[REVIEW] Linkin Park - One More Light (2017)

แสงสว่าง ที่เราสามารถสัมผัสและเห็นได้ชัดที่สุด มันจะสว่างที่สุดก็ต่อเมื่อเราอยู่ในความมืด และเราจะยิ่งตะหนึกถึงคุณค่ามันที่สุดก็ในเมื่อแสงสว่าง
เหล่านั้นได้ดับลงแล้ว ก็เท่านั้น

อย่างที่รู้ๆกัน Linkin Park เป็นวงRockวงหนึ่งที่ค่อนข้าง "ดื้อและเอาแต่ใจ"

หากลองนึกย้อนไปช่วง 18ปีที่แล้ว มีวงดนตรีเล็กๆวงหนึ่ง
ที่เอาแต่ใจ จนค่ายปฏิเสธไปถึง3ครั้ง จนได้เซ็นสัญญาและกวาดรางวัลต่างๆได้ดั่งเกินใจหวัง

และเวลาผ่านไปจากวันนั้น 18ปี แน่นอนพวกเขายังคงเป็นเด็กดื้อที่ เอาแต่ใจอยู่
และพวกเขาก็ดื้อรั้นที่จะทำเพลงกันเอง โดยไม่ใช้ Producer

เท้าความกันถึงอัลบัมชุดที่แล้ว The Hunting Partyกันสักนิด
อย่างที่รู้ๆกันว่า The Hunting Partyคืออัลบัมที่หนักที่สุด เท่าที่บุรุษทั้ง6เคยทำมา
และแน่นอนว่าหนักกว่าHybrid Theory ชุดในตำนานเสียอีก

โดยอัลบัมที่ว่านั้นผ่านการProducedโดยสองคู่หูผู้เป็นเสาหลักและมันสมองของวงอย่าง
Brad DelsonและMike Shinoda ที่ได้ลงมือ Producedกันเป็นครั้งแรกในนาม Linkin Park
ซึ่งก็มีกระแสถูกใจและไม่ถูกใจกันบ้าง นาๆจิตกันไป

น่าเสียดายที่พวกเขาทำผิดสัญญาแฟนเพลงไปนิด ที่เคยประกาศกร้าวจะออกอัลบัมทุกๆ 20เดือน
โดยอัลบัมนี้ทิ้งห่างจากอัลบัมที่แล้วถึง35เดือน

จนมาถึงอัลบัมชุดที่7 ที่ใช้ชื่อว่า One More Light
แน่นอนBradและMikeยังคงลงมือกันเอง
โดยมีแขกรับเชิญซึ่งเป็นถึง Producer ผู้คร่ำหวอดในวงการดนตรีชื่อดัง มาดูแลบ้างในบางเพลง
(โดยเราจะพูดถึงในช่วงTrack By Trackนะครับ)

เพราะฉนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในอัลบัมนี้ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของนักร้องนำทั้งสองคน แต่เกิดจากความตั้งใจของมือกีตาร์ทั้งสองคนนั่นเอง

Singleเปิดตัว มีชื่อว่า Heavy แน่นอนว่ามีหลายกระแสถาโถมกันมา ทั้งพอใจและไม่พอใจแต่โดยรวมคิดว่าวงประสพความสำเร็จกันในก้าวแรก

เพราะHeavy นี้แหละทำให้แฟนๆตื่นตัวและรู้ถึงการมาของอัลบัมใหม่ และแนวเพลงในอัลบัม

One More Light ถือเป็นอัลบัมที่ มีความที่สุดในหลายๆด้าน

โดยแนวเพลงยังเป็น Alternative rockยืนพื้นที่ไส่Sound Electronicลงไป มีเมโลดี R&Bในบางเพลง และใช้Beat Hip Hopเข้าไปประสานในบางโอกาส ไม่มีเสียงสครีมหรือว้ากของ Chester
สลัด Guitar Metalหยาบๆออก ทำให้เป็นอัลบัมที่มีความ "เบาที่สุด"เท่าที่เคยทำมา

และ 10เพลงในอัลบัมที่ไม่มี Intro ,OutroหรือInterludeใดๆมาคั่นกลาง ใช้เวลาทั้งหมดไปเพียง 35นาที19วินาที
(สั้นกว่าHybrid Theory ที่ยาว37นาที45วินาที) จนทำให้เป็นอัลบัมที่ "สั้นที่สุด"

ถ้าได้ติดตาม Social ต่างๆไม่ว่าจะเป็นทาง Twitter ,IG หรือทางเว็บLPUที่เป็นฐานทัพใหญ่ที่สุดของLP Soldier

จะเห็นว่าวงได้เข้าStudioกันตั้งแต่เดือนกันยายนปี2015 นับได้ว่าเป็นอัลบัมที่ลงมือทำกันถึง 2ปีครึ่งและนั่นทำให้เป็นอัลบัมที่ "ใช้เวลาทำนานที่สุด" เท่าที่เคยมีมา

แน่นอนถ้าไม่ตั้งใจไม่เอาแต่ใจ ไม่เรื่องมากก็ไม่ใช่Linkin Park

อย่างที่เรารู้ๆกันว่า Linkin Parkเป็นวงที่มีนักร้องนำถึง2คน โดยทั้งคู่มีน้ำเสียงเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน การทำอัลบัมทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้ม

พวกเขาใช้ห้องอัดที่บันทึกแค่ พาร์ทการร้องก็ใช้หลายที่หลายประเทศถึง5ที่
Chester The Pool Recording Studio (London)
Mike The Warehouse Studio (Vancouver)
และแขกรับเชิญที่เป็นนักร้องนำถึง3คน
Kiiara Sphere Studios (LA)
Pusha T No Name Studios (North Hollywood)
Stormzy The Matrix Studio (London)
รวมไปถึงการ MixและMasteringที่ใช้ห้องอัดถึงสองที่ เช่นMixStar StudiosและLarrabee Sound Studios
และทั้งหมดนี่คือเฉพาะพาร์ทร้องอย่างเดียว

ส่วนArtworkหรือปกอัลบัมโดยผู้เก็บภาพนี้คือ Frank Maddocks ที่หาดVenice

จะเห็นได้ว่าที่เป็นรูปเด็กๆทั้งหลาย สื่อมาจากวุฒิภาวะผู้นำครอบครัวของพวกเขาที่สูงขึ้นไปตามอายุ

และต่อเนื่องมาจากเนื้อหาในอัลบัม ที่ละทิ้งความเป็น Concept albumในหลายๆชุดที่ผ่านมา
แต่จะย่อเรื่องราวให้แคบลงตามแบบชุด Living Thingsที่เน้นพูดถึงการดำรงอยู่และจิตใจ

เพียงแต่ One More Lightจะมีการตระหนักถึงครอบครัว และความเจ็บปวดที่ยากกว่าการจากลา นั่นคือความสูญเสียนั่นเอง

One More Lightถือเป็นอัลบัมที่มีความง่ายในการฟังและเข้าถึง

แต่ถ้าตั้งใจฟังให้ลึกถือว่ามีความซีเรียสอยู่ไม่น้อย ทางด้านโค้งสุดท้ายในชีวิตของสมาชิกวง
และด้วยวัยวุฒิที่เติบโตมาพร้อมๆกันของแฟนๆเพลง
หลายเพลงในชื่ออัลบัม จะเน้นถึงการจากลา ความสูญเสีย เช่น Nobody Can Save Me,Good Goodbye,Invisible,Sorry for NowและOne More Light

ทำให้ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า นี่อาจจะเป็นการแอบบอกใบ้ถึงการทิ้งทวนและการจากลาในความเป็นวุฒิภาวะ นักดนตรี ของพวกเขา
และ One More Light อาจจะเป็นแสงสว่างสุดท้ายที่ทอแสงมายังโลกของพวกเขานั่นเอง

เกือบทุกๆการเปลี่ยนแปลง ทำให้โลกใบนี้ยังหมุนอยู่ และแน่นอน รวมถึงพวกเขาด้วย

เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ค่อนข้างที่จะเหวี่ยงโลกทั้งใบ ให้จ้องมองมาที่พวกเขา และแน่นอนสายตาที่จ้องมา

อาจจะมีทั้งสายตาที่แสดงถึงความสุขและพอใจ รวมไปถึงสายตาผิดหวังและไม่พอใจ

แน่นอนเชื่อว่าพวกเขาไม่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ ทุกๆสายตาเหล่านั้นอย่างแน่นอน

หวังว่าลางสังหรณ์ของผมจะไม่เป็นจริงนะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่