ประเทศไทยเริ่มต้นประชาธิปไตยมากว่า 85 ปีแล้ว หลังจากคณะราษฎรทำการปฏิวัติ
เส้นทางประชาธิปไตยของเรานั้นลุ่มๆ ดอนๆ ไปตามกระแสของโลก ณ ตอนนั้น
ไม่ว่าจากปัจจัยภายใน การแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มอำนาจใหม่ ที่ผลัดกันยึดอำนาจไปมา
หรือจากปัจจัยภายนอกอย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และช่วงสงครามเย็น
เราเคยได้สัมผัสถึงประชาธิปไตยเต็มใบอยู่เพียงแค่ช่วงหนึ่ง (รัฐธรรมนูญ ปี 40)
อันเป็นผลขับดันจากภาคประชาชนที่พยายามให้ประเทศหลุดพ้นจากเผด็จการมาตั้งแต่สมัย 14 ตุลา 2516, 16 ตุลา 2519 และ พฤษภาทิฬ
หลังจากรัฐประหารปี 49 เป็นต้นมา ทุกอย่างก็เริ่มถอยหลังลงคลอง จากกระแสอนุรักษ์นิยมที่กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
และตอกย้ำลงไปอีกครั้ง ในรัฐประหารของ คสช เมื่อปี 57
สิ่งที่น่าขำคือประชาชนในช่วงนั้น ออกมาเรียกร้องให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร
ทำให้ตลกอยู่ในใจ นี่เรายังไม่เข็ดกับยุคทหารเผด็จการ ที่ประเทศต้องเคยบอบช้ำมาในอดีต
จอมพล ป., จอมพลสฤษดิ์, จอมพลถนอม, พลเอกสุจินดา นี่แค่คร่าวๆ รายชื่อผู้นำเผด็จการในสมัยก่อน
เอาหละ นั่นมันประวัติศาสตร์ การเมืองมันก็เหมือนลูกตุ้ม
หากว่าแกว่งไปทางใดแรงเกินไป มันก็จะแกว่งกลับไปอีกทางแรงขึ้น
หลังจากปี 49 เป็นต้นมา เราโดนทั้งสื่อ ทั้งการเมือง พยายามผลักดันให้ไปทางอนุรักษ์นิยมเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง
ด้วยเวลาสิบกว่าปีที่สะสมมา ด้วยเสรีภาพที่โดนจำกัด (ชัดเจนหลังจากรัฐประหาร 57)
แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีหลายๆ อย่างเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตคน
สมัยจอมพลสฤษดิ์ นั้นเคยจัดการกลุ่มคนหัวก้าวหน้าด้วยการจับไปขัง จับไปยิงเป้าได้โดยง่าย เพราะสื่อเองก็โดนควบคุมหมด
สมัยนั้นเพียงแค่มีหนังสือการเมืองไว้ครอบครอง ก็โดนจับเสียแล้ว
แต่ทุกวันนี้เรามีสารพัดสื่อ ที่ใครก็ได้สามารถเข้าถึง
เราอยากรู้ประวัติศาสตร์ก็หาอ่านได้แค่ปลายนิ้ว เราอยากศึกษาการเมืองประเทศไหนก็มีข้อมูลให้อ่านมากมาย
ไม่ว่าจะหนังสือต้องห้าม หนังสือที่หาอ่านยากแค่ไหน ก็หาได้บนโลกออนไลน์เกือบหมด
สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอม ให้คนใน generation ใหม่ๆ มีความคิดที่เป็นเสรีนิยมฝังมากับตัว
แน่นอน ว่าเค้าเหล่านั้น ยังไม่ได้แสดงออกมาเท่าที่ควร แต่เราก็ได้เห็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเติบโตขึ้นมาบ้าง
ในจุดนี้ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงจะเป็น เนติวิทย์ นิสิตหัวก้าวหน้าจากรั้วจุฬาฯ
และหวังว่าจะได้เห็นอีกหลายๆ คน ที่เป็นนักคิด นักเรียกร้องเสรีภาพ ค่อยๆ ตื่นกันขึ้นมา ออกจากที่มืดกันให้มากขึ้น
หวังว่าดอกไม้จะกลับมาบานอีกครั้ง ไม่นานเกินไป
ขอบคุณครับ
เมื่ออนุรักษ์นิยมเสื่อมอำนาจ เสรีนิยมกำลังจะเบ่งบาน
เส้นทางประชาธิปไตยของเรานั้นลุ่มๆ ดอนๆ ไปตามกระแสของโลก ณ ตอนนั้น
ไม่ว่าจากปัจจัยภายใน การแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มอำนาจใหม่ ที่ผลัดกันยึดอำนาจไปมา
หรือจากปัจจัยภายนอกอย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และช่วงสงครามเย็น
เราเคยได้สัมผัสถึงประชาธิปไตยเต็มใบอยู่เพียงแค่ช่วงหนึ่ง (รัฐธรรมนูญ ปี 40)
อันเป็นผลขับดันจากภาคประชาชนที่พยายามให้ประเทศหลุดพ้นจากเผด็จการมาตั้งแต่สมัย 14 ตุลา 2516, 16 ตุลา 2519 และ พฤษภาทิฬ
หลังจากรัฐประหารปี 49 เป็นต้นมา ทุกอย่างก็เริ่มถอยหลังลงคลอง จากกระแสอนุรักษ์นิยมที่กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
และตอกย้ำลงไปอีกครั้ง ในรัฐประหารของ คสช เมื่อปี 57
สิ่งที่น่าขำคือประชาชนในช่วงนั้น ออกมาเรียกร้องให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร
ทำให้ตลกอยู่ในใจ นี่เรายังไม่เข็ดกับยุคทหารเผด็จการ ที่ประเทศต้องเคยบอบช้ำมาในอดีต
จอมพล ป., จอมพลสฤษดิ์, จอมพลถนอม, พลเอกสุจินดา นี่แค่คร่าวๆ รายชื่อผู้นำเผด็จการในสมัยก่อน
เอาหละ นั่นมันประวัติศาสตร์ การเมืองมันก็เหมือนลูกตุ้ม
หากว่าแกว่งไปทางใดแรงเกินไป มันก็จะแกว่งกลับไปอีกทางแรงขึ้น
หลังจากปี 49 เป็นต้นมา เราโดนทั้งสื่อ ทั้งการเมือง พยายามผลักดันให้ไปทางอนุรักษ์นิยมเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง
ด้วยเวลาสิบกว่าปีที่สะสมมา ด้วยเสรีภาพที่โดนจำกัด (ชัดเจนหลังจากรัฐประหาร 57)
แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีหลายๆ อย่างเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตคน
สมัยจอมพลสฤษดิ์ นั้นเคยจัดการกลุ่มคนหัวก้าวหน้าด้วยการจับไปขัง จับไปยิงเป้าได้โดยง่าย เพราะสื่อเองก็โดนควบคุมหมด
สมัยนั้นเพียงแค่มีหนังสือการเมืองไว้ครอบครอง ก็โดนจับเสียแล้ว
แต่ทุกวันนี้เรามีสารพัดสื่อ ที่ใครก็ได้สามารถเข้าถึง
เราอยากรู้ประวัติศาสตร์ก็หาอ่านได้แค่ปลายนิ้ว เราอยากศึกษาการเมืองประเทศไหนก็มีข้อมูลให้อ่านมากมาย
ไม่ว่าจะหนังสือต้องห้าม หนังสือที่หาอ่านยากแค่ไหน ก็หาได้บนโลกออนไลน์เกือบหมด
สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอม ให้คนใน generation ใหม่ๆ มีความคิดที่เป็นเสรีนิยมฝังมากับตัว
แน่นอน ว่าเค้าเหล่านั้น ยังไม่ได้แสดงออกมาเท่าที่ควร แต่เราก็ได้เห็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเติบโตขึ้นมาบ้าง
ในจุดนี้ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงจะเป็น เนติวิทย์ นิสิตหัวก้าวหน้าจากรั้วจุฬาฯ
และหวังว่าจะได้เห็นอีกหลายๆ คน ที่เป็นนักคิด นักเรียกร้องเสรีภาพ ค่อยๆ ตื่นกันขึ้นมา ออกจากที่มืดกันให้มากขึ้น
หวังว่าดอกไม้จะกลับมาบานอีกครั้ง ไม่นานเกินไป
ขอบคุณครับ