้น รวมถึง ธนบูรณ์ ซึ่งก็เป็นไปตามวิถีบอลอาชีพ
แต่กลับไม่หาตัวใหม่ๆ เจ๋งๆ เข้ามาแทน
เมื่อมองภาพรวม ของ เมืองทอง ยูไนเต็ด สองปียุคที่มีบอร์ด บริหาร จากองค์กร จะเห็นภาพความแตกต่างจาก ยุคอดีต ชัดเจน
สมัยที่อำนาจการตัดสินใจ อยู่ในกลุ่มเดียว คือกลุ่มสยามสอร์ต หรือคุณระวิ โหลทอง จะเห็นภาพชัดเจน
เพราะในยุคของ คุณระวิ การตัดสินใจ ซื้อขายนักเตะ มักจะเป้นที่ ฮือฮา เสมอๆ และการเปิดตัวนักเตะต่างชาติใหม่ๆ
ก็ ฮือฮา ไม่แพ้ บุรีรัมย์ .... แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวในการบริหาร สมัยก่อนมีความคล่องตัวมากกว่ายุคนี้
ยุคนี้ การตัดสินใจซื้อขายนักเตะ จึงต้องผ่านความเห็นชอบของบอร์ดบริหาร ดังนั้นการตัดสินใจ อะไรต่างๆ
จึงไม่ค่อยจะทันใจแฟนบอล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว นักเตะ การเปิดตัวเสื้อในแต่ละละ ฤดูกาล จึงเป็นไปอย่างล่าช้า เมื่อเทียบจากอดีต
สิ่งที่น่าแปลกใจ ก็คือ รู้ทั้งรู้รู้ว่า ทีมติดเข้าไปเล่นฟุตบอล AFC Champion League กลับไม่เสริมตัวต่างชาติ ให้เต็มโควต้า
และรู้ทั้งรู้ ว่านักเตะถ้าติดทีมชาติแล้ว สภาพทีมที่กรอบ ล้า บาดเจ็บ เจอมาทุกปี แต่ปีนี้ กลับมีนักเตะที่พร้อมใช้งาน น้อยที่สุด
ดังนั้นผลงาน แพ้มา 5 นัด ไม่แปลก เพราะนับตั้งแต่ จบทีมชาติ กลับจากญี่ปุ่น สภาพทีมก็อย่างที่เห็น
ตอนที่นักเตะแรงยังดี การเล่นทุกอย่างมันก็เป็นไปตามแผน ที่โค้ชวางไว้
เมื่อยามที่นักเตะอ่อนล้า แผนการเล่น แท็คติก ที่วางไว้มันก็ไม่ได้ดั่งใจ
กระทู้ข้างล่าง โทษ โค้ช ผมว่ายังเชื่อมั่นว่า โค้ชแบน มีกึ๋นพอ แต่ตัวจะใช้งานมีขีดจำกัด
จะเห็นว่า ตัวเด็กๆ ที่ส่งลงไป ก็ไม่ได้ทำให้ทีมดีขึ้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย